Project : Happy
birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.13
Au.Fic KHR 8059
[Yamamoto X Gokudera]
Drama comedy!? (มันอะไรกันล่ะนั่น!)
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
และอีกอย่าง
ฟิคเรื่องนี้มัน...เว่อร์ได้โล่ วิปริตหน่อยๆ โรคจิตเล็กน้อย
สาระค่อนข้างตกตะกอนนอนก้น
ขอให้มีความบันเทิง....ปรารถนาดีจาก
Miyaจ้ะ *v*
SKYFALL : 10
“อย่างนั้นเหรอ...แล้วมีผลกระทบทางสมองไหม”
เด็กหนุ่มร่างบางนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าโต๊ะทำงาน กำลังสนทนากับเลขาส่วนตัวที่โทรมารายงานผลภารกิจเบื้องต้น
เขาถอนหายใจยาวเมื่อได้รับคำตอบว่าเลขาของเจ้ายามาโมโตะไม่เป็นอะไรมากมาย
สมองไม่เป็นอันตราย ส่วนกะโหลกศีรษะก็ยังปกติ
“ส่วนค่าการรักษา...เดี๋ยวฉันจะบอกอาเจ๊ให้โอนไปให้
เข้าใจใช่ไหมว่าตอนนี้บัตรเดบิตของฉันไม่อาจมีการเคลื่อนไหวได้...อืม...ขอบใจมาก
ฝากด้วยแล้วกัน ลอร์ดคริสโตเฟอร์”
เขาวางไอโฟนลงกับโต๊ะที่ตอนนี้มีแล็ปท็อปตัวเก่งตั้งอยู่ตรงหน้า
ฝั่งซ้ายมีเอกสารวางแผ่หลาจนเต็ม ส่วนฝั่งขวาเป็นแผงวงจรเล็กๆประมาณสิบกว่าชิ้นวางเกลื่อนกลาด
แต่ตอนนี้ทุกชิ้นบรรจุข้อมูลชื่อนามสกุลปลอมของพนักงาน
แต่ฐานข้อมูลระบุว่าเป็นคนของโกคุเดระ ตอนนี้เช้าแล้ว
และอีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มการประมูล แต่เขายังไม่ได้นอนสักงีบ
เป็นคืนที่รู้สึกว่าตัวเองราวกับเป็นเครื่องจักร
ซ้ำแอลกอฮอล์ยังทำให้เขามีอาการแฮงค์อ่อนๆด้วย
เหมือนจะน็อกตามเจ้าเฟร็ดดอริกไปทุกขณะเลยแฮะ
นิ้วเรียวคลึงเปลือกตาที่เริ่มแสบเคือง
แล้วจัดการเก็บแผงวงจรทั้งหมดใส่กล่องแล้วจัดการเคลียร์เอกสารทั้งหมดบนโต๊ะ
เขายังพักไม่ได้ งานจะเริ่มแล้ว รวมทั้งสิ่งที่ต้องทำด้วย
ดวงตาเหลือบไปหาแผ่นซีดีที่อยู่ในกล่องใสที่เขาอยากจะหักมันทิ้งทุกวินาทีแต่ก็ทำไม่ได้
เขาเลือกแล้ว...จัดการเสร็จหมดทุกอย่าง...มันตัดสินไปแล้วว่าใครคือผู้ที่ได้เบธิลด์
ทาวเวอร์ไป...
ครืด...คราด...
โทรศัพท์สีขาวบนโต๊ะสั่นขึ้นมา
เขาจ้องมันอยู่สักพักแล้วรับสาย
[นายไม่กลับห้อง...]
เสียงทุ้มว่าขึ้นอย่างเรียบเฉยทันทีแทนคำทักทาย
ไม่แน่ใจว่าต้องการถามถึงเหตุผลหรือแค่เปรยเฉยๆกันแน่ เขาถอนหายใจยาว
แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็โล่งใจได้อย่างหนึ่ง
ยามาโมโตะก็ดูมีกำลังดีที่จะทำงานเช้านี้ ต่างจากเขาลิบลับเลย
“อย่ามาเดามั่วๆ”
เขาสวนเสียงเขียว “ฉันกลับแล้ว...แต่เห็นนายหลับไม่รู้เรื่อง แถมยังนอนกินที่ฉันอีก
ฉันขี้เกียจปลุกก็เลยเดินออกมาเท่านั้น...
แล้วยังไง...โทรเข้ามือถือก็เพราะไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนล่ะสิ”
[รู้...ห้องของเลขานาย...อันที่จริงก็ตั้งใจจะโทรเข้าโทรศัพท์ในห้องพักอยู่หรอก
แต่โทรศัพท์มือถือของฉันมี micro SD card ป้องกันการดักฟังอยู่
ของนายก็ด้วย
แล้วตอนนี้ฉันก็มีความรู้สึกว่าการติดต่อกับนายคงจะต้องระมัดระวังสักหน่อย]
ถึงจะไม่ใช่เวลาแต่หมอนี่ก็ทำให้เขาเบะปากอย่างหมั่นไส้
ไม่รู้ว่าเดาถูกได้ยังไงว่าเขายังไม่ถอดการ์ดออก
แถมยังไอ้ความรู้สึกที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งนั่นอีก เขายิ้มออกมาในที่สุดแล้วว่าขึ้น
“...นายเดาถูก”
[ก็ดีที่ถูก...ความจริงฉันคาดการณ์เอาไว้สองที่...ถ้าไม่ใช่ห้องของลอร์ดคริสโตเฟอร์
ก็มีอีกที่หนึ่งที่นายจะไปได้]
หัวคิ้วคนฟังขมวดทันที
“ที่ไหน?”
[ห้องของแดช]
โกคุเดระอ้าปากค้าง ได้ยินปลายสายหัวเราะเย็นๆ แล้วเสริมขึ้นว่า [ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆฉันไม่โทรเฉยๆแน่
ต่อให้เป็นห้องของลูกชายผู้จัดประมูลก็จะบุกเข้าไป
แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรร้ายแรงอย่างชกหน้าหมอนั่นแล้วกระชากนายออกมาคุยตบท้ายด้วยถ่ายรูปสักแชะสองแชะเอาไปแฉว่านายโกงการประมูล
อย่างดีคือตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์คอลัมน์ธุรกิจ
แต่อย่างร้ายคือถูกเอาไปลงกอสซิปแล้วบอกว่าพวกนายสองคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน....ฟังดูตลกออกว่าไหม...]
โกคุเดระหัวเราะเหอะๆในใจ
ชัดเลย...ตอนนี้ยามาโมโตะอยู่ในอารมณ์ไม่ปกติ
เพราะถึงแม้หมอนี่จะไม่ค่อยมีอาการเหนื่อยตกค้างแล้ว แต่ผลข้างเคียงของโรคเครียดของหมอนั่นก็ชักจะออกลายซึ่งมันติดเป็นนิสัยประจำตัว...ยามาโมโตะจะเอาความรู้สึกแย่ที่มันทับถมร่างกายเปลี่ยนเป็นอารมณ์กวนประสาทชาวบ้าน
ปากจะเสียขึ้นสิบเท่า ความเยือกเย็นจะลดลงจนต่ำกว่าจุดเดือดอยู่โข
ตอนแรกเขาก็หัวเสียตามหมอนี่อยู่หรอก แต่ผ่านไปก็ชักจะชิน วิธีรับมือคือเงียบสักพักให้เขาถอนหายใจออกมา
สบถเบาๆกับตัวเองนั่นแหล่ะถึงจะกลับเป็นปกติ
แล้วคนที่อยู่ปลายสายก็ทำอย่างที่เขาคิดจริงๆ
เขาเว้นสักพักแล้วก็ว่าขึ้นใหม่
[ฉันเชื่อว่านายทำอะไรมีเหตุผลเสมอ...แน่นอนว่าเมื่อคืนไม่ยอมค้างที่ห้องเดียวกับฉันก็ด้วย
ฉันก็คงจะขอฟังเหตุผลของนายอย่างทุกครั้ง...แล้วก็ไม่ซักถามอะไรอีก...นั่นคือฉันและนายที่ทำงานด้วยกันมาโดยตลอดสิบปี]
เขายืนนิ่ง
มือบางกำโทรศัพท์แน่นขึ้น
อาการแสบตามันชักจะออกฤทธิ์เพิ่มโดยมีน้ำอุ่นๆมาคลอจนทำให้เห็นภาพเบื้องหน้าพร่าลง
บ้าชะมัด...บ้าที่สุดเลย! หมอนี่ชอบทำให้เขาเหมือนเด็ก แล้วตัวเองก็ทำตัวเหมือนคนแก่แถมยังเป็นคนแก่ที่น่ารับมือยากที่สุด...ไม่เคยบังคับขู่เข็น...ไม่เคยดุด่าว่ากล่าว...ไม่เคยตักเตือนอะไรด้วย
แต่กลับพูดให้เขาสะเทือนอารมณ์ได้ง่ายๆ...
อย่างเช่นตอนนี้...หมอนั่นกำลังย้ำเตือนให้เขานึกถึงอดีตทั้งๆที่มันเป็นสิ่งที่เขาพยายามตัดมันออกให้ได้มากที่สุด
[โกคุเดระ....เรื่องเอกสารที่วางอยู่บนหัวเตียงนี่...]
“ทำความเข้าใจกับมันซะ
เจ้าซีอีโอสุดเพอร์เฟคแห่งเอเชีย...”
เขาเอ่ยแทรกทันทีเพราะกลัวจะมีคำที่ไม่อยากได้ยินหลุดออกมาต่อจากนั้น
“ฉันอธิบายให้นายฟังไปหมดแล้ว...ทั้งเรื่องก่อนหน้านี้ที่ร้านกาแฟและก็ที่เขียนไปในกระดาษนั่น
มันมีทั้งวิธีปฏิบัติ แล้วก็เหตุผล ครบทุกอย่างที่นายอยากรู้เลย
อย่างนายต้องเข้าใจแน่...คงไม่ยอมเสียเซลฟ์บอกฉันว่า ‘ไม่เข้าใจ...ขอถามหน่อย’
หรอกใช่ไหม....”
ใช่...นายไม่เคยถาม
ฉันพูดอะไรนายเข้าใจทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคราวนี้ก็ห้ามถาม...
เพราะถึงถามมา....ฉันก็ไม่รู้จะอ้างคำตอบไหนกับนาย
“อีกอย่างก็คือห้ามค้าน...อันนี้หวังว่านายจะไม่ลืม
เพราะมันเป็นข้อตกลงของเรา...”
[ใช้ข้อนี้จนเป็นประโยชน์เลยนะ...โกคุเดระ]
น้ำเสียงของเขาเย็นชาและแฝงไปด้วยความผิดหวังอย่างที่โกคุเดระนึกหวาดกลัว
นอกจากนั้นมันยังมีความเสียใจและเดือดดาลแฝงมาด้วย...เขารู้...รู้ดีเลย
มันก็สมควรแล้วที่จะเป็นแบบนี้
[...แน่ใจแล้วใช่ไหมที่ตัดสินใจแบบนี้
รู้หรือเปล่าว่าผลที่ตามมามันคืออะไร]
“รู้...และไม่มีวันเปลี่ยนใจ...”
เขาสวนกลับด้วยความเรียบเฉย ต่อต้านน้ำเสียงที่ทวีความเย็นชาราวกับเป็นคำขู่นั้นอย่างไม่เกรงกลัว
หรือกลัว...แต่มันก็ด้านชาไปเสียแล้ว “รีบไปเตรียมตัวประมูลเถอะ ท่านประธานแห่ง The Best ผลออกมาเป็นยังไงก็หวังว่าจะยอมรับได้...ซึ่งก็น่าจะรู้ผลอยู่แล้วนะ...”
[โกคุเดระ...]
“แค่นี้...”
เขารีบกดวางแล้วโยนมันลงไปบนโต๊ะ
มองด้วยแววตาไหวระริกแล้วคิดว่าถ้าได้ยินเสียงหมอนั่นมากไปกว่านี้เขาจะทนไม่ไหวแล้วทำโทรศัพท์ร่วงพื้นเอาง่ายๆ
แต่ละประโยค...เขาไม่รู้ว่าหมอนี่จงใจก่อกวนอารมณ์ของเขาไหม
เพราะถ้าเป็นกรณีนั้นก็ต้องบอกว่ามันได้ผลสุดๆ ได้ผลชั้นเยี่ยมเลย ตอนนี้หัวเขาหมุนติ้ว
รู้สึกแย่แทบอยากอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด...เขาใส่ใจ...ใส่ใจกับคำพูดของหมอนั่นทุกคำจริงๆ....
เพราะมันเป็นตรรกะง่ายๆ
คนที่ไล่ตามย่อมรับรู้ทุกการกระทำของคนที่อยู่ข้างหน้าตัวเองเสมอ
ปิดตา...ก็ยังได้ยิน...ปิดหู...ก็ยังเห็นชัด แล้วจะเก็บการกระทำนั้นใส่ใจอยู่เสมอ...ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้...เขาเองก็เช่นกัน
เพราะฉะนั้นเขาถึงคิดว่าประโยคนั้นมันเจ็บปวด
ฉันเชื่อว่านายทำอะไรมีเหตุผลเสมอ...แน่นอนว่าเมื่อคืนไม่ยอมค้างที่ห้องเดียวกับฉันก็ด้วย
ฉันก็คงจะขอฟังเหตุผลของนายอย่างทุกครั้ง...แล้วก็ไม่ซักถามอะไรอีก...นั่นคือฉันและนายที่ทำงานด้วยกันมาโดยตลอดสิบปี
นั่น...มันหมายความว่านายเชื่อใจฉันมาโดยตลอด...ใช่ไหม.....
การยื่นซองประมูลจะต้องยื่นต่อหน้าเดเมียน
เลอรอยด์และตัวต่อตัวเท่านั้นในห้องประชุม Le’man
ABC และคิวการเข้าห้องประชุมได้ถูกกำหนดตามการจับฉลาก
คนหนึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
แต่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงในการสาธยายข้อมูลเด่นๆของกิจการตัวเองให้เดเมียนฟัง
ซึ่งมันอาจจะประกอบไปด้วยสินค้าเด่นๆ เป้าหมายกลุ่มลูกค้า การดำเนินการ
รายรับรายจ่ายในรอบปี หรือแม้กระทั่งแบบแปลนก่อสร้าง วัสดุที่ใช้ผลิต ซึ่งข้อมูลตรงนี้แหล่ะที่เป็นสิ่งต้องล้วงมาจากคู่แข่งให้ได้มากที่สุด
และถ้าจะให้เผด็จศึกจริงๆก็คืออย่างที่เขาไปรู้ข้อมูลลับของยามาโมโตะเข้า
จำนวนเงินในการประกวดราคา...
ถ้าเป็นอย่างนี้
ประตูแห่งชัยชนะก็ไม่มีทางเปิดให้ยามาโมโตะแล้ว
โกคุเดระยกกาแฟดำขึ้นจิบ มันไม่มีทางทำให้หัวของเขาปลอดโปร่งเหมือนคนนอนครบ
6-8
ชั่วโมงได้หรอก
แต่อย่างน้อยๆมันก็คงทำให้ร่างกายของเขายังคงทำงานต่อไปได้ไม่น็อกเอาซะดื้อๆ
พูดได้ ฟังได้ ใช้ความคิดได้ แต่มันก็คงช้ากว่าปกติหลายเท่าอยู่
แถมนี่พอเขาไม่ได้นอนก็เลยมีอาการความดันต่ำ ท้องไส้โหวงๆและกินอะไรไม่ลงทั้งนั้น
หึ
นี่ถ้าไม่รู้ผลแพ้ชนะการประมูลอยู่แล้ว...เช้านี้คงเป็นการทำงานที่แย่ที่สุดในชีวิตเขาเลย
“เช้านี้ หน้านายดูแย่สุดๆ”
คำทักทายที่ฟังไม่รื่นหูพอๆกันกับยามาโมโตะดังขึ้นข้างหน้าเขา
ดวงตาสีเขียวมรกตกลอกขึ้นมองเจ้าลูกชายของเจ้าภาพที่วันนี้อยู่ในชุดสูทเรียบร้อยอย่างครั้งแรกที่เจอกัน
ต้องบอกว่าการคุยกันสองชั่วโมงติดเมื่อวานนี้ทำให้เขากับหมอนี่รู้สึกสนิทกันขึ้นมาก
ก็ถึงขั้นเขาสังเกตเห็นรอยเบะเล็กๆที่ปากอีกฝ่าย
หมอนี่กล้าทำหน้าแหยใส่เขาแล้ว...ก็ดี ฝึกไว้จะได้ชิน
เขาเชื่อว่าจากนี้แดชีลล์คงได้ขยะแขยงหน้าตาและการกระทำของเขาอีกมากมาย
“แย่จริงๆ เฮ้! ฉันไม่ได้หลอกด่านายนะโกคุเดระ
แต่นายซีดมาก...นี่ไปเล่นหนังแวมไพร์ได้โดยไม่ต้องแคสติ้งเลย”
“ไม่ต้องบอก
ที่ห้องพักมีกระจกฉันรู้” เขากัดกลับ แล้วทำหน้าบูดใส่ร่างสูงตรงหน้า
“แล้วตอนนี้นายก็ไม่ควรมานั่งดูหนังหน้าแย่ๆของฉันด้วย โน่น! นายควรจะอยู่ในห้องสัมมนาพร้อมๆกับพ่อนายเพื่อฟังข้อเสนอของผู้เข้าประมูล
ไม่ใช่มาลอยชายในห้องอาหาร”
“นายเข้ายื่นซองคิวที่เท่าไหร่”
แดชีลล์ถามโดยไม่สนใจคำประณาม แม้จะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกขัดใจหน่อยๆแต่เขายอมบอกไป
“คิวที่เจ็ด...ทำไม?”
“หืม? ก็ใกล้แล้วนี่นา
แต่ก็อีกประมาณสี่สิบห้านาทีเป็นอย่างต่ำล่ะนะ”
หมอนั่นว่าขึ้นแล้วนั่งลงกับโซฟาตัวเล็กตัวตรงข้ามเขา
มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “ช่วยไม่ได้...เอาเป็นว่าฉันจะยอมเป็นเพื่อนคุยกับเด็กขี้เหงาแถวนี้ไปก่อนก็แล้วกัน”
เขาไม่รู้ว่าตัวเองไปทำท่าทางเหมือนเด็กขี้เหงาอย่างที่เจ้าหมอนี่บอกตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ไอ้ประโยคกำกวมของแดชีลล์
เจ้าคนที่เขาเดาว่าปากแข็งไม่แพ้อาเจ๊ยอมพูดว่าจะเป็นเพื่อนคุยด้วยนั่นแสดงว่าต้องมีเรื่องอยากรู้จากเขาแน่นอน
อย่างน้อยๆก็เรื่องตลกร้ายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับเบธิลด์เมื่อคืนนี้
“มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ”
“ฉันบอกว่ามาเสนอตัวเป็นเพื่อนคุย
นายต่างหากที่ต้องเป็นคนเปิดประเด็นน่ะ โกคุเดระ” ชายหนุ่มยิ้ม
เป็นยิ้มรู้ทันอย่างที่โกคุเดระชักจะคุ้นเคยกับมันเสียแล้ว
คราวนี้เขาว่าต้องโทษสมองเขาที่มันช้าลง เขาเพิ่งจะคิดได้ ตอนนี้แดชีลล์ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เบธิลด์สาขาหลักแม้แต่เรื่องเดียว
สิ่งที่หมอนี่รู้คือแผนการของเขาเมื่อคืนว่าจะไปเจรจากับสตีเฟนแล้วเขาจะทรยศยามาโมโตะ
แล้วมันก็เป็นแค่การหักหลังเล่นๆเพื่อตบตาด้วย
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว...
“นี่...เลอรอยด์
นายว่าการทรยศคนที่เชื่อใจเรามาตลอดนี่...มันสมควรได้รับการให้อภัยหรือเปล่านะ”
คนฟังชะงักไปเล็กน้อย
ชายหนุ่มทำสีหน้าประหลาดใจที่ได้ฟังคำถามแปลกประหลาดที่ดังขึ้นแผ่วๆนั้น
ถ้าเป็นแบบนี้...มันคงไม่ใช่คำถามอย่างเดียว...แต่เป็นการตอกย้ำความคิดของตัวเองด้วย
“ไม่สมควรเลย” เขาตอบอย่างชัดเจนและไม่รักษาน้ำใจแม้จะมองความรู้สึกคนถามออก
“แค่ทรยศน่ะ มันก็ผิดมากอยู่แล้ว...แต่นี่ดันเป็นคนที่เชื่อใจมากที่สุด
นายไม่คิดเหรอว่ามันเหมือนอารมณ์คนๆหนึ่งยื่นของให้อีกคน แต่นอกจากคนนั้นจะไม่รับ
เขายังขว้างทิ้งไปอย่างไม่ไยดี...ราคาของความเชื่อใจน่ะ มันมาก แค่ไหนฉันก็ประมาณไม่ได้หรอก
แต่รู้เพียงแค่ว่ามันมากพอที่คนขว้างทิ้งไปแล้ว ไม่สมควรจะได้รับมันอีก...”
“หึ...ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหล่ะ”
เด็กหนุ่มแค่นยิ้มอย่างเย็นชา
รู้สึกถูกใจกับคำตอบอย่างที่ถ้ามันเป็นข้อสอบคงให้เอบวก
มันตรงเป๊ะอย่างที่เขาคิดเลย ดีแล้วที่แดชีลล์มีนิสัยเหมือนยามาโมโตะอย่างกับโขกกันออกมา
หมอนี่ไม่เคยพูดรักษาน้ำใจใคร ทุกอย่างตั้งอยู่บนความจริง...ดีแล้ว..
“แต่บางที...มันก็มีเรื่องต้องลุ้น”
เสียงทุ้มว่าขึ้นใหม่ทำให้ดวงตาสีมรกตเหลือบขึ้นมอง
แล้วก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายที่มีความอบอุ่นฉาบอยู่บางเบา
“ลุ้น...ว่าระหว่างตัวนายกับความเชื่อใจในตัวนาย
เขาคนนั้นคิดว่าอะไรมีค่ามากกว่ากัน...”
“หมายความว่าไง”
รอยย่นระหว่างคิ้วคนอายุน้อยกว่าทำให้แดชีลล์ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ
เขาว่าแล้วไหมล่ะ เจ้าเด็กนี่เป็นพวกหัวช้าเรื่องพรรค์นี้จริงๆซะด้วย
“ก็ประมาณว่า
ต่อให้นายทำร้ายเขามากเท่าไหร่ หรือเป็นอันตรายต่อเส้นทางของเขายังไง
เขาก็ไม่คิดที่จะผลักนายให้ถอยห่าง...ใช่...นายจะทำอย่างไรกับเขาก็ช่าง
คิดอะไรอยู่ก็คิดไป แต่ขออย่างเดียวก็คือ...นายอย่าจากเขาไปไหน
อยู่ข้างๆ....อยู่ในสายตาของเขาตลอดก็พอ....”
โกคุเดระนิ่งไปกับคำตอบที่ได้รับ
หัวเราะคนเดียวในใจเงียบๆ
พยายามคิดถึงเจ้าคนที่เป็นต้นเหตุของคำถามแล้วเอาคำพูดของแดชีลล์เข้ามาประกอบ
แล้วผลสุดท้าย...เขาก็ต้องลงความเห็นว่าคำตอบของแดชีลล์คงใช้กับยามาโมโตะไม่ได้...
เขาไม่ปฏิเสธ
สำหรับเจ้าหมอนั่นแล้วเขาอาจจะเป็นคนสำคัญในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในเพื่อนวัยเดียวกันที่เข้าใจหมอนั่นดีมากกว่าใคร...เพราะถูกเลี้ยงมาเหมือนๆกัน
เจออะไรมาเหมือนกัน และทำงานตั้งแต่อายุน้อยเหมือนกัน...เป็นคู่แข่ง
ซึ่งตรงนี้เขายังไม่ได้รับการยอมรับจากยามาโมโตะหรอก
เขาอุปโลกน์ขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว...รู้อีกทีก็ตั้งหมอนั่นเป็นเป้าหมาย
แล้ววิ่งตามเรื่อยมา....เป็นหุ้นส่วนกัน...หลายครั้งที่เขาให้คำปรึกษายามาโมโตะในเรื่องงาน
ไม่มีใครเข้าใจคำพูดและปฏิบัติตามที่เขาแนะนำได้ดีเท่าหมอนั่น
แต่มันก็เท่านั้น.....
เขาไม่ได้สำคัญพอที่หมอนั่นจะเอาทุกอย่างในชีวิตมาแลก
แค่เปรียบเทียบตัวเองกับ The
Best มันก็ชัดเจนพออยู่แล้ว....และที่สำคัญที่สุดก็คือประโยคสุดท้ายที่มันยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ใช่....
อยู่ในสายตาของเขาตลอดก็พอ....
มันจะเป็นไปได้ยังไง....
“เลอรอยด์...ฉันมีเรื่องจะบอกนาย
ถือว่าเป็นของตอบแทนสำหรับคำตอบดีๆก็แล้วกัน” รอยยิ้มจางๆที่ปรากฏบนใบหน้าทำให้คนฟังเลิกคิ้ว
แต่ไม่ทันที่จะถามว่าอะไร ไอโฟนเครื่องสีขาวก็ถูกเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า
แล้วหน้าจอมันก็ค้างอยู่ที่กล่องข้อความ MMS เขาเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของมือถือนิดหน่อยที่พยักพเยิดให้เขากดดูได้เลย
ทันทีที่ข้อความเปิดออก ดวงตาสีเทาอมฟ้าก็เบิกกว้าง มือบีบแน่นกับเครื่องมือสื่อสารจนมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“นี่มัน...!!!”
“เรื่องจริงแน่นอนฉันยืนยันได้”
เด็กหนุ่มย้ำเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่มันแผ่วเบาลงกว่าเก่า “พวกมันลงมือกันเมื่อคืน
แต่ระเบิดทั้งหมดสั่งการด้วยรีโมต...แสดงว่ามันเก็บไว้เป็นไพ่ตายอันสุดท้าย
นั่นคือถ้าพวกมันไม่ได้เบธิลด์ ทาวเวอร์...ก็ไม่มีใครหน้าไหนได้ทั้งนั้น”
“แต่..แต่
ตามที่ฉันฟังแผนการของนาย พวกมันก็ไม่ได้เบธิลด์ไปแน่ๆนี่!”
เขาร้องเบาๆอย่างสับสน
แววตาที่เคยนิ่งไหวระริกอย่างที่โกคุเดระไม่เชื่อว่าจะได้เห็นจากชายคนนี้
แต่เพียงเท่านี้เขาก็คิดว่าแดชีลล์เป็นคนกักเก็บอารมณ์ได้ยอดที่สุด
ตึกนั้นเป็นของล้ำค่าที่ผู้มีพระคุณสร้างมากับมือ พอมันมาแขวนอยู่บนเส้นด้ายติดไฟ
ไม่มีใครอยู่เฉยได้หรอก ดีแค่ไหนที่หมอนี่ไม่ตะโกนโวยวายออกมาเพราะขวัญเสีย
“ใช่...แต่ตราบใดที่มันยังเชื่อว่าฉันจะได้เป็นผู้ถือหุ้นเบธิลด์คนใหม่
มันจะยังไม่มีทางทำอะไรเกินเลย เรากำลังกินผลประโยชน์กันเป็นทอดๆอย่างห่วงโซ่อาหาร
มันไม่โง่พอที่จะทำลายเบธิลด์ที่เป็นผลประโยชน์ของฉันหรอก...เพราะมันก็กลัวที่จะเสียโกคุเดระแอร์ไลน์ไปเหมือนกัน”
ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสถอนหายใจยาวและหลับตาลง
ร่างสูงพิงกับพนักโซฟา ใช้เวลาสงบสติอารมณ์สักพักแล้วพึมพำออกมา
“โอเค...”
เขานั่งตัวตรงขึ้นใหม่
จ้องมองเด็กหนุ่มร่างบางตรงหน้าที่คิดอะไร ทำอะไรได้น่าทึ่งเสมอ
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย...ใช่ ตึกเขาโดนวางระเบิด โดนทุกชั้น
และเป็นตึกปฏิบัติการด้วย แต่ตอนนี้โกคุเดระพยายามจะบอกเขาว่า ตัวเองได้ปกป้องเบธิลด์ทาวเวอร์อยู่
“ฉันเชื่อใจนาย”
เขาเอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“นายเชื่อใจฉัน?”
โกคุเดระทวนถาม ราวกับว่าเจ้าตัวได้ยินอะไรผิดไป “....งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าฉันเห็นนายเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ไม่เกี่ยวกับข้อตกลง ผลประโยชน์ หรือเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวาน...”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม เขาดันตัวให้โน้มมาข้างหน้ามากขึ้น แล้วเอ่ยเน้นช้าๆ
“แต่เพราะว่านายคือโกคุเดระ
ฮายาโตะ ฉันถึงเชื่อ....จำเอาไว้ซะล่ะ”
เจ้าพวกนี้มันนิสัยไม่น่าคบจริงๆด้วย....เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองในใจ
แต่กระนั้นบนดวงหน้าสวยก็ยังมีรอยยิ้ม
เขาหยิบวัตถุสีดำทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้กับแดชีลล์
ดวงตาสีเขียวมรกตมีแววเปลี่ยนไป มันทั้งทรงพลังและมุ่งมั่น
เขากล่าวสำทับเพียงแค่สั้นๆ
“ฝากให้ยามาโมโตะ...”
“ได้ตามที่ขอเลย”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับและลุกขึ้นจากโซฟาพลางถือซองเอกสารขึ้น
แล้วเดินออกไปจากห้องอาหารมุ่งหน้าไปที่ห้องยื่นซองประมูล
สายตาของแดชีลล์มองร่างบางที่เดินตัวตรงอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีผู้ติดตามอย่างใครๆ
แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าแผ่นหลังนั้นคุ้มค่าพอที่จะให้ติดตาม
พลันเรื่องที่พ่อเล่าให้เขาฟังเมื่อท่านประธานโกคุเดระมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรกก็ลอยเข้าหัว
พ่อบอกว่าเด็กคนนี้มีความสามารถพิเศษ...
แล้วเขาก็เชื่อแล้วว่ามันเป็นความจริง
แล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินออกไปบ้าง
ส่วนจุดหมายของเขาอยู่ที่ทางเดินหนีไฟชั้นสาม
ร่างบางของท่านประธานโกคุเดระยืนอยู่หน้าห้องประชุม
Le’man ABC ในมือถือซองเอกสาร
ส่วนรอบข้างแทบไม่มีผู้เข้าร่วมประมูลอื่นเลย
อาจจะเป็นเพราะคิวของเขาเป็นคิวท้ายๆแล้ว
และผลการประมูลจะถูกประกาศหลังจากนักธุรกิจคนสุดท้ายออกจากห้องประมาณสามสิบนาที
เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่คนอื่นเข้ายื่นซองต่อเดเมียนจึงเป็นเวลาพักผ่อน บางคนอาจจะอยู่ที่ห้อง
บางคนอาจจะนั่งเช็คหุ้นฆ่าเวลาอยู่ที่เลาจ์
คนที่เขาจะได้เห็นหน้าก็คงจะมีแต่คนเข้ายื่นซองคิวที่หกเท่านั้น
จะว่าไปตอนจับฉลาก...คิวที่หกรู้สึกว่าจะเป็น....
ประตูตรงหน้าเปิดออก
เด็กหนุ่มร่างสูงเรือนผมสีดำในสูทสากลเรียบกริบเดินออกมาจากห้อง ดวงตาคมสีเปลือกไม้มองมาที่เขาสักพักแล้วมองผ่านเลยไปพร้อมๆกับเจ้าของร่างที่เดินจากไปโดยไม่มีคำพูด
มันเป็นวินาทีที่โกคุเดระต้องกลั้นใจแล้วเดินสวนเข้าห้องไปอย่างไม่มีอะไรเช่นกัน
ในห้องมีโต๊ะประชุมรูปตัวยู
เดเมียน เลอรอยด์นั่งอยู่หัวโต๊ะ ส่วนข้างหลังมีเลขาที่ดูจากหุ่นและรูปลักษณ์แล้วไม่ต่างไปจากลอร์ดคริสโตเฟอร์สักเท่าไหร่นัก
น่าจะควบตำแหน่งเป็นทั้งเลขาและบอดีการ์ด
ที่มุมห้องด้านขวามีการเปิดใช้กล้องวงจรปิด
ภาพที่เห็นคงจะอยู่ในระดับป้องกันการเล่นไม่ซื่อขั้นร้ายแรงเช่นทำร้ายข่มขู่
แต่คงไม่ถึงขั้นเห็นข้อมูลในเอกสาร เพราะมันเป็นการปกป้องความลับของแต่ละบริษัท...และแน่นอนว่ากล้องวงจรปิดรุ่นนี้ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ด้วย
เมื่อเดเมียนเชิญนั่งเขาจึงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตัวด้านขวามือ
สบสายตากับชายสูงวัยที่ต้องบอกว่ารู้จักเก็บอาการได้เก่งพอๆกับแดชีลล์ผู้เป็นลูกชาย
เขายื่นซองทีหลังยามาโมโตะ นั่นก็แปลว่าเดเมียนรู้แผนเขาในระดับหนึ่งแล้ว
พลันดวงตาสีเขียวมรกตก็เปลี่ยนไป
มันวาวโรจน์ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
อย่าคิดว่าคนอย่างเขาจะจนตรอกจนกลายเป็นเหยื่อของตาแก่นั่นง่ายๆล่ะ
เขายอมรับว่าเขากลัวและเครียดเพราะแรงกดดันของตาแก่นั่นมาตลอดทั้งคืน แต่นั่นมันไม่ใช่ตอนอวสานหรอก
ใช่...ของจริงมันเพิ่งจะเริ่ม
แผนลับซ้อนแผนของเจ้าสตีเฟนที่เขาใช้หัวแฮงค์ๆคิดแก้ไขมันทั้งคืน! ตอนนี้มันยังไม่จบ!!
และถ้ามันจะจบมันต้องจบอย่างสวยงาม
จะต้องไม่ใช่เขายอมไปเป็นหมากให้ตาเฒ่าจิ้งจอกนั่น
โกคุเดระแอร์ไลน์ต้องไม่ถูกแตะต้องโดยวงการมืดอีกเป็นครั้งที่สอง
และที่สำคัญที่สุด...เขาจะไม่ยอมเป็นคนทรยศยามาโมโตะ ไม่มีทาง!
“เธอคงเป็นอีกคนที่จะเข้ามาคุยกับฉันแบบไม่เหมือนใคร
คุณโกคุเดระ”
“ก็ผมไม่มีความจำเป็นต้องประมูลแล้วนี่ครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มรับ ก่อนที่รอยยิ้มจะหายไปทันทีราวเปลวเทียนต้องลม เมื่อต้องเริ่มคุยธุระ
“คุณคงทราบอยู่แล้วใช่ไหมคุณเลอรอยด์ ว่าตอนนี้เบธิลด์
ทาวเวอร์สาขาหลักกำลังตกอยู่ในอันตราย มีระเบิดอยู่ทั่วทั้งตึก
นี่เป็นภาพยืนยัน...แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังปลอดภัย”
เขาส่งมือถือให้ชายสูงวัยดูเหมือนที่ทำกับแดชีลล์พร้อมเอ่ยปลอบสั้นๆ แต่เขาไม่ได้มีเวลาให้เดเมียนได้ทำใจเร็วขนาดนั้น
รีบว่าต่ออย่างรวดเร็ว
“ผมได้เข้าเจรจากับสตีเฟนเพื่อขอให้หมอนั่นหลีกทาง
และทำให้ผมชนะการประมูล
ผมเอาข้อมูลของเครือยามาโมโตะไปแลกเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ใจ
แต่หมอนั่นก็วางแผนจงใจจัดฉากให้ผมเป็นคนหักหลังยามาโมโตะจริงๆ”
เดเมียนพยักหน้ารับอย่างสุขุมแม้ภายในอกหัวใจจะเต้นกระหน่ำ
เขาได้รู้เรื่องราวพวกนี้จากท่านประธานแห่ง The Best แล้ว
รวมถึงจากลูกชายด้วยว่าตอนนี้มีเด็กหนุ่มสองคนกำลังวางแผนให้กิจการที่เขารักไม่ตกไปอยู่ในมือพวกองค์กรร้ายอีกครั้ง
“แล้วเธอก็หักหลังเขาจริงๆ”
“ใช่ครับ...เหมือนกับที่ผมบอกหมอนั่นเอาไว้เมื่อสองวันก่อน”
ใช่...ทุกอย่างดำเนินเป็นไปตามแผนที่เขาคุยกับยามาโมโตะร่วมสามชั่วโมง
แผนการด้นคิดสดๆสำหรับวิธีการปฏิบัติเป็นขั้นตอนสุดท้าย
มันเป็นการคาดเดาการกินเหยื่อของเจ้าปลาแก่ที่ยังทำซ่าพยศคิดเล่นตุกติก
แม้มีเรื่องเหนือความคาดหมายบ้าง
แต่ก็ต้องบอกว่าเจ้าปลานั่นติดเบ็ดของเขาเต็มเปา....
ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน
ที่ร้านกาแฟ
“ฉันจะหักหลังนาย...ยามาโมโตะ”
เด็กหนุ่มผมสีเงินเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
ตรึงใบหน้าของคนฟังให้นิ่งสนิทจนสุดท้ายต้องถามออกมา
“หมายถึง...แกล้งหักหลักเพื่อตบตาสตีเฟนใช่ไหม?”
“เปล่า
ฉันจะหักหลังนายจริงๆ” แต่คนต้นคิดก็ยังปฏิเสธ
แถมยังย้ำการกระทำที่น่ากลัวของตัวเองได้อย่างน่าตาเฉยกับเหตุผลที่ว่า
“ที่ฉันจะเจรจากับสตีเฟนคือให้หมอนั่นยอมถอยและเปิดทางประมูลเบธิลด์
ทาวเวอร์ให้ฉัน แต่นายคิดดูสิ อยู่ๆเจ้าของธุรกิจสายการบินชื่อดังในญี่ปุ่นที่เคยมีคดีติดกับมันตัวแดงโร่ดันไปขอของที่มันอยากได้ง่ายๆขนาดนั้น
มันคงคิดว่าฉันไปเล่นจำอวดให้ดูมากกว่าเจรจาธุรกิจ”
“ใช่เลย
แล้วนายจะทำยังไง” เด็กหนุ่มร่างบางแทบกระโดดเข้าไปวางมวยกับไอ้คำว่า ‘ใช่เลย’
ที่มันสวนกลับมาแทบทันทีทันใด
แต่ที่เขาทำจริงๆคือข่มอารมณ์สุดความสามารถแล้วรีบพูดต่อ
“ฉันก็ต้องหาอะไรไปยืนยันกับมันน่ะสิ
แล้วนายคิดว่าอะไรจะพอทำให้หมอนั่นเชื่อ...ข้อมูลของอดีตหุ้นส่วนใหญ่อย่างเครือยามาโมโตะล่ะเป็นไง?”
คนที่จะถูกเอากิจการไปขายมีปฏิกิริยาเพียงแค่การเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แต่ดวงหน้าคมคายกลับจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“หมอนั่นไม่มีทางเชื่อ”
ยามาโมโตะออกความเห็นอย่างตรงไปตรงมา โกคุเดระพยักหน้ารับ
“ใช่...ฉลาดและไหวตัวเร็วอย่างมันเชื่อก็แปลกแล้ว
เพราะฉะนั้นมันต้องหาวิธีตรวจสอบข้อมูล แล้วที่นี่ก็ไม่มีใครรู้ข้อมูลของนายมากกว่าฉัน
เพราะฉะนั้นถ้ามันอยากรู้ว่าข้อมูลที่ฉันให้มันไปเป็นจริงหรือเปล่ามันก็มีวิธีเดียวแน่ๆ
นั่นคือส่งคนไปค้นข้อมูลของนายที่ตึกอำนวยการแน่ แล้วมันจะเข้าไปในตึกนายไม่ได้เลย
ถ้าไม่ได้ฉันเปิดทางให้”
“แต่หมอนั่นไม่มีทางยอมให้นายใช้มุขเก่าอย่างปั๊มบัตรเถื่อนแล้วใส่ไวรัสแน่...”
ดวงตาคมสีน้ำตาลเปลือกไม้หรี่ลงเมื่อคิดถึงข้อสันนิษฐานในหัว
คนอย่างสตีเฟนไม่เคยรู้จักกับคำว่าเสียเปรียบ “หมอนั่นจะเป็นตั้งข้อบังคับ...ให้นายใส่ข้อมูลลงไปในบัตรว่าคนของมันมาจากเครือโกคุเดระเพื่อใช้เป็นหลักฐานมัดตัว...ในกรณีนายเล่นตุกติกกับมัน”
“เพราะฉะนั้นฉันถึงได้บอกไงว่าฉันจะทรยศนายจริงๆ
ฉันบอกได้แค่ว่าที่ฉันจะป้อนเขาไปในบัตรคือชื่อนามสกุลปลอมและรหัสที่บ่งว่าเป็นคนของโกคุเดระ
หลังจากจบการประมูลนายรีบกลับไปที่ญี่ปุ่นให้เร็วที่สุด
นายต้องคิดแผนรับมือด้วยตัวเอง ฉันไม่รู้ว่านายจะใช้วิธีอะไรในการจับพวกมันให้อยู่หมัด
เพราะถ้าฉันรู้ก็จะเป็นพิรุธมันจะจับได้เมื่อไหร่ก็ได้...”
ดวงตาสองคู่ของเด็กหนุ่มสบกันอย่างเงียบงัน
ดูเหมือนยามาโมโตะจะเข้าใจ ใช่...แต่เขาก็ต้องลองคาดเดาความคิดของยามาโมโตะและระบบรักษาความปลอดภัยของ
The
Best ดู
“เดี๋ยว...โกคุเดระ...เมื่อกี้นายบอกว่า
นายจะเอาสิ่งที่มันต้องการมาตลอดสี่ปีไปประเคนให้ถึงหน้าตัก?”
“ใช่
มันเป็นอย่างนั้นแน่ถ้าฉันได้เป็นหุ้นส่วนกับเบธิลด์ ทาวเวอร์จริงๆ”
โกคุเดระยิ้มออกมา แล้วขยายความประโยคง่ายๆด้วยคำพูดที่สะกดคนฟังไว้ได้ชะงัก
“เพราะฉะนั้นคนที่ชนะประมูล.....ถึงไม่ควรจะเป็นฉันไง....”
“เธอมาไม้นี้จริงๆด้วยสิ คุณโกคุเดระ”
เดเมียนหัวเราะร่วนเมื่อดึงเอกสารทั้งหมดออกจากซองสีน้ำตาล
ทั้งๆที่มันควรจะมีพวกข้อเสนอและข้อมูลเครือโกคุเดระและเช็คเงินสดตามพิธีของการของการยื่นซองประกวดราคา
แต่ที่อยู่ในมือมันมีเพียงกระดาษเปล่าๆ
เด็กหนุ่มตั้งใจที่จะถอนตัวออกจากการประมูลด้วยตัวเอง
แล้วส่งเบธิลด์ไปถึงผู้ชนะที่แท้จริง
ซึ่งตอนนี้คงจะทำสัญญาเรียบร้อยแล้วที่ทางเดินหนีไฟ...
“แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือเรื่องที่มันจะระเบิดเบธิลด์
ทาวเวอร์ทิ้ง” โกคุเดระเม้มริมฝีปากอย่างเจ็บใจ เขาไม่คิดว่าบอสของเจ้าแมคคาร์ทีจะทำถึงขนาดนี้
ต่อให้หมอนั่นเป็นมาเฟียและทำเรื่องพรรค์นี้ได้ง่ายก็เถอะ แต่นี่มันเกินไป แต่พอคิดถึงเหตุผลแล้ว
ต้องบอกว่าเป็นการป้องกันอย่างรอบคอบในแบบของมัน ถ้าไม่ได้...ก็ต้องทำลาย
แล้วใช้ประโยชน์จากความเสียหายที่เราได้รับหายเข้ากลีบเมฆไปอีกครั้ง
มันคงรู้อยู่แล้วว่ายามาโมโตะกับแดชีลล์เป็นเพื่อนสมัยเรียน
ถ้าเบธิลด์เกิดเสียหายขึ้นมา ยามาโมโตะยื่นมือเข้าช่วยแน่
และคงไม่มีเวลาตามเรื่องพวกมันไปอีกพักใหญ่ๆ
ต้องบอกว่าไม่ได้เก่งเรื่องล่าอย่างเดียว...แต่ยังเชี่ยวชาญด้านหนีอีกด้วย
นี่ถ้าไม่ติดว่าเดินอยู่คนละสายเขาจะนัดเลี้ยงแชมเปญบอสของตาแก่แมคคาร์ทีนั่นสักครั้ง
แพรวพราวเป็นบ้า!
“สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้คือประกาศออกไปครับว่าผมคือผู้ชนะการประมูล
เราจะไปเซ็นสัญญาปลอมกันที่เบธิลด์
ทาวเวอร์และถ่วงเวลาหลอกสตีเฟนให้ได้นานที่สุดเท่าที่ทาง The Best จะจับกุมพวกลิ่วล้อของพวกมันได้หมด
และนานพอที่สตีเฟนจะถอนทีมรักษาการณ์ที่อยู่โดยรอบตึกของคุณเพื่อคอยกดระเบิด
หลังจากนั้นหน่วยกู้ระเบิดจะเดินทางมาถึง”
“ทีมกู้ระเบิด?”
“ครับ
แต่เราจะให้เรื่องที่เบธิลด์ทาวเวอร์โดนปองร้ายทราบไปถึงสื่อมวลชนไม่ได้
เพราะเป็นกิจการที่กำลังพัฒนา เรื่องภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญผมเข้าใจ”
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องกังวล
“เพราะฉะนั้นทีมนี้เป็นทีมบอดีการ์ดที่รู้จักกับเลขาของผม
และเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่คอยดูแลผมตลอดตอนที่ผมเรียนอยู่อเมริกา
แต่พอผมเรียนจบบอดีการ์ดชุดนี้ดูแลความปลอดภัยให้ The Best สาขาลอนดอน...และเรามีหน้าที่ที่ต้องถ่วงเวลาประมาณชั่วโมงครึ่งจนกว่าพวกเขาจะบินมาถึง...เราจะจัดการกันให้เรียบร้อยและเงียบที่สุด...จะไม่มีเรื่องหลุดไปถึงหูของนักข่าวแน่...วางใจได้เลย”
ชายสูงวัยนิ่งอึ้งไปก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสั่นระริก
“ขอบคุณ” เขาพึมพำก่อนที่จะลุกยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับให้กับเด็กหนุ่มร่างบอบบาง แม้การกระทำนี้มันจะน้อยไปที่จะตอบแทนก็ตามที
“ขอบคุณมาก”
“รีบเซ็นซะ”
ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นให้เพื่อนต่างวัยของตัวเอง
ยามาโมโตะกรอกตามองเพียงคร่าวๆ ทุกอย่างพิมพ์อย่างเรียบร้อยและไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมที่ตรงไหน
ที่ว่างเปล่าเห็นจะเป็นตรงมุมล่างสุด
เด็กหนุ่มเปิดปลอกปากกาและจรดเขียนจากนั้นจึงเก็บมันใส่ซองอย่างเก่า
“เรียบร้อยแล้ว นายเก็บไว้จะดีกว่า เพราะตอนนี้ทางนี้กำลังวุ่นวายพอดู
ถ้าพวกมันมาเจอแย่แน่...คราวนี้ต่อให้โกคุเดระของนายเก่งแค่ไหน เขาก็แก้ไม่ทัน”
แดชีลล์ถอนหายใจเมื่อนึกถึงเมื่อคืน อยู่ๆมือถือเขาก็ดังขึ้นปุบปับ เจ้าเด็กคนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือบอกสักนิดว่าไปเอาเบอร์เขามาจากไหน
แต่กลับสาธยายสิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้
ไม่มีช่องว่างให้เขาถามหรือคัดค้านใดๆทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเผด็จการเลยก็คงไม่ผิด
แต่ฟังจากน้ำเสียงและท่าทางที่ใกล้จะหมดแรงทุกทีแต่ก็ยังฝืนให้มันฟังชัดเจนจริงจัง
ก็ทำให้เขาต้องนั่งนิ่งๆและรับคำอย่างเดียวเท่านั้น นี่หมอนั่นคิดว่าตัวเองเป็นเทวดาเดินดินหรือไง
ถึงชอบทำอะไรเกินตัวขนาดนี้
“บ้าระห่ำสุดๆ” แดชีลล์บ่นพึมพำก่อนที่จะล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
มันเป็นสิ่งที่โกคุเดระเพิ่งฝากเขามาเมื่อกี้ เครื่อง MP3 ที่เอาไว้เพื่อใช้บันทึกเสียง ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่ก็พอเดาได้
แผนการทั้งหมดที่ผ่านมาโกคุเดระกับยามาโมโตะต้องแยกกันทำงาน
และแต่ละขั้นตอนมันก็ชวนระแวงว่าจะโดนหักหลังกันขึ้นมาจริงๆ
โดยเฉพาะโกคุเดระที่ต้องไปคุยกับสตีเฟนตัวต่อตัว
MP3
เครื่องนี้จะช่วยให้ยามาโมโตะได้ยินทุกข้อความที่สองคนนั้นคุยกัน...
ยามาโมโตะรับมันมาแล้วก้มลงมอง
ที่ฝากแดชมาคืนให้เขามันก็เป็นนัยว่าคงไม่ได้พบกัน
ทุกเรื่องโกคุเดระได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว
รวมถึงวิธีการรับมือกับระเบิดที่เบธิลด์ด้วย แต่หมอนั่นก็ยังคงเป็นหมอนั่น
เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว แล้วไม่เคยปรึกษาใคร ไม่เผื่อเวลาให้เตรียมใจ โดยเฉพาะกับเขา
แล้วเขาก็ไม่อาจรั้งหมอนั่นเอาไว้ได้ มีเพียงแค่คำถามที่ถามไป
...แน่ใจแล้วใช่ไหมที่ตัดสินใจแบบนี้
รู้หรือเปล่าว่าผลที่ตามมามันคืออะไร
แล้วคำตอบที่ได้รับว่ารู้และไม่มีวันเปลี่ยนใจทำให้เขาแทบบ้า
หมอนั่นไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดว่าที่ตัวเองทำอยู่มันคือการเอาชีวิตไปทิ้ง
แต่มันก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องยินยอมทำตามข้อเสนอเพียงแค่หมอนั่นพูดว่าเหตุผลทั้งหมดเขียนอยู่ในจดหมายที่ใส่ไว้พร้อมกับเอกสารในซอง
แถมยังสำทับด้วยว่า
“อีกอย่างก็คือห้ามค้าน...อันนี้หวังว่านายจะไม่ลืม
เพราะมันเป็นข้อตกลงของเรา...”
“แดช...ฉัน...”
“เออ รู้น่า” คนเป็นเพื่อนลากเสียงยาวอย่างรำคาญ
แค่มองหน้าเขาก็รู้แล้วว่ายามาโมโตะกำลังกังวลเรื่องใคร
“จะไม่ให้เป็นอะไรแม้แต่ปลายก้อยเลย...อีกอย่างหมอนั่นน่ะเก่งออก นายก็รู้ดีนี่”
“หึ ก็เพราะนายเป็นแบบนี้ล่ะนะ ฉันถึงยอมขอร้อง” เด็กหนุ่มร่างสูงยักไหล่
“เป็นแบบไหน”
“ฉันได้ขอกล้องวงจรปิดในร้านกาแฟที่นายกับโกคุเดระคุยกัน
มันเป็นแบบบันทึกเสียงได้ด้วย เพราะฉะนั้นฉันก็เลยได้ยินพวกนายคุยกันทุกอย่าง...ตอนที่หมอนั่นท้อแล้วบ่นออกมาซะยาวเหยียด
ฉันขอบใจมากที่นายอยู่นิ่งๆรับฟัง...แล้วก็ขอบใจที่ยั้งมือไม่ไปเช็ดน้ำตาให้เขา....”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เย็นชาขึ้นทันควัน
โกคุเดระกำลังก้มหน้าอยู่ก็คงจะไม่เห็น แต่จากตำแหน่งของกล้องมันเห็นชัดเจนว่าเจ้าเพื่อนตัวดีของเขากำลังยกมือขึ้นมาหมายจะยื่นไปปาดน้ำตาออกจากแก้ม
แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะยกเลิกการกลับญี่ปุ่นแล้วตามไปซุ่มดูที่ปารีสเงียบๆแน่
เรื่องเปลี่ยนระบบสแกนก็ให้โปรแกรมเมอร์ทำไปเถอะ
แม้เขาจะไม่เคยแสดงท่าทีว่าห่วงใยหมอนั่นจนเกินไป
แม้แต่พอหมอนั่นมีน้ำตาเขาก็เป็นแค่คนยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
ไม่เคยเอื้อมมือไปสัมผัสเอง...
แต่ใครหน้าไหนก็มารับหน้าที่นั้นไม่ได้
“เรื่องไหนที่ไม่มีสิทธิ์...ก็ไม่มีสิทธิ์อยู่วันยังค่ำนั่นแหล่ะ”
ประธานแห่ง The
Best เอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้ายทำให้คนไม่มีสิทธิ์ถึงกับแค่นหัวเราะในลำคอ
มองเจ้าคนหยิ่งซ้ำยังขี้หวงแบบแปลกๆ
แต่ไอ้นิสัยแบบนี้นั่นแหล่ะที่มันยังยืนยันว่ายังไงหมอนี่ก็แค่เด็กไม่บรรลุนิติภาวะ
เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ที่เลยอายุนั้นมามากโขอย่างเขาก็ไม่ควรถือสา
“รีบๆไสก้นกลับไปได้แล้วไป ไอ้เด็กโข่ง...ไปฝึกขอร้องมาใหม่ด้วย”
เด็กหนุ่มร่างสูงไม่ต่อความแต่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ในหัวเขาตอนนี้ต้องตัดทุกความคิดออกไปแล้วตั้งสมาธิอยู่ที่งานที่ญี่ปุ่น
แม้เข็มนาฬิกาบนข้อมือมันจะเดินไปเรื่อยๆเตือนว่าเขาไม่มีเวลาแล้ว
แต่ยามาโมโตะก็ไม่สามารถจดจ่อกับภารกิจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
สาเหตุก็ไม่ใช่อะไร...เป็นเพราะกระดาษแผ่นเดียวที่สอดอยู่ในซองเอกสาร
มันเป็นลายมือของโกคุเดระที่ช่วงแรกเขียนอธิบายถึงเรื่องที่เขาต้องทำ
เขายังพอเข้าใจได้ แต่ช่วงสุดท้ายทำเอาเขาทนไม่ไหวต้องรีบยกหูโทรศัพท์
‘นี่...ยามาโมโตะ พอนายอ่านมาถึงตรงนี้แล้วนายก็คงจะรู้ใช่ไหม
ว่าตอนนี้เบธิลด์อยู่ในมือของนายแล้ว...นั่นหมายความว่านายชนะพนัน...จำได้ใช่ไหม...ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองปล่อยให้มันออกมาเป็นอย่างนี้ได้ไง
แต่นายก็ชนะแล้วจริงๆ
พูดตรงๆว่าฉันไม่มีปัญญาไปหาหุ้นส่วนใหม่มาแทนนายได้แล้วทำให้โกคุเดระแอร์ไลน์รุ่งภายในสามเดือนแล้วล่ะนะ....
ฉันจำเป็นที่จะต้องไปปารีส ...ไม่รู้แฮะ
เหมือนพอเขียนประโยคนี้ออกมาแล้วก็ได้ยินเสียงค้านของนายขึ้นมาเลย
งั้นนายฟังเหตุผลฉันนะ
หนึ่ง...มันอยู่ในแผนการ
ฉันจำเป็นต้องหลอกพวกมันว่าฉันชนะประมูล
สอง...นายไปไม่ได้เพราะนายต้องกลับไปปกป้องศูนย์บัญชาการหลัก
The
Best...อย่าเถียงว่าหน้าที่นี้ฉันก็ทำได้
นายอย่าลืมว่าตอนนี้เราไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกัน
ถึงระบบจะยังไม่ลบข้อมูลแต่ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรใน The Best แล้วทั้งนั้น...นายเข้าใจนะ
สาม...จำได้ใช่ไหมว่าถ้าฉันแพ้พนัน
นายบอกว่าจะขอทุกสิ่งทุกอย่างของโกคุเดระ...ฉันก็ได้ให้ซองเอกสารซองนี้กับนายตามสัญญา
นอกจากมันจะมีเช็คเงินสดกับจดหมายแผ่นนี้
มันยังมีข้อมูลคร่าวๆทางธุรกิจของเครือโกคุเดระ ถึงจะสั้นไปหน่อย
แต่มันก็เหมือนเอาห้องข้อมูลของกิจการฉันมาย่อเอาไว้เลยนะ...นายอ่านมัน
นายต้องเข้าใจแน่....อย่างที่พูดนั่นแหล่ะ...ฉันฝากกิจการด้วยยามาโมโตะ...อาเจ๊น่ะเก่ง
แต่เธอก็ต้องการที่พึ่ง พี่ชายกับพ่อฉันก็ไม่ค่อยอยู่ แล้วต้องโทษที่ฉันถูกเลี้ยงมาให้คบเพื่อนน้อยๆเหมือนนาย
พอจวนตัวก็ไม่มีใครให้พึ่ง ก็มีแต่นายนี่แหล่ะที่ฉันไว้ใจ...ฉันฝากโกคุเดระด้วย
และเหตุผลข้อสุดท้าย เป็นเงื่อนไขของนายอีกเหมือนกัน
ถ้าฉันแพ้พนันนายบอกว่าโกคุเดระกับยามาโมโตะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของการดูตัว...กลับไปทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดีซะ
พี่สาวฉันเขาชอบนาย และฉันเชื่อว่าเธอจะทำให้นายหลงรักได้ไม่ยากเหมือนกัน...
เฮ้!...ยามาโมโตะ ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับนายเลย
แต่พอได้มานั่งเขียนอะไรแบบนี้มันก็ทำให้ความรู้สึกมันชัดเจนขึ้น ว่าบางทีสิ่งที่นายพูดมันคงจะไม่ใช่เรื่องโกหก
ฉันว่านะ......
ยามาโมโตะน่ะดีที่สุดสำหรับโกคุเดระจริงๆนั่นแหล่ะ
.
.
.
.
.
TBC...
มิยะขอเม้าท์
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตอนนี้เป็นตอนที่ยากจริงๆ ยากสุดหูรูดเลยค่ะ แต่ก็ปั่นมันออกมาจนเสร็จจนได้
ฟิคเรื่องนี้ใกล้สู่โค้งสุดท้ายแล้วจริงๆค่ะ
แล้วก็เมื่อตอนที่แล้วเค้าลืมเฉลยเกร็ดท้ายตอนอะไรบางอย่างไปเล็กน้อย
คือที่ลอร์ดคริสโตเฟอร์ ตำหนิเฟร็ดดอริกว่าเหมือนพระเจ้าเฟร็ดดอริกที่หกน่ะ
มันก็เพราะพระเจ้าเฟร็ดดอริกที่หกของเดนมาร์ก มีคติพจน์ประจำรัชกาลของพระองค์คือ
“พระผู้เป็นเจ้าและความยุติธรรม”
นับว่าเป็นคาร์แร็กเตอร์หลักของเลขาของคุณยามาโมโตะเลยล่ะน้า >w<
แล้วก็วันนี้มีอะไรมาให้ดูอีกตามเคย อย่าแรกก็คงต้องเป็นห้องยื่นซองประมูล Le'man ABC (มันชื่อนี้จริงๆค่ะ)
และเราลองมาดูด้านการศึกษาที่แท้จริงของตัวละครหลักกันมั่ง คือ หนูก๊กเรื่องนี้เรียนหลักสูตร MBA หรือบริหารธุรกิจที่อเมริกา
มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย (UPenn) ในรัฐฟิลาเดเฟีย
มหาลัยชั้นนำของอเมริกาที่โดดเด่นไม่น้อยในเรื่องหลักสูตรบริหาร
แบบบรรยากาศน่าเรียนโฮกกกกกกกกก!!! แค่จิ้นว่าหนูก๊กเดินลงบันไดพร้อมหอบแล็บท็อปหรือไม่ก็กระเป๋าเอกสารก็ฟินโฮกๆ
งื้ออออออออออ *q*
ส่วนอิเนียนกับแดชคุงเรียนที่ Imperial College
London ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษเลย แบบโฮกกกกกกกกกกกกก
สุดยอดโครงสร้าง สวยเลิศๆเลยค่ะ เป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์
การแพทย์และธุรกิจ แบบอิเนียนไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกมันคงจะเท่ไม่น้อย (เฮ้ย!
สรุปเลือกมหาลัยเพราะการนี้เรอะเอ็ง!)
ซึ่งแดชคุงเรียนจนจบปริญญาโทที่นี่ค่ะ
ส่วนอิเนียนพอจบโทตามที่บอกไว้ในบทแรกมันก็ย้ายไปอยู่อเมริกา
แต่คนละมหาลัยกับหนูก๊กเน้อ ตลอดชีวิตการเรียนเลยแทบไม่ได้เจอกันเลย
ตอนนี้เฉลยอะไรไปหลายอย่าง รอลุ้นว่าจะมีกับดัก? (อีกแล้วเรอะ)
อะไรอีกหรือเปล่า
คือแล้วก็ตัดสินใจแล้วค่ะ คือฟิคเรื่องนี้จะถูกหั่นออกเป็นสองภาค เพราะปมย่อยนั้นใหญ่พอสมควร ปมที่ว่านั้นก็คือศึกชิงเบธิลด์ ทาวเวอร์นั่นเอง ฉะนั้นมิยะจึงขอตั้งชื่อภาค ภาคนี้ว่า
คือแล้วก็ตัดสินใจแล้วค่ะ คือฟิคเรื่องนี้จะถูกหั่นออกเป็นสองภาค เพราะปมย่อยนั้นใหญ่พอสมควร ปมที่ว่านั้นก็คือศึกชิงเบธิลด์ ทาวเวอร์นั่นเอง ฉะนั้นมิยะจึงขอตั้งชื่อภาค ภาคนี้ว่า
NEGOTIATION
แปลว่า"การเจรจา"นั่นเองค่ะ เพราะเนื้อหาหลักของภาคนี้ตั้งแต่ต้นยันจบ มิยะได้เน้นไปถึงการเจรจาสุดๆเลย ร้อยละแปดสิบเปอร์เซ็นต์ได้ สังเกตไหมว่าตั้งแต่แต่งมามันมีแต่การนั่งคุยกัน เนื้อเรื่องดำเนินด้วยการคุยจริงๆ ฮ่าๆๆ เอาไว้จะเม้าท์ที่มาที่ไปแล้วจุดประสงค์ตอนจบนะคะ ไม่น่าจะเกินสามตอน (หวังว่านะ!)
เจอกันตอนหน้าฮับ >w</
แปะเพลง จนกว่าจะจบ...จริงๆ
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อกค่ะ
Miya
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น