หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren SKYFALL -BlackBird- : 15



Project : Happy birthday Gokudera Hayato
Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren
Drama Action
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



SKYFALL : 15





          กว่าโกคุเดระจะลงมาถึงชั้นล็อบบี้ตึกอำนวยการตนเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสองทุ่มกว่า ข้างล่างเปิดไฟไว้เพียงบางดวง ส่วนพวกโอเปอเรเตอร์กลับไปหมดแล้ว เพราะถือว่าหมดเวลางาน แต่โกคุเดระไม่ใช่เจ้านายหัวโบราณที่ถือคติว่านายไม่กลับลูกน้องห้ามกลับ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครทนทำงานกับเขาได้หรอก พวกลูกน้องปฏิบัติตัวเป็นปกติแล้ว แต่เขาต่างหากที่ทำตัวผิดปกติ

            ข้อมือบางพลิกดูนาฬิกาอีกทีแล้วถอนหายใจ เขาคงโดนบ่นเรื่องการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาอีกแน่ๆ จำได้ว่าตอนที่เข้าประชุม เขาดื่มกาแฟแค่หนึ่งแก้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรตกถึงกระเพาะอีกเลย ทั้งๆที่ควรจะเข็ดหลาบเพราะโดนตราหน้าว่าขาดสารอาหารมารอบหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเวลางานก็เบียดเบียนซะจนไม่มีโอกาสให้เขาปรับปรุงตัว

            คงจะต้องคิดข้ออ้างแล้วสิ อาเจ๊กับลอร์ดคริสโตเฟอร์คงง่ายหน่อย แต่กับเฮียนี่คงจะไม่ง่าย แล้วสุดท้าย กับคนบางคน ต้องถือว่ายากมาก ไม่สิ...ยากที่สุดเลยต่างหาก!

            “เพิ่งรู้ว่ากระเพาะของท่านประธานโกคุเดระ ฮายาโตะทำจากเหล็ก มันถึงได้ทนกับน้ำย่อยได้มากกว่าหกชั่วโมง” พลันเสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นทั้งๆที่เขาคิดว่าชั้นล่างของล็อบบี้ไม่มีใครอีกแล้ว โกคุเดระสะดุ้งเฮือก ชะงักฝีเท้าโดยอัตโนมัติ หันไปทางต้นเสียงโซฟารับรองมีเด็กหนุ่มร่างสูงที่เขาคุ้นเคยนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่ แถมพวกหนังสือพิมพ์ พ็อกเก็ตบุ๊คที่วางได้เป็นตั้งข้างตัวก็ช่วยบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขามานั่งอยู่ที่นี่นานพอสมควร ร่างนั้นลุกขึ้นยืนขึ้นแล้วสาวเท้าเข้ามาหาเขาทันที เท่านั้นโกคุเดระก็รู้แล้ว ว่าไอ้เรื่องที่ ยากที่สุดที่เขาบ่นกับตัวเองเมื่อกี้นี้ เขาต้องเผชิญกับมัน เผชิญตอนนี้เลยด้วย

            อาจเพราะสถานะที่เปลี่ยนไป เพราะได้เจอกันบ่อยขึ้น เขาก็เลยเดาอารมณ์คนตรงหน้าได้ดีขึ้นจม ยามาโมโตะโกรธเขามาก มันแสดงออกชัดเจนทางใบหน้าคมคายกับรูปประโยคทักทายที่ติดจะประชดประชันแดกดันนิดๆ ร่างสูงโปร่งที่ดูดีทุกระเบียดนิ้วแม้จะล่วงเลยเกือบหมดวันนั่นมีรังสีเย็นยะเยือกแผ่มาอย่างชัดเจน โกคุเดระยิ้มแห้ง หัวเราะสองสามที ยกมือเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ

            งานนี้ เขาก็ผิดจริงๆนั่นแหล่ะ

            “เอ่อ นาย...มารอนานแล้วหรอ” เขารู้สึกตัวเองโง่เง่าที่ถามคำถามที่ตัวเองรู้อยู่แล้วเต็มอก แต่มันก็ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ยิ่งเห็นหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันไม่ยอมคลายใช้ความนิ่งเงียบเป็นคำตอบ เขายิ่งไม่รู้จะแก้ตัวว่าอะไร เขาทำให้หมอนี่ต้องรอ ก็ทั้งๆที่ตอนกลางวันยามาโมโตะก็โทรมาหาเขาแล้วว่าตั้งแต่หกโมงจะมารอรับไปกินข้าว

            “ขอโทษที...” คำขอโทษแผ่วเบาเอ่ยออกมาอย่างไร้ทิฐิ แต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าหล่อเหลายังคงไม่คลายความเย็นชาราวกับว่าต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ โกคุเดระก็เดาว่าเขาคงโกรธเรื่องอื่นด้วย อย่างน้อยช่วงนี้มันเป็นช่วงไฮซีซัน เครือยามาโมโตะเองก็คงยุ่งกับงานไม่ต่างจากเขา “ขอโทษๆ ขอโทษจริงๆ คือฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้นายรอ ก็รู้อยู่ว่าโกรธที่ทำให้นายเสียเวลาที่มีค่า แต่ก็ต้องขอโทษที่เพลินกับงานไปจนไม่ได้บอก ไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้นแหล่ะ จะดุ จะลงโทษอะไรก็ว่ามาเลย ไม่หนี ไม่เถียง ครั้งหน้าจะไม่ทำอย่างนี้อีก ฉันสัญ...!

            พลันเสียงทั้งหมดก็หายไปเมื่อคนยืนฟังเกิดทนไม่ไหวดึงแขนบอบบางเข้าหาตน รั้งท้ายทอยเข้าใกล้ก่อนจะกดจูบแนบกับริมฝีปากบางที่เย็นชืดก่อนจะเลื่อนไปประทับที่หน้าผากนิ่งเนิ่นนาน ไออุ่นของลมหายใจยังคลอเคลียอยู่ใกล้ๆไรผม คนโดนกระทำยืนแข็งค้าง รับมือไม่ถูกกับเหตุการณ์ไม่เคยชิน ใบหน้าร้อนผ่าว แล้วเชื่อว่ามันต้องขึ้นสีไปเรียบร้อยแล้วแน่ๆ กลับกันกับผู้กระทำ พอถอนริมฝีปากออกก็คลี่ยิ้มจางๆอย่างพอใจ แต่ไม่วายกระซิบถามเสียงพร่า

            “เป็นอะไร หืม”

            “กะ ก็ปกติ..นะ..นาย” โกคุเดระพูดไม่ถูก หรือไม่มันก็อายเกินกว่าจะพูด เขายังเรียกสติให้กลับมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ก็เลยชี้นิ้วเข้าที่ริมฝีปากตัวเองแทน “นะ นาย นายไม่เคยจูบ..”

            เขาหมายถึงการจูบที่ปากนั่นแหล่ะ ถึงตอนนี้เขากับยามาโมโตะจะอยู่ในฐานะคนรักอย่างเต็มตัว เรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ยามาโมโตะแทบจะไม่แสดงออกเหมือนคู่รักคนอื่นๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะตัวเขาที่ยังคงทำใจให้ชินกับการสัมผัสแบบนี้ไม่ได้สักที ร่างสูงตรงหน้าก็เลยเลี่ยงมาตลอด แต่กระนั้นทุกครั้งที่หมอนี่มารับเขาไปกินข้าว เขาจะประทับริมฝีปากที่หน้าผากของเขานานๆคล้ายเป็นคำถามที่แสดงความห่วงใยที่เจ้าตัวไม่ถนัดจะพูด เหนื่อยไหม’ ‘ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว’ ‘กลับบ้านกันจูบนั้นแทนได้ทั้งหมด แต่การจูบที่ปากแบบนานๆครั้งจะทำนี่...

            “นายบอกเองว่าจะให้ลงโทษอะไรก็ได้” เสียงทุ้มเฉลย ความผ่อนคลายที่สัมผัสได้ทำให้รู้ว่าเขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังไงก็ตามเขาไม่คิดที่จะยกโทษให้ทั้งหมดหรอก สีหน้าเมื่อกี้ของโกคุเดระเหมือนเจ้าตัวจะเดาออกว่าเขาหงุดหงิดเรื่องอะไร แต่ก็เดาผิดไปไกลคนละเรื่อง สำหรับโกคุเดระแล้ว กับแค่เวลาเขาให้ได้ เขารอได้ แต่มันจะเป็นแบบนี้กับคนๆเดียวเท่านั้น คนอื่นเขาไม่มีทางให้แม้เพียงเศษเสี้ยว

            ขอแค่อย่างเดียว ขอแค่คนตรงหน้านี้อย่าหักโหม อย่าทรมานตัวเอง  ห่วงตัวเองบ้าง ให้ถึงครึ่งที่เขาห่วงก็ยังดี

            “ฉันมีสิทธิ์ใช่ไหม มีสิทธิ์ที่จะเป็นห่วงทุกๆเรื่องของนาย” เขาถามในขณะที่ยังคงกอดร่างของประธานบริษัทคู่แข่งเอาไว้แนบอก โกคุเดระนิ่งไปซักพัก ยอมให้เขายึดร่างเอาไว้นิ่งๆ ไม่ดิ้นไม่ต่อต้านจนเขารับรู้ว่าใบหน้าที่ซุกอยู่กับไหล่ขยับเบาๆ พร้อมๆกับอ้อมแขนบอบบางที่ยกขึ้นกอดตอบเขา แถมยังลูบไปลูบมาแทนคำขอโทษด้วย

            “อื้ม...แต่คราวหลังจะทำอะไรก็เตือนกันก่อนสิ คือก็แค่ไม่คิดว่านายจะทำ...แบบนั้น”

            “บางทีผมก็ควรจะเตือนว่าคุณเป็นอะไรกับผมนะครับ ท่านประธานโกคุเดระ” คราวนี้ยามาโมโตะหัวเราะเบาๆออกมา พึงพอใจกับกริยาโต้ตอบของคนดื้อเงียบ บรรยากาศถมึงทึงรอบตัวเขาหายไปทันตาแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรับรู้ได้ เขาผละออก ยิ้มกริ่ม “ฉันจองโต๊ะไว้ ไปกินข้าวกัน กินดึกไปหน่อยแต่คงไม่ทำให้นายอ้วนง่ายๆ เพราะคืนนี้ยังไงนายก็คงทำงานต่ออยู่ดี”

            โกคุเดระถึงกับเบะปากด้วยความหมั่นไส้ที่เจ้าบ้านี่ชักทำตัวเหมือนพยาธิในกระเพาะเขาเข้าไปทุกๆวัน แต่ว่าแล้วก็คิดได้ว่าตอนนี้มันใกล้จะสามทุ่มแล้ว ยามาโมโตะมารอเขาตั้งแต่หกโมง และด้วยนิสัยชอบจัดการโน่นจัดการนี่ คงจะโทรจองภัตตาคารไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว

            “ป่านนี้...ร้านเขายังจะรออยู่รึไง”

            “เรื่องแค่นี้สบายมาก” ยามาโมโตะตอบอย่างไม่ยี่หระ กลับกันยังส่งสายตาหยอกล้อมองเขาอีกต่างหาก “ทำงานจนเบลอเหรอ ถึงจำไม่ได้ว่าแฟนตัวเองเป็นถึงเจ้าของธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย”








            ใช่ เขาก็เกือบจะลืมไปจริงๆว่ายามาโมโตะ ทาเคชิยังคงเป็นนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในคราบเด็กอายุสิบเก้าปี แถมตอนนี้ยังมีนิสัยเหมือนเด็กวัยรุ่นเพิ่มมานิดหน่อยคืออาการติดแฟน แต่หมอนั่นไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญไร้สาระอย่างเช่นโทรจิกเช้าจิกเย็น คนอย่างยามาโมโตะไม่มีทางทำอะไรอย่างนั้น หมอนี่จะโทรมาเป็นเวลาราวกับรู้ตารางงานของเขาทุกอย่าง คุยไม่เกินห้านาที เนื้อหาจะประมาณกำชับให้เขาอย่าลืมทานข้าวกลางวัน นัดเวลาตอนเย็นว่าจะมารับ แต่ไม่เคยบังคับว่าต้องลงมาเดี๋ยวนั้น เพราะยามาโมโตะคงรู้ว่าต่อให้นัดไป บางทีเขาคงจะทำไม่ได้

            เพราะฉะนั้นอาการติดแฟนของยามาโมโตะมันจะหนักเอามากๆตอนทานข้าวเย็นด้วยกันนี่แหล่ะ หมอนี่จะสั่งอาหารแบบเน้นพิเศษว่าบำรุงร่างกายเขา ชนิดวิตามินสูง กรดไขมันจำเป็นดีต่อสมอง ตบท้ายด้วยชาคาโมมายล์ผ่อนคลายอารมณ์ นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิง ยามาโมโตะก็ประมาณว่าเป็นคนเห่อภรรยาท้องอ่อนๆ เขาเองก็เคยรวบรวมความกล้าท้วงหมอนั่นไป แต่ก็ได้คำแย้งที่ไม่คาดฝันกลับมาแทน

            ฉันไม่ได้ติดแฟน แต่ติดนาย

            เล่นเอาเขาไม่กล้าพูดอะไรต่อเลย เพราะเป็นการบอกชัดว่าต่อให้ไม่ใช่แฟน ก็จะมีแค่เขาและเขาเท่านั้นที่ประธานแห่ง The Best จะปฏิบัติเช่นนี้ด้วย

            “ช่วงนี้งานยุ่งเหรอ เห็นลอร์ดคริสโตเฟอร์บอกว่านายทำงานล่วงเวลาทุกวัน” ยามาโมโตะเปิดบทสนทนาขณะหั่นสเต็กในจาน แต่คนถูกถามนี่สิเกือบสำลักน้ำเปล่า นึกคาดโทษเจ้าเลขาส่วนตัวที่กลายเป็นสายให้ The Best ไปแล้ว แต่จะให้เขาตอบยังไงล่ะว่ากำลังหน้าดำคร่ำเครียดเร่งแก้สถานการณ์พาโกคุเดระแอร์ไลน์ฝ่าวิกฤตขาดทุนเพราะดันโดนธุรกิจของคนตรงหน้าแย่งลูกค้า

            “ก็ประมาณนั้นแหล่ะ” เขาตอบปัดๆ “นายเองก็เถอะนี่มันใกล้วาเลนไทน์นะ ไม่อยู่กับสินค้าคอลเล็คชันใหม่มันจะดีเหรอ ไม่ใช่เทศกาลระยะยาวด้วย เดี๋ยวก็โดนแบรนด์อื่นชวดไปหมดหรอก เสื้อผ้าคู่เอย ตุ๊กตาหมีเอย ช็อกโกแลตเอย คู่แข่งก็ออกจะเยอะ ยังใจเย็นอยู่ได้”

            “อืม ใช่ ใกล้วาเลนไทน์แล้ว” ยามาโมโตะรับ น้ำเสียงราบเรียบเชิงว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา “ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันก็คงจะไม่ลุกไปไหน นั่งเทสต์สินค้าอยู่ที่ห้องทำงาน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่...วาเลนไทน์ ช่วงเวลาแห่งความรัก ฉันก็ควรจะอยู่กับคนที่ฉันรัก นั่นต่างหากถึงจะถูก แน่นอนว่าฉันรักงาน แต่ฉันก็รักนายมากกว่า”

            คราวนี้เขาแทบจะพ่นน้ำเป็นฝอยกลางอากาศจริงๆ ดีที่ตั้งสติกลั้นมันไว้ เลยกลายเป็นอาการสำลักแทน วันนี้โดนหลายดอกเกินไปแล้ว เกินไปแล้วจริงๆ ไอ้สีหน้านิ่งเฉยแต่เจืออารมณ์หยอกเย้านิดๆนั่นคนทำจะรู้ไหมว่าทำให้ตัวเองมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ แถมยังพูดประโยคน่าอายแบบไม่อายฟ้าดิน ไม่ใช่สิ กับฟ้าดินยามาโมโตะ ทาเคชิไม่เคยแคร์อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยหมอนี่ก็น่าจะแคร์เขาบ้าง ไอ้อาการเขินจนเหนื่อยนี่มันมีอยู่จริงๆนะ ให้ตายสิ

            ดวงตาสีเขียวมรกตลอบสังเกตคู่ดินเนอร์ตัวเอง ยามาโมโตะไม่ได้เป็นแบบนี้บ่อยนัก ตั้งแต่คบกันมามีบ้างที่จะหยอดให้เขาเขิน แต่ไอ้อาการรุกจนทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายมันผิดปกติ ไอ้เรื่องเมื่อกี้ก็ด้วย ใช่ว่าเขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายก็งานเยอะจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์แบ่งเวลามาเฝ้าเขาข้างล่างตึกตั้งสามชั่วโมง คิดถึงตรงนี้อดสงสารเฟร็ดดอริกที่หกไม่ได้ คงจะโดนเจ้านายตัวเองโยนงานให้ไม่น้อย ซึ่งไอ้การมอบหมายงานให้ลูกน้องมากเกินความจำเป็นนี่ ไม่ใช่วิสัยของยามาโมโตะเลย

            “ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า” โกคุเดระทักในที่สุดพลางวางส้อมกับมีดลง พร้อมรับฟังปัญหาของร่างสูงตรงหน้า แต่กระนั้นดวงตาคู่สวยก็หรี่ลง เอ่ยเสียงเข้มดักไว้ก่อน “แต่ห้ามบอกนะว่ามันไม่มี ตอนนี้นายไม่รู้หรอกว่าตัวเองไม่ปกติ”

            “ฉันไม่ปกติยังไงล่ะ”

            “ถ้าจะให้พูดตรงๆก็...เอ่อ..อารมณ์เหมือนเด็กน้อยที่ชอบเอาปากกาเมจิกไปเขียนชื่อบนของเล่นทุกชิ้น” โกคุเดระเอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ยามาโมโตะคลี่ยิ้มกับคำตอบ มันน่าดีใจสำหรับเขานะที่โกคุเดระเดาอารมณ์เขาได้ถูกบ้างแล้ว แถมก็กล้ายอมรับมันแล้วพูดออกมา เมื่อก่อนคงไม่ใช่ เอาแต่หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับ ไม่กล้ารู้ทันความรู้สึกของเขา เป็นแบบนี้มาตั้งสิบปี

            แล้วสิบปีนั้น...มันก็มากพอ มากพอแล้วที่โกคุเดระจะคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา...

            “ใช่ เพราะถ้าไม่เขียนชื่อติด มันก็จะหายเอาง่ายๆ” ยามาโมโตะว่า ดวงตาคู่คมสีเปลือกไม้สบกับเขาอย่างจริงจัง “โกคุเดระ เรื่องหุ้นส่วนระหว่างเราฉันพร้อมจะต่อสัญญาและแถลงข่าวทันทีถ้านายพร้อม เราไม่มีเหตุผลที่จะต้องห่างกัน อีกอย่าง...ฉันคงจะไม่ยินดีเท่าไหร่ที่พอจะเดาว่าคนรักของตัวเองต้องโหมงานเพราะอาจมี The Best เป็นปัจจัยหลัก”

            “หวา!” คนโหมงานถึงกับอุทานออกมาเบาๆ เพราะข้อสันนิษฐานของยามาโมโตะนั้นถือว่าเข้าเป้าเป๊ะ แถมด้วยเหตุผลที่เขาก็คงจะเถียงไม่ได้ อันที่จริงต้องบอกว่าเขาดิ้นไม่หลุดเลยต่างหาก เขาแพ้พนัน เบธิลด์ ทาวเวอร์มีชื่อของท่านประธาน The Best เป็นหุ้นส่วนเรียบร้อยถึงแม้ว่าตอนนี้สาขาหลักกำลังปรับปรุงซ่อมแซมจากเหตุการณ์วางระเบิด แล้วสาขานิวยอร์กก็ยังไม่เปิดตัว แต่เรื่องที่ตัดสินไปแล้วมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ความจริงยามาโมโตะจะจัดการเรื่องทั้งหมดทันทีตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาล แต่ก็รอให้ร่างกายเขาแข็งแรงดีจริงๆก่อน รอให้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ซึ่งผ่านมาหนึ่งเดือนนี้มันก็ควรจะถึงเวลานั้น

            “แต่ที่ฉันจำได้ เราสัญญากันไว้สามเดือน” โกคุเดระว่าพลางเม้มปากตัวเองอย่างเคยตัว ยามาโมโตะระบายลมหายใจหนัก ไม่เถียงข้อนั้นถึงเขาจะรู้ว่าโกคุเดระตั้งใจยกมาอ้างเฉยๆก็ตาม

            “แต่มันก็เป็นสัญญาปากเปล่า ที่จริงนายก็รู้แล้วว่าฉันท้านายไปทำไม ตอนนี้เบธิลด์ก็ปลอดภัย หุ้นส่วนอยู่ที่ฉัน ถือว่าภารกิจของเราสำเร็จ...หรือต้องให้ฉันพูดตรงๆ ว่าที่จริงแล้วฉันไม่ได้อยากห่างนาย ไม่อยากให้แยกกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเราสองคน หรือธุรกิจก็ตาม”

            “ไม่ใช่ขนาดนั้น” เขาเถียงเสียงอ่อย พยายามรับมือกับยามาโมโตะที่วันนี้ดูท่าว่าจะดื้อกว่าปกติ หลุบตาลงต่ำก่อนที่จะตัดสินใจมองหน้าหล่อเหลาตรงๆ “ฉันรู้ว่าที่จริงแล้วฉันไม่มีสิทธิ์เถียงนาย ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะยื่นข้อเสนอ ฉันแพ้ เราควรจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ฉันยังอยากให้นายอย่าเพิ่งยกเลิกการเดิมพัน สบายใจได้ นี่ไม่เล่นแง่อะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากจะขอร้องนาย”

            คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำที่ไม่คาดคิด มันเป็นคำพูดที่โกคุเดระไม่คิดจะใช้ ถ้าหากมันไม่สำคัญจริงๆ แต่นี่ก็เพราะแสดงให้เห็นว่าร่างบอบบางนี้ไม่มีอะไรจะมาต่อรองกับเขา แต่ถึงรู้อย่างนั้น ก็ยังดันทุรังขอร้องเขา ไอ้การที่จะยื้อไม่ต่อสัญญาอีกสองเดือนนั้นมีความหมายอะไรขนาดนั้นเลยรึไง

            “สำหรับนายอาจจะมองว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระหรือเปล่าประโยชน์ไปแล้วก็ได้ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆนั่น แหล่ะ...แต่ไม่รู้สิ ยามาโมโตะ” โกคุเดระพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง ความเนิบนาบใจเย็นนั้นชวนให้เขาผ่อนอารมณ์ลง รวมถึงรอยยิ้มบางๆที่ประดับอยู่บนใบหน้าสวยได้อย่างลงตัวก็ด้วย “พอคิดว่าเราจะได้ร่วมธุรกิจกันอีกรอบแล้ว ในความเห็นฉัน ฉันว่าหลายๆอย่างมันต้องเปลี่ยนไป เดาไม่ผิด นายคงจะจ้างพนักงานเพิ่ม ห้ามฉันอยู่ออฟฟิศเกินหกโมงเย็น ช่วยฉันคิดโปรเจคใหม่ทุกช่วงซีซัน อ้อ กำชับลอร์ดคริสโตเฟอร์ให้จัดอาหารกลางวันให้ฉันด้วย ทั้งๆที่เมื่อก่อนมันไม่ใช่แบบนี้เลยสักนิด เราห้ำหั่นกันจะเป็นจะตาย ทะเลาะกันบ้าง แข่งกันบ้าง เดิมพันบ้าๆบอๆ ระแวงกันเองขนาดอยู่ใกล้กันยังไม่กล้า อดหลับอดนอนขอบตาดำเป็นหมีแพนด้ากันไปข้างสิถึงจะดี...”

            น้ำเสียงในช่วงท้ายของโกคุเดระส่อถึง ความขำขันชัดเจน แต่แววตานั้นก็บ่งชัดว่าเป็นช่วงเวลาที่สนุกและน่าจดจำแค่ไหน เสียงใสหัวเราะออกมาเบาๆ คล้ายกับว่ายอมรับเหตุผลที่อยู่ในใจตัวเองมากที่สุด

            “ฉันคิดถึงมันน่ะ อย่างน้อยๆก็อยากจะใช้เวลาที่เหลือนี้เป็นคู่แข่งกับนายอย่างเต็มตัวอีกครั้ง อีกอย่างตอนนี้จะว่าเราชนะเลยก็ด่วนสรุปไปหน่อย สถานการณ์มันไม่คงที่ เรายังตามตัวเดเมียนไม่ได้ สตีเฟนกับบอสของตาแก่นั่นก็ยังไม่รามือกับเราจริงๆ บางทีถ้าเกิดอะไรขึ้น เราแยกกันแบบนี้อาจจะทำงานง่ายกว่าก็ได้”

            ยามาโมโตะนิ่งเงียบไป จ้องคนตรงหน้าที่ไม่คิดจะหลบสายตาเขาสักนิด มันยังคงจริงจังและฟังทรงพลังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขายิ้มมุมปาก โกคุเดระก็ยังคงเป็นโกคุเดระ นี่ขนาดออกปากว่าขอร้อง เขายังสัมผัสได้ว่าโกคุเดระบังคับกลายๆให้เขาตอบตกลง ไม่ต่างอะไรกับการยื่นข้อเสนอเลย อยากรู้นักว่าตรงตำแหน่งนั้น โกคุเดระผูกพันกับมันมากหรือ...ตำแหน่งที่มองเขาจากทางด้านหลังอย่างนั้น

            มันดีกว่าการที่มาอยู่ข้างๆเขารึไงนะ

            แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอได้อยู่ดี ปลอบใจตัวเองว่ามันก็แค่สองเดือน สองเดือนเท่านั้น จากนั้นเขาจะคว้าโกคุเดระมาอยู่ใกล้ตัวที่สุดไม่ว่าเจ้าตัวจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม อีกอย่างเขาก็มั่นใจ เขาเคยบอกกับตัวเองตั้งแรกแล้วว่าต่อให้โกคุเดระอยู่ตำแหน่งไหน เขาก็มองเห็นอยู่เสมอ คงเป็นไปไม่ได้ที่ร่างบอบบางนี่จะหายไป...เป็นไปไม่ได้เลย







           
            ประธานแห่งโกคุเดระแอร์ไลน์กลับถึงคฤหาสน์ก่อนเที่ยงคืนนั้นมันจะมีเฉพาะวันที่เจ้าของ The Best มารับไปทานข้าวแล้วมาส่งเท่านั้น ถ้าเป็นวันอื่นเจ้าตัวคงจะแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศ ตรงนี้เป็นส่วนที่ลอร์ดคริสโตเฟอร์กับเบียงกี้นึกปลื้มใจอยู่ส่วนหนึ่ง อย่างน้อยคนบ้างานก็ได้กลับมานอนที่บ้านบ้าง ร่างสูงโปร่งของลอร์ดคริสโตเฟอร์มารับถึงหน้ารั้ว รับเสื้อโค้ตของเจ้านายตนมาถือ ส่งรอยยิ้มให้

            “ท่าทางจะไปได้ด้วยดีนะครับ” โกคุเดระปรายตามองคำทักของมือขวา อดย่นจมูกใส่ไม่ได้

            “ภูมิใจล่ะสิ ไม่เสียแรงที่ส่งตารางงานฉันไปให้ยามาโมโตะทุกวันใช่มั้ยล่ะ”

            “มิได้ครับท่าน” คนเป็นเลขาปฏิเสธด้วยความนอบน้อม แต่กระนั้นใบหน้าที่จริงจังเป็นนิตย์ก็มีรอยยิ้มบางๆ “ผมเป็นทั้งเลขาและบอดีการ์ดท่าน ไม่เพียงแต่เรื่องงานเท่านั้น แต่เรื่องสวัสดิภาพความปลอดภัย หรือกระทั่งสุขภาพผมก็จำเป็นต้องดูแลครับ ถ้าผมตรองดูว่าอะไรที่ทำให้ท่านได้พักพิงได้บ้าง ผมก็ยินดีครับ”

            “พอเถอะน่า” คนฟังถึงกับหน้าขึ้นสี เจ้าลอร์ดของเขามันไม่แก้ตัวสักนิดเลย แถมยังให้เหตุผลอย่างกับย้ายไปฝั่งโน้นเรียบร้อยอย่างนั้นแหล่ะ เขาสูดหายใจหนักแล้วผ่อนยาวๆเหมือนจะดึงความเป็นตัวของตัวเองกลับมาหลังจากที่มันเสียไปมากพอสมควร ถามขึ้นอีกเรื่อง “คงยังไม่ถึงช่วงที่เฮียจะกลับบ้าน...แล้วอาเจ๊ล่ะ? นอนแล้วเหรอ”

            “ครับ คุณเบียงกี้เข้านอนได้สักพักแล้วครับ”

            “ดีแล้ว” เขายิ้มออกมาอย่างโล่งอก บ่นต่ออย่างไม่จริงจังนัก “รายนั้นพอนอนดึกมากเช้ามาก็บ่นว่าขอบตาดำตลอด ไลท์ อาย โรลออนอาเจ๊น่ะแท่งนึงไม่ใช่ถูกๆ เดี๋ยวได้มาเบียดเบียนบัตรฉันอีก”...แถมแบรนด์ก็เป็น The Best ด้วยนะ ไม่เข้าใจจริงๆ เจอหน้ายามาโมโตะก็ยังไม่เลิกแขวะกันหรอก แต่ก็ยังใช้สินค้าเขาทุกคอลเล็คชัน เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง นั่นแหล่ะที่จะอธิบายสถานะอาเจ๊กับเจ้าของ The Best ได้ดีที่สุด

            “นายเองก็พักผ่อนเถอะ คืนนี้ฉันมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย” เขาว่าพลางมองนาฬิกาอีกครั้ง แต่พอรับรู้ถึงสายตาเป็นห่วงจางๆของเลขาตนที่ประกาศแจ่มแจ้งว่าห่วงสุขภาพของเขาแล้วก็หันไปยิ้มแห้งๆให้เป็นเชิงสำนึกผิดอยู่ในที แต่ก็พูดต่ออย่างสบายๆ “ไม่ต้องกลัวว่าจะโต้รุ่งหรอกน่า ฉันแค่จะโทรทางไกลหาคนคุ้นเคยเท่านั้นเอง ไม่น่าจะกินเวลามากหรอกมั้ง”

            พอได้ยินเขาย้ำขนาดนั้นแล้วลอร์ดคริสโตเฟอร์ก็เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไรต่อ คนคุ้นเคยนั้นเขานึกออกได้ในทันที เพราะท่านฮายาโตะก็ได้ประกาศในที่ประชุมในวันนี้เรียบร้อยแล้ว เขาเพียงแค่ส่งท่านหน้าห้องทำงานส่วนตัว กล่าวราตรีสวัสดิ์ทุกครั้งอย่างที่เคยทำ หากแต่ยังไม่ทันจะหมุนตัวกลับไปห้องพักตน เสียงของเจ้านายตนก็ดักขึ้น น้ำเสียงติดจะดุและบังคับอยู่ในที

            “อย่าเอาเรื่องที่ฉันโทรหาคนอื่นก่อนนอนไปฟ้องยามาโมโตะนะ” เลขาร่างสูงโปร่งรับคำเพียงรอยยิ้มแล้วก็โค้งให้ โกคุเดระถึงได้วางใจแล้วเข้าห้องทำงานไปจริงๆสักที ไม่ให้เขาย้ำน่ะ ทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวนี้เลขาเขาติดต่อกับท่านประธานแห่ง The Best ตอนไหนเขาก็ชักจะตามไม่ทันแล้ว เกิดหมอนั่นรู้เรื่องว่าเขาคุยโทรศัพท์ตอนกลางคืน ซ้ำยังไม่ใช่เวลา หมอนั่นคงวิเคราะห์ได้ชั่ววินาทีว่าเขากำลังทำอะไร เรื่องหึงหวงมันจะกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย ยามาโมโตะมองข้ามมันแน่ สิ่งที่หมอนั่นคิดได้ก็คงจะประมาณเขากำลังติดต่อทำโปรเจคใหญ่บางอย่าง พอใหญ่มาก ก็ต้องทุ่มเทมาก ทั้งเงิน เวลา และความคิด งานหนักรอเขาอยู่เห็นๆ เดาได้แค่นี้โกคุเดระก็ขนลุกซู่แล้ว มีหวังไอ้คำขอสองเดือนนั่นได้ยกเลิกแน่ๆ เตรียมตัวกลายเป็นเด็กน้อยกินข้าวสามมื้อ นอนไม่เกินเที่ยงคืนได้เลย

            ร่างโปร่งบางทิ้งตัวกับเก้าอี้สำนักงานตัวหนานุ่ม เอนหลังแล้วบิดขี้เกียจหนึ่งทีให้กล้ามเนื้อมันตื่น สูดกลิ่นเครื่องปรับอากาศเต็มที่หวังให้มันช่วยให้สมองเขาปลอดโปร่งเพื่อทำงานไปอีกสักสองสามชั่วโมง แต่แทนที่จะได้เพียงกลิ่นสดชื่นของสเปรย์หอม เขากลับได้กลิ่นกาแฟลอยมาจางๆ นั่นทำให้เขามองไปยังมุมโต๊ะ เพิ่งสังเกตว่านอกจากกองเอกสารที่วางตั้งอย่างเป็นระเบียบแล้ว มีกาแฟร้อนอยู่แล้วหนึ่ง โกคุเดระเลิกคิ้วแล้วดึงจานรองเข้าหาตัว เครื่องดื่มอัดคาเฟอีนยังคงอุ่นๆอยู่ บอกชัดว่ามันเพิ่งเอามาวางไว้ ซึ่งเขาก็สงสัยอยู่ว่าใคร แต่แผ่นกระดาษเล็กๆก็ตอบได้อย่างดี

            อย่านอนดึกล่ะฮายาโตะ เดี๋ยวตอนเช้าหน้าโทรมไม่สวยนะจ๊ะ

            บอกเขาว่าอย่านอนดึก แต่ก็ชงกาแฟมาให้เนี่ยนะ การกระทำกับคำพูดของอาเจ๊ขัดกันจนเขากลั้นขำไม่อยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาเจ๊รู้จักเขามากกว่าใคร กลิ่นกาแฟกับผู้เสิร์ฟคนพิเศษทำให้หัวเขาโล่งขึ้นจม โกคุเดระเปิด Macbook เสิร์ชข้อมูลของใครบางคนจากฐานข้อมูลนักศึกษามหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ไล่สายตาคร่าวๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น สไลด์หารายชื่อที่บันทึกเอาไว้ หัวใจเต้นแรงขึ้นนิดหน่อยตามความเคยชิน แต่สมาธิของเขากลับนิ่งและอยู่ตัว เป็นสภาพร่างกายก่อนที่เขาจะลงมือเจรจากับใคร

            และนี่เป็นการเจรจาที่เป็นทางการน้อยที่สุด เตรียมตัวน้อยที่สุด แต่คงจะไม่ง่ายที่สุดแน่

            พอเจอชื่อคนที่ต้องการแล้วเขากดติดต่อแล้วยกมันขึ้นแนบหู เสียงสัญญาณดังเป็นจังหวะช้าๆต่อเนื่องกันสักพัก แต่ไม่นานเกินรอก็มีคนรับสาย

            [ฮัลโหล?]

            โกคุเดระเลิกคิ้วนิดหน่อยกับเสียงใสติดออกจะนุ่มๆของเด็กวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่งที่ทักมา เขายิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้นบ้าง “ทักรุ่นพี่ที่เคารพรักด้วยน้ำเสียงเฉยเมยขนาดนี้ แกไม่ได้เม็มเบอร์ฉันไว้ใช่ไหม...เอเลน?

            เท่านั้นปลายสายของเขาก็เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว [พี่...ฮายาโตะ?] แล้วก็ดังขึ้น [พี่ฮายาโตะ!?] จากนั้นก็เอ็ดตะโรเต็มที่ [โห พี่! พี่โทรหาผมได้ไง เกิดไรขึ้นเนี่ย!? ตั้งแต่จบไปไม่เคยติดต่อกันเลยนะ]

            “เอาน่า แกก็รู้ว่าชีวิตฉันมันยุ่งยาก วันๆไม่ค่อยมีเวลามาคุยกับเด็กหรอก ส่วนใหญ่เป็นแต่ตาแก่หัวล้าน พุงพลุ้ยใส่สูทไม่ติดกระดุม ห้อยสร้อยคอทองคำหนักเป็นกิโล หรือไม่ก็พวกคนหนุ่มไฟแรง พกเครื่องมือไอทีติดตัวตลอดเวลา” เขาแก้ตัวยาวๆ ได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย เขาเดาสีหน้ามันออกเลย มันชอบขำแบบโลกทั้งใบไร้ความตึงเครียด ปัญหาแก้ได้สบายๆ เลยทำให้คนได้ยินเสียงหัวเราะนั้นผ่อนคลายไปด้วย

            [แน่ล่ะ พอจะรู้อยู่ว่าช่วงนี้ท่านประธานโกคุเดระเจอเรื่องมาเยอะ เริ่มยังไงดีล่ะ เมื่อเดือนก่อนพี่ถอนหุ้นกับเครือยามาโมโตะ สามวันต่อมาชื่อพี่ก็กลายเป็นผู้ชนะการประมูลห้างใหม่แกะกล่องใจกลางกรุงปารีสอย่างเบธิลด์ ทาวเวอร์ อีกวันต่อมาพี่ก็ช็อกโลกด้วยการเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนลูกหลงระเบิดจากไอ้ห้างนั้นซะงั้น พี่รู้ไหมว่าตอนนั้นพี่ดังยิ่งกว่าข่าวดาราฮอลลีวู้ดเลิกกัน หนังสือพิมพ์มีกี่หน้า โทรทัศน์มีกี่ช่อง หน้าพี่แปะเต็มไปหมด]

            โกคุเดระกลอกตา เขาควรจะขอบใจอีกฝ่ายที่ดันมาตามข่าวเขาได้ถูกกาลเทศะมาก เขาได้ยินเสียงเอเลนหัวเราะอีกระลอกแล้วเงียบไป เป็นจังหวะที่เขาคุ้นเคยดีเมื่อสมัยเขากับเด็กนี่ยังอยู่ที่มหาลัยและคุยกัน อาการเงียบที่เอเลนมอบให้เพราะพร้อมจะรับฟังเขาพูดต่อ

            “อีกเดือนชื่อฉันก็คงจะขึ้นสื่อแบบถล่มทลายอีกนั่นแหล่ะ แต่คราวนี้จะมีชื่อแกอยู่ด้วย...สนใจดังกว่าดาราด้วยกันไหมล่ะ ไอ้น้องชาย”

            [ก็พอจะเดาได้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องสัพเพเหระ พี่ถึงเลือกจะโทรหาผมเวลานี้สินะ]

            “อือ ตอนนี้ที่อิตาลีคงจะสี่โมงเย็นแล้วสินะ เด็กฝึกงานอย่างแกคงว่างพอที่จะฟังธุระ” เขายิ้มนิดๆเมื่อมองบนหน้าจอ Macbook อีกครั้งที่ปรากฏหน้าเด็กผู้ชายวัยรุ่นสัญชาติเยอรมันคนหนึ่ง เขาดูเด็กกว่าที่จะเป็นเด็กมหาวิทยาลัยดังอย่าง Upenn ผมสีน้ำตาลธรรมชาติ ดวงตาสีเขียวที่ขนาดเป็นรูปถ่ายหน้าตรงยังฉายแววประหลาด มันดูผ่อนคลายราวกับเป็นคนสบายๆ แต่กระนั้นก็เจือไปด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง เป็นนิสัยที่คล้ายขัดกัน แต่ก็ต้องเรียกว่าสมกับคณะสาขาที่หมอนี่เรียนอยู่... คณะวิศวกรรมศาสตร์ Mechanical Engineering and Applied Mechanics ถนัดพิเศษในด้าน Aeronautics มันเคยบอกเขาว่าเครื่องบินที่ทำงานในชั้นบรรยากาศโลก สักวันมันจะสร้างด้วยมือของตัวเอง

            เอเลนเป็นเด็กไบรท์เรียนก่อนเกณฑ์ ถึงจะไม่ขนาดพาสชั้นเร็วอย่างกับพายุบุแคมเหมือนเขาหรือยามาโมโตะ แต่ก็นับว่าเร็วกว่ามาตรฐานมาก อายุกับหน้าของมันไม่ได้ขัดกัน เด็กนี่เข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่สิบหก รู้จักกับเขาได้ก็เพราะบังเอิญว่าไปเจอกันที่ห้องสมุด เขาจำได้ว่าเอเลนนั่งกับโต๊ะใหญ่ปลอดคน ใส่แว่นนั่งอ่านหนังสือไม่หือไม่อือกับใคร ข้างๆมีโมเดลเครื่องบินอันหนึ่ง แค่นั้นมันก็เตะตาเขาที่ทำธุรกิจเครื่องบินมากแล้ว แต่ที่ทำให้ทนไม่ไหวจนต้องทักไปจริงๆก็คือ ใบหน้าเด็กๆอย่างกับเห็นภาพตัวเองซ้อนทับ...เด็กต่างชาติ แถมยังเข้าเรียนตั้งแต่วัยละอ่อน สำหรับมหาลัยชั้นนำแล้วมันมีน้อยเป็นจุดทศนิยมตามด้วยศูนย์สักสี่ห้าตำแหน่ง

            ถึงนายจะเด็กยังไง แต่นายก็ดูสมกับเป็นคนเรียนมหาลัยนะเขาเอ่ยทักหมอนั่นไปอย่างนี้ เหลือเชื่อที่เอเลนละสายตาจากหนังสือตรงหน้าแล้วเงยขึ้นมองหน้าเขานิ่งๆคล้ายกับสำรวจอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ยิ้มผ่อนคลายออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสว่า พี่เองก็ดูสมกับเป็นคนเรียนป.เอกเหมือนกัน

            เป็นเวลาแค่หนึ่งปี ซ้ำยังเป็นปีสุดท้ายในช่วงเวลาการเรียนของเขา แต่เขาก็สนิทกับเอเลนราวกับรู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อน มันคงจะเป็นไปตามทฤษฎีที่ใครเขาพูดกัน ว่าคนที่เหมือนกันมักจะดึงดูดเขาหากัน ถึงจะเรียนกันคนละคณะแต่เขาก็ชอบคุยกับเด็กคนนี้ เพราะเอเลนมีกระบวนการคิดที่ใครๆอาจมองว่าประหลาด แต่มันก็กลายเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมัน อะไรที่เอเลนพูดเขาก็ยังจำได้ คงจะเป็นอย่างที่แดชว่า ถ้าเราชอบคุยกับใครสักคน ก็จะจำบทสนทนานั้นได้โดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญที่สุด...หมอนี่เป็นงาน บรรยากาศรอบตัวเหมือนวิศวกรคนหนึ่ง ไม่ใช่นักศึกษา

            “ฉันต้องการให้แกมาทำงานในเครือกับฉัน” ท่านประธานแห่งโกคุเดระแอร์ไลน์ว่าอย่างไม่อ้อมค้อม เพิ่มเติมรายละเอียดไปโดยย่อๆ “ตอนนี้ฉันมีโปรเจคเพื่อเพิ่มเงินหมุนในเครือ ฉันต้องการที่จะขนส่งสินค้าล็อตใหญ่ๆตามออเดอร์ลูกค้าโดยเครื่องบินความเร็วสูง เสียดายก็แต่ตอนนี้เครือฉันยังไม่มีวิศวกรที่มีศักยภาพพอที่จะออกแบบระบบมัน...แกอยากลองทำหน่อยไหม”

            [ผมหรอ?] เสียงใสเอ่ยทวน เงียบไปนิดหน่อยเหมือนกำลังจับต้นชนปลาย [พี่ แต่ตำแหน่งตรงนั้นมันต้องใช้คนชำนาญพิเศษเลยนะ พี่ลืมไปหรือเปล่าว่าผมมันเป็นแค่เด็กปีสอง]

            “เออ ไม่ลืม ฉันยังไม่ลืมว่าแกเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดและอยู่ปีสอง แถมยังเป็นเด็กปีสองที่ได้เกรดสูงลิ่วจนมหาลัยส่งไปฝึกงานถึงอิตาลีทั้งๆแกเรียนอยู่อเมริกา ฉันรู้กระทั่งบริษัทที่แกไปฝึกด้วยซ้ำ ให้บอกไหมล่ะ” เขาได้ยินเสียงเอเลนลากยาวๆมาจากปลายสาย มันบ่นกลับมาว่าเขาไปสู้กับอิทธิพลมืดมาหรือเปล่า วิธีการพูดการจาอย่างกับพวกมาเฟีย มันหยอกล้อเขาแค่นั้น เป็นพิธีตามนิสัยก่อนจะว่าขึ้นใหม่ คราวนี้เสียงนุ่มๆนั้นฟังจริงจังและราบเรียบกว่าเก่ามาก

            [พี่ก็รู้ว่าผมอยู่ไหน จอร์จิโอ กรุ๊ป บริษัทมหึมาที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และนายหน้าประกอบยานพาหนะที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ผมพูดตามจริงนะ ไอ้ตึกนี่ให้อารมณ์อย่างกับเครือ The Best ที่พี่เคยเล่าให้ผมฟัง ใหญ่มาก น่าเกรงขาม โลกนี้ข้าอยู่เหนือ มั่นคง ไม่กลัวอิทธิพลอะไรทั้งนั้น ผมมาอยู่แค่สองอาทิตย์ผมยังรู้ ดีไม่ดีน่ากลัวกว่า The Best ด้วยซ้ำ กับเครือธุรกิจอย่างกับเจ้าพ่อขนาดนี้ผมอยากให้พี่คิดดีๆก่อนที่จะดึงผมไปทำงานด้วย ถึงผมแค่จะมาฝึกงานแต่ก็เหมือนเป็นคนของเขา อือ...ว่าไงดี ผมไม่ได้สงสัยในกำลังของพี่ แต่แค่เตือนให้พี่รู้ว่าโกคุเดระแอร์ไลน์อาจมีปัญหากับ Upenn และจอร์จิโอ เพียงแค่คิดจะเอาเด็กปีสองคนหนึ่งไปทำงานด้วย]

            โกคุเดระเม้มริมฝีปากนิด รับฟังอย่างใจเย็น ที่เอเลนท้วงมาเขาก็พอจะคิดเอาไว้บ้างแล้ว จอร์จิโอ กรุ๊ป ไม่ใช่เขาจะไม่รู้จัก เครือนี้อยู่มานานหลายชั่วอายุคน ธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงราวกับประกาศว่ามันคือศูนย์กลางของยุโรป ยิ่งใหญ่จนแทบไม่ต้องแก่งแย่งใคร คล้ายราชันย์ผู้ที่เลือกจะนั่งบนบัลลังก์อย่างสงบ รอพวกผู้น้อยห้ำหั่นกันเอง แม้แต่ศึกชิงดาวรุ่งอย่างเบธิลด์ ทาวเวอร์ที่รวมนักธุรกิจตัวเก็งจากทุกประเทศ จอร์จิโอก็ไม่แม้แต่จะแยแส  ถ้าจะเปรียบเทียบ เอเลนก็ว่าให้เห็นภาพแล้ว มันก็เหมือนกับ  The Best แต่น่ากลัวกว่าตรงที่ว่า The Best ยังคงมีโกคุเดระ แอร์ไลน์เป็นคู่แข่งสำคัญ เพียงแต่จอร์จิโอนั้นต่างออกไป


            ไม่มีใครเทียบได้...ดุจดั่งยานลำใหญ่ที่แล่นอย่างเงียบเชียบและมั่นคงท่ามกลางกระแสธุรกิจที่ผันผวนตลอดเวลา


            “กับมหาลัยฉันพอจะจัดการได้ อ้างบารมีเก่าสมัยเรียนอยู่คงจะไหวอยู่ แต่พอฟังแกแล้ว ก็พอจะรู้ว่าเขาส่งแกไปอยู่ในรังโคตรใหญ่ สุดท้ายต่อให้มหาวิทยาลัยอนุมัติ เขาก็ต้องถามความเห็นของทางบริษัทอยู่ดี ลงเอยที่ฉันต้องหาทางขโมยไข่ทองคำจากพญาอินทรี” โกคุเดระหัวเราะออกมาน้อยๆ จิบกาแฟหนึ่งอึกแล้วพยายามคิด หากแต่ไม่ทันจะพูดอะไรคนอายุน้อยกว่าที่อยู่อีกฝั่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน

            [อีกอย่างก็คือพี่อย่าลืมนะ เครือโกคุเดระที่ผมเพิ่งบอกพี่ว่าดังยิ่งกว่าดาราเลิกกันนั่นยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรในช่วงเดือนนี้ เครือธุรกิจอื่นเขาก็ยังคิดว่าพี่พักร้อนเลยเร่งปั่นโปรเจคกันใหญ่ แต่รับรองว่าพอพี่แค่เขียนเอกสารแจ้งไปทางมหาลัย ข่าวรั่วออกไป คราวนี้ล่ะพวกนกน้อยได้แตกรังกันใหญ่ มันอาจทำให้พี่ทำงานลำบากขึ้น] ฟังเสียงดักจากรุ่นน้องแล้วเขาก็ได้แต่ยิ้มแห้ง อย่าว่าแต่นกน้อยจะแตกรังเลย ลองให้ไอ้นกตัวใหญ่ๆใกล้ๆตัวรู้สิ เขาได้พับงานแล้วพักร้อนจริงๆแน่ ถึงจะไม่คิดปิดไปตลอด แต่อย่างน้อยเขาก็อยากให้เครื่องบินขนส่งมันดำเนินการไปได้มากกว่าครึ่งก่อน ถึงตอนนั้นยามาโมโตะคงไม่กล้าล้มโปรเจคเขากลางคัน

            แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เดินงานเลย ก้าวแรกยังยากแล้ว เขาคิดไว้แต่แรกว่าเจรจากับเอเลนไม่ได้ง่าย เขาไม่ได้หมายถึงมันจะยากในเชิงที่เอเลนจะปฏิเสธหรือเล่นตัว เด็กนี่ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น เพียงแต่มันเป็นเพราะเอเลนเป็นคนละเอียด จะชอบซักและเตือนแม้กระทั่งจุดเล็กๆ เป็นอีกด้านหนึ่งที่ค่อนข้างขัดกับบุคลิกสบายๆของหมอนั่นอย่างกับคนละคนกัน เด็กคนนี้ละเอียดจนเขายังต้องยอมรับ ดีไม่ดีไอ้นิสัยที่ชอบคิดดักหน้าดักหลังของเขา ส่วนหนึ่งก็ติดมาจากเอเลน

            “เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ระหว่างโกคุเดระ แอร์ไลน์ จอร์จิโอ และ Upenn แต่มันขึ้นกับแกด้วย” โกคุเดระว่าช้าๆเหมือนพูดกับตัวเอง ตามสเต็ปความคิดในหัวที่มันชักจะตั้งเค้า “ฉันจะใช้วิธีง่ายๆ จะประกาศรับสมัครวิศวกรการบินหนึ่งตำแหน่ง คงจะต้องให้แกช่วยเขียนใบสมัครมา แล้วเมคข้อมูลบางอย่าง โดยเฉพาะอายุ ช่วยส่งรูปถ่ายกับข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นต่อการทำเอกสารอย่างเช่นพาสปอร์ต บัตรประชาชน ใบขับขี่ ใบรับรองแพทย์ ฉันจะจัดการให้แกทั้งหมด รับรองว่าแกจะอยู่ที่นี่โดยเหมือนพลเมืองคนหนึ่ง ไม่ใช่ต่างด้าว ฉันพร้อมจะรับรองและดูแลแกทุกอย่างตลอดเวลาที่อยู่ญี่ปุ่น”

            ทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อประกันความปลอดภัยให้กับนักเรียนดีเด่น ทางมหาลัยคงจะหมดข้ออ้างกับเขา สาเหตุที่เขาให้เอเลนโกงอายุนิดหน่อยก็เพราะค่านิยมสังคม ที่นี่เขาถืออำนาจสูงสุดก็จริง แต่ก็ยังมีพวกผู้บริหารรุ่นใหญ่ที่อาจจะมีข้อกังขาในประสบการณ์ของเด็กอายุแค่สิบเจ็ด แล้วอีกเรื่องเขาจำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างให้เอเลนอย่างลูกจ้างคนหนึ่ง ตามกฎหมายญี่ปุ่นเขาต้องเก็บสูติบัตรเอเลนไว้ให้กรมแรงงานตรวจเพราะเด็กนี่ยังอายุไม่ถึง

            ยุ่งยาก สู้ให้โกงมาเลยดีกว่า เพราะต่อให้เข้าตามตรอกออกตามประตู ญี่ปุ่นก็ห้ามเด็กอายุสิบแปดทำงานอันตรายจำพวกซ่อมแซมเครื่องจักร หรืออยู่กับอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้า ซึ่งนั่นเป็นงานหลักที่เขาจะให้เอเลนทำเลย แล้วเขาก็มั่นใจว่าถ้าเอเลนมาอยู่ในเครือโกคุเดระเมื่อไหร่แล้ว เงาของธุรกิจเขาใหญ่พอที่จะปกป้องเอเลนจากเรื่องผิดกฎหมายเล็กๆพวกนี้ได้สบาย

            “แต่ก่อนอื่นคงต้องขอเจตนารมณ์ของคนทำงานก่อน จะได้ไม่ดูเหมือนฉันบังคับแกมาทำงาน”

            [แล้วยังไงต่อ]

            “คุย” โกคุเดระอมยิ้ม สำทับไปอีก “ฉันคงต้องขอให้แกสวมบทเป็นนักเจรจาต่อรองวันหนึ่ง พอเขารู้ว่าแกจะย้ายที่ทำงานยังไงก็ต้องเรียกแกไปคุย นั่นถือเป็นเรื่องดี แต่ฉันไม่ได้อยากให้แกพบแค่หัวหน้าฝ่ายหรือหัวหน้าแผนก ทำยังไงก็ได้ให้แกได้พบประธานบริษัทจอร์จิโอ เอาให้ใหญ่ที่สุด มั่นใจว่าไม่มีใครมีอำนาจตัดสินมากกว่าหมอนั่นแล้ว พบและเจรจากับเขาเรื่องที่จะมาทำงานกับฉัน ส่วนเรื่องเนื้อหาเจรจาฉันจะติวให้แกเอง ไม่ต้องห่วง”

            [เดี๋ยวพี่เดี๋ยว!] อีกฝ่ายเบรกเขาทันควัน น้ำเสียงบอกชัดว่าทั้งตื่นตระหนกและค้านหัวชนฝา [พี่จะให้ผมไปคุยกับประธานบริษัทใหญ่เลยเนี่ยนะ!? บ้าแล้ว พี่สติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย ผมเป็นวิศวกร ไม่ๆ อันที่จริงต้องบอกว่าแค่นักศึกษาคณะวิศวะด้วยซ้ำ ไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ใช่คนมีวาทศิลป์จูงใจคนได้ดีระดับเอบวกๆแบบพี่นะ แล้วอีกฝ่ายเขาระดับไหน ต่างชั้นกันชัดๆเลย! พี่จะให้ผมทำไง]

            “ก็ไม่ต้องทำไง แค่เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ส่วนบทพูดทั้งหมดฉันจะจัดการให้แกเอง เชื่อมือคนที่แกบอกว่ามีวาทศิลป์ระดับเอบวกๆนี่หน่อยได้มั้ยเล่า”

            [ขนาดนั้นแล้วทำไมพี่ไม่มาเจรจาซะเองเลยอ่ะ] อาการงอแงไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆของเอเลนมันไม่ค่อยจะมีให้เห็นนักจนโกคุเดระต้องเริ่มขมวดคิ้ว แต่ก็อธิบายเหตุผลไปอย่างใจเย็น

            “ก็แกบอกเองว่าตอนนี้ฉันเหมือนคนลาพักร้อน ขืนอยู่ดีๆท่านประธานโกคุเดระไปโผล่อยู่อิตาลี เดินเข้าตึกจอร์จิโอ กรุ๊ป เขาคงคิดว่าฉันมาเที่ยวเฉยๆ หรือมาฝึกงานอย่างแกมั้ง] คำย้อนที่เขาอ้างมันกลับไปคงจี้จุดเอเลนเต็มๆ ไอ้เด็กอายุสิบเจ็ดถึงได้ยอมเงียบ แต่เสียงหายใจหนักเพราะความอึดอัดใจก็ยังอุตส่าห์ลอดมาตามสายโทรศัพท์จนเขาอดจะถามออกไปไม่ได้ “ถ้าแกมีปัญญาอะไรกับเจ้านาย แกบอกฉันได้นะเอเลน”

            [เปล่าๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่...] เอเลนเงียบสักพักเหมือนลำบากใจจะพูด ก่อนจะว่าขึ้นใหม่ด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมมาก [พี่...พี่คงไม่คิดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดนี้เขาจะอยู่ได้ด้วยวิธีทางเศรษฐศาสตร์ธรรมดาหรอกใช่ไหม เดาว่าวันๆเขามีลูกค้ามาติดต่อ ซื้อมาก็ขายไป รับรายได้ปีละแปดเก้าหลัก แค่คิดก็ตลกเล่า...เอ่อ...ก็งั้นแหล่ะ มันคงต้องเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลเกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ชัวร์ ที่นี่มันอิตาลีนะพี่ ตำนานเดอะ ก็อดฟาเธอร์เป็นนิทานสุดออริจินอลของเด็กที่นี่เลย] เอเลนขำเบาๆ หมอนั่นเปรียบเทียบเองก็ขำเอง โกคุเดระถึงได้ยิ้มออกมาบ้าง ก็บอกแล้วว่าเด็กนี่นิสัยประหลาด สันนิษฐานเองแท้ๆว่าตัวเองทำงานในบริษัทมาเฟีย แต่ก็เล่าซะมันเหมือนเรื่องตลก

            “แล้วไง แกคิดว่าเจ้านายแกคือ ดอน วีโต คอร์เลโอเน หรือเปล่าล่ะ”

            [ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอ่ะ] เอเลนตอบอย่างรวดเร็ว [ไม่รู้สิ ผมก็เพิ่งมาอยู่นี่ได้แค่สองอาทิตย์ด้วย เอาตรงๆก็ไม่เคยเห็นประธานสูงสุดหรอก อย่างว่า ก็แค่เด็กฝึกงานนี่นะ วันแรกที่มาถึงก็ถูกแนะนำตัวกับพวกหัวหน้าแผนกแล้วก็เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ถูกกำชับว่าห้ามขึ้นไปชั้นบนๆที่เป็นส่วนทำงานของพวกผู้บริหารอีกแน่ะ...ถ้าถามว่าเคยเห็นใกล้ที่สุดก็แค่เวลาเขาเดินลงมาชั้นล็อบบี้ พี่พอจินตนาการขบวนพาเหรดชายชุดดำออกไหม...ประมาณนั้นอ่ะ ไปไหนทีนี่การ์ดบังจนมิด แค่ชายเสื้อสูทยังไม่เห็นเลย บรรยากาศทะมึนอย่างกับจะยกพวกไปตีใคร...อีกอย่างก็รักสันโดษล่ะมั้ง ไม่งั้นก็ออกแนวพวกผู้บริหารนั่งติดเก้าอี้ ไม่เคยเดินดูงาน ห้ามคนที่ไม่สนิทขึ้นไปวุ่นวายด้วย]

            ท่านประธานสายการบินคนสำคัญแห่งเอเชียรับฟังข้อมูลจากน้องชายอย่างเงียบงัน นึกชมในใจว่าเอเลนมีทักษะการสังเกตได้ดีมากทีเดียว แล้วดูท่าว่าอุปนิสัยไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวนั่นมันก็ดูเหมาะจะเป็นคนในวงการมืดซะจริงๆ เพราะพวกนี้มีความลับเก็บไว้กับตัวบานตะไท แถมความลับแต่ละอย่างก็ดำปิ๊ดปี๋ทั้งนั้น โผล่หางออกมาโลกสว่างข้างนอกเมื่อไหร่เป็นได้เด่นสะดุดตาทันที เขาพยักหน้ารับรู้กับตนเอง แล้วก็ตอบรับความคิดที่มันเพิ่งจะจุดประกายในหัว

            [พี่ไม่กลัวใช่ไหมล่ะ] คนเป็นรุ่นน้องเดาอย่างรู้ทัน ราวกับการจังหวะเงียบเมื่อกี้ เอเลนดูออกว่าเขาไม่ได้อึ้งหรือตกใจกับข้อมูลที่ได้รับ เขายิ้มบาง ตอบกลับไป

            “แกเองก็ดูไม่กลัวเหมือนกัน” ว่าแล้วก็ระบายลมหายใจหนึ่งเฮือก เอ่ยเสียงแผ่วเบาทว่าอ่อนโยนอย่างน่าฟัง “ฉันพอจะมีไอเดียแล้ว แต่เอเลน ถ้าแกไม่อยากทำงานนี้ แกบอกฉันมาตรงๆก็ได้นะ อย่างว่า ให้เด็กฝึกงานไปนั่งต่อรองธุรกิจกับประธานบริษัทมันออกจะเกินไปหน่อย”

            [พี่ฮายาโตะ พี่บอกว่าพี่คิดแผนทุกอย่างได้แล้ว แต่เพิ่งมาถามผมเรื่องนี้เนี่ยนะ]

            “อือ ก็ฉันไม่ได้บังคับแกนี่นา  นี่เป็นการยื่นข้อเสนอ แต่ถ้าแกคิดว่ามันไม่คุ้มก็ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าถ้าแกออกจากจอร์จิโอแล้วมาอยู่กับฉัน มันจะทำให้ชีวิตแกดีขึ้น ไม่มีหลักประกันว่าโปรเจคนี้มันจะไปได้สวยแล้วเราจะดังเป็นพลุแตกได้กำไรมหาศาล...ไม่มีเลยเอเลน...แต่ที่ฉันบอกแกได้ก็คือ ถ้าแกตอบตกลงกับฉันแค่คำเดียว ฉันจะพยายามทุกวิถีทางดึงตัวแกมาให้ได้ ไม่ว่าแกจะอยู่ในความดูแลของคนใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม แต่พอแกกลายเป็นลูกจ้างฉันแล้ว โปรเจคที่สำคัญของฉัน...ฉันจะขอฝากมันไว้กับแก...ช่วยทำให้มันสำเร็จที”

            โกคุเดระเงียบลงหลังจากที่พูดประโยคยาวๆออกไปจนหมด เขากะพริบตาช้าๆ เม้มริมฝีปากด้วยความลุ้น แล้วท้ายที่สุดช่วงเวลาบีบความรู้สึกก็จบลงอย่างง่ายดายด้วยเสียงหัวเราะที่เขาคุ้นเคย มันยังคงเป็นเสียงที่ฟังแล้วปลอดโปร่ง ไร้ความกังวล แม้จะรู้ว่างานทั้งยากทั้งใหญ่กำลังรอตัวเองอยู่ก็ตาม

            [พี่...พี่นี่เป็นนักต่อรองที่เจ๋งโคตรๆ] เอเลนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะเหมือนกับว่ายังอยู่ในอารมณ์ขำขัน แต่มันก็ให้ความรู้สึกนับถืออย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงฟังแล้วสดใสยิ่งกว่าคราวไหน

            [โอเค ผมตกลง แล้วพี่จะให้ผมทำอะไรบ้างก็ว่ามาเลย...พร้อมแล้ว!]


            .


            .


            .


            .


            .

            TBC...

            มิยะขอเม้าท์

            สวัสดีค่ะ สวัสดีผู้ที่ติดตามเรื่องนี้อยู่ ฮ่าๆๆๆ มันเกือบปีเลยเชียวสำหรับฟ้าถล่ม จำได้ว่าปิดเทอมคราวที่แล้วมิยะปั่นภาคแรกจบ แล้วก็ดองภาคสองไว้นานพอควร แต่ปิดเทอมนี้จะขอแต่งภาคสองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ ซึ่งพล็อต ตัวละคร เรื่องราวค่อนข้างจะพร้อมและเป็นรูปเป็นร่าง ตอนเริ่ม ตอนจบ ไคลแม็กซ์ ความสัมพันธ์ของตัวละคร โอเคแล้วล่ะค่ะ แต่ก็ยังประมาณไม่ได้ว่ามันจะซักกี่ตอน ฮ่าๆๆ เพราะงั้นขอฝากทุกท่านติดตามฟ้าถล่มภาคจบนี้ด้วยนะคะ
            ตอนนี้นี่ถือว่าเป็นของขวัญย้อนหลังโคตรๆของอิลูกเขยเบอร์หนึ่ง ถึงมันจะช้าไปหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันก็เถอะ แต่ก็ “สุขสันต์วันเกิดนะ ยามาโมโตะ >w<  สุขสันต์วันเกิดพ่อพระเอกตลอดกาลของขุ่นมี้ ของขวัญชิ้นนี้ชั้นให้เป็นชิ้นเดียวกับหนูก๊ก เลยละกัน ฮ่าๆๆๆๆ จะกี่ปีๆก็ขอให้เก่งขึ้น เนียนขึ้น อยู่เป็นคู่ขวัญกับหนูก๊กไปนานๆนะเจ๊อะ!
            ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนและรอคอยนะคะ ขอบคุณค่ะ

            Miya




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น