Project : Happy
birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.13
Au.Fic KHR 8059
[Yamamoto X Gokudera]
Drama comedy!? (มันอะไรกันล่ะนั่น!)
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
และอีกอย่าง
ฟิคเรื่องนี้มัน...เว่อร์ได้โล่ วิปริตหน่อยๆ โรคจิตเล็กน้อย
สาระค่อนข้างตกตะกอนนอนก้น
ขอให้มีความบันเทิง....ปรารถนาดีจาก
Miyaจ้ะ *v*
SKYFALL : 11
“ซีดีอยู่ในถุงนี้
ทุกอย่างได้ตามที่ตกลง” เด็กหนุ่มร่างบางยื่นให้ด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิท
เขากับสตีเฟนและชายชุดดำบางส่วนใช้ซอกทางเดินแคบๆซึ่งเป็นทางเดินไปห้องน้ำใช้มอบของ
เมื่อสักครู่ผลได้ประกาศออกมาแล้วว่าโกคุเดระ
ฮายาโตะคือผู้กุมหุ้นบริหารคนใหม่ของเบธิลด์ ทาวเวอร์
มีเพียงสองคนที่ไม่ได้อยู่ฟังผล นั่นก็คือหนึ่งในนักธุรกิจที่อายุน้อยที่สุดของงาน
และพ่อค้าไวน์จากฮังการี
ยามาโมโตะเขาไม่แปลกใจ
แต่เคลล์แมนไม่มาฟังผลนั่นก็แสดงว่าตาแก่สตีเฟนจัดการปล่อยปลาเล็กลงน้ำได้รวดเร็วกว่าที่เขาคิดไว้
และบางทีการพ่ายแพ้โดยไม่คาดฝันอาจทำให้คนหัวอ่อนอย่างเคลล์แมนรับไม่ได้
ถึงเตลิดกลับฮังการีไปแล้ว...เขาหวังให้มันจบอย่างนั้น
ชายสูงวัยเหลือบตาขึ้นมองเมื่อไม่เห็นบางอย่างอยู่ในถุงตามข้อตกลง “แล้วไหน...ตัวเบิกประตู The Best”
“ผมขอดูคนที่คุณจะส่งไปตรวจสอบข้อมูลที่โตเกียวก่อน”
เด็กหนุ่มว่า แล้วล้วงกล่องออกมาจากกระเป๋าแล็ปท็อปเป็นการตอบคำถาม
ชายสูงวัยหลบทางให้
พลันชายห้าคนก็เดินขึ้นหน้ามา ดูหน่วยก้านแล้วน่าจะฉกาจฉกรรจ์ด้านการต่อสู้ประชิดตัว
เสื้อสูทที่คลุมอยู่โป่งเล็กน้อยตรงเอวทั้งสองข้าง...พกปืนคนละสองกระบอก เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองที่มือของพวกมันทันที...ไม่ได้ใส่ถุงมือ
“ดี”
เด็กหนุ่มยิ้มแล้วยื่นกล่องพร้อมเปิดฝาให้ดูเรียบร้อยว่ามีของแลกเปลี่ยนเรียบร้อย
หนึ่งในหน่วยสอดแนมยื่นมือมาข้างหน้า แล้วโกคุเดระก็วางกล่องลงไป
จงใจอย่างมากว่าเป็นที่ปลายนิ้วมือ
โครม!
พลันทั้งกล่องทั้งชิพก็ร่วงกระจัดกระจาย
เจ้าของธุรกิจสายการบินแสร้งตกใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยคำขอโทษเบาๆ
แต่ในขณะที่จะก้มลงเก็บ เขาก็ชะงักและล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
“คนของเดเมียนโทรมา”
เขาว่าเสียงเรียบ
แล้วหมุนตัวกลับรับโทรศัพท์โดยไม่สนใจพวกชิพที่หล่นเกลื่อนกลาดอีก
จนในที่สุดเหล่าชายชุดดำต้องก้มลงช่วยกันเก็บ
และการกระทำทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาเป็นประกายของเด็กหนุ่ม โทรศัพท์ยังคงแนบหู
แต่เสียงเงียบกริบ...เรื่องมีคนโทรมา...ไม่มีหรอก
เขาก็แค่อยากได้ลายนิ้วมือพวกมัน
“เข้าใจแล้ว...พร้อมครับ
เดี๋ยวเลขาของผมจะตามไปสมทบที่ปารีสเลย”
เขาว่าก่อนที่จะทำทีกดวางสายแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคู่สนทนา
“เมื่อกี้ฉันว่าฉันไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เธอ”
ชายสูงวัยตั้งข้อสังเกต แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มกลับนิ่งเช่นเดิม
“ผมตั้งเป็นระบบสั่น”
เขาตอบง่ายๆ และไม่ได้โกหก “ดูเหมือนผมจะต้องไปแล้ว ส่วนพวกคุณ พอไปถึงที่โตเกียว
คุณเดินทางไปยังที่อยู่ในกระดาษที่ผมใส่ไว้ก้นกล่องนั่น...มันเป็นคลังเก็บของลับๆของโกคุเดระ
จะมีพวกบัตรเก่าๆของพนักงานที่ปลดเกษียณ พวกคุณใช้ได้แต่จำเป็นต้องถ่ายรูปติดบัตรใหม่
และประกอบชิพตัวนี้เข้าไปในบัตร ผมได้เตรียมคนไว้ให้แล้ว”
“ต้องถ่ายรูปติดบัตรใหม่?”
ชายสูงวัยทวนถามพร้อมค้านทันควัน “ ไม่ พวกนี้ไม่สามารถมีข้อมูลเป็นรูปถ่ายได้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ล้มเลิกการลอบเข้าตึก
The
Best ไปได้เลย...ผมไม่ได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับทำบัตรมาที่นี่
ที่พอจะทำได้อย่างสุดความสามารถคือวิ่งรถไปร้านอิเล็กทรอนิกส์เมื่อคืนแล้วเขียนโปรแกรมทั้งหมดเท่านั้น
แล้วถ้าไม่มีรูปถ่ายที่หน้าเหมือนกับผู้ถือล่ะก็....พวกคุณก็ผ่านด่านยามด่านแรกไม่ได้หรอกนะ”
“นี่เธอ...”
“ผมไม่ได้เล่นแง่นะ
คุณแมคคาร์ที” เด็กหนุ่มดักเสียงเย็นเยียบ
ดวงตาคมสีเขียวมรกตจ้องชายสูงวัยอย่างตรงไปตรงมา “แล้วคนอย่างคุณคงไม่คิดว่าทุกอย่างจะสบายเหมือนทางโรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกใช่ไหม
ทุกอย่างมันต้องเลือกต้องเสี่ยงทั้งนั้น...แต่ถ้าคุณไม่เลือกไม่เสี่ยง
คุณก็ไม่มีทางที่จะได้แตะต้องแม้ตัวอักษรสักตัวในตึกของยามาโมโตะ...จะเอายังไงล่ะ?”
ชายสูงวัยลอบกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ
ความเยือกเย็นที่มักจะมีเสมอมลายหายไป
นี่เป็นอีกครั้งที่เขาต้องยืนนิ่งฟังคนอายุคราวหลานโดยที่หาข้อโต้แย้งไม่ออก
แว้บหนึ่งที่คิดว่าตัวเองกำลังติดกับดักของเด็กหนุ่มเข้าจนไม่อาจสลัดมันหลุดได้อีก
แต่คำค้านที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผลแถมผลประโยชน์ก้อนโตที่โกคุเดระจะได้รับ
มันก็ลบข้อสงสัยนั้นไปจนหมด
“ได้...เราจะทำตามที่เธอบอก”
เด็กพยักหน้าให้แล้วเดินหมุนตัวกลับ
แต่เมื่อก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หยุดแล้วหันกลับมา
รอยยิ้มจางๆที่อ่านไม่ออกวาดบนใบหน้าอ่อนวัย พร้อมกับคำกล่าวอวยพรสั้นๆ
“ขอให้โชคดี...”
‘โชคดี’
ดวงตาสีฟ้าจัดเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อความหมายของดอกคริสแซนติมั่มที่เด็กหนุ่มร่างบางตรงหน้ามอบให้เขาก้องขึ้นในหัว
เขาไม่แน่ใจว่ามันแค่ประจวบเหมาะหรือเป็นความตั้งใจของใคร
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ลงความเห็นว่ามันไม่เหมาะที่จะเป็นคำอวยพรอยู่วันยังค่ำ...
ท่าอากาศยานฮีธโรว์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
11:30 AM
ประธานแห่ง
The
Best รีบสาวเท้าออกจากสนามบินและจัดการฝากสัมภาระทั้งหมดไว้ที่ล็อกเกอร์
เขาใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงบินจากกาแตร็งมาแทนที่จะตรงดิ่งไปที่โตเกียว
สาเหตุก็เป็นเพราะถ้าหากเขาจับเที่ยวบินกลับญี่ปุ่นเลยมันกินเวลาถึง 9 ชั่วโมง แม้ว่าจะได้เปรียบด้านเวลาว่าเขาถึงก่อนที่พวกมันจะลอบเข้าตึกเขาแน่ๆ
แต่สตีเฟนมันไม่ใช่คนเถรตรงขนาดนั้น มันรู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ฟังผลประมูล แม้เขาจะเชื่อใจในฝีมือเจรจาของโกคุเดระ
แต่ตามสัญชาตญาณตาแก่นั่นต้องสงสัยแน่ๆว่าเขากลับญี่ปุ่นเพื่อเตรียมตั้งรับ
ด้วยการเสียเปรียบด้านเวลาหมอนั่นต้องเตรียมเครื่องบินเร็วเอาไว้สำหรับการนี้แล้ว
และถ้าเป็นพวกมัน แค่เครื่องบินรบความเร็วสูงที่จะถึงญี่ปุ่นไม่เกินหกชั่วโมงนี่ทำได้ไม่ยากเลย....
เขากลับไปป้องกันไม่ทันแน่
ร่างสูงโบกแท็กซี่ที่หน้าสนามบิน
ก้าวขาขึ้นรถ แล้วบอกเป็นภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว
“ไป Imperial college
London วิทยาเขตเซาท์เคนซิงตัน จอดหน้าตึก Business school เลย ถ้าทันภายในสิบห้านาที ผมยินดีจ่ายสองเท่า ทิปแยกต่างหาก”
เพียงเท่านั้นโชเฟอร์ก็พยักหน้ารับขึงขังแล้วเหยียบเต็มลิมิต
ยามาโมโตะได้รับข้อความจากเฟร็ดดอริกว่าบาดเจ็บเล็กน้อยระหว่างภารกิจ
และพอตรวจอย่างละเอียดแล้วไม่เป็นอะไรก็กลับญี่ปุ่นทันที
ต้องบอกว่าเลขาของเขาอ่านเกมได้ขาดเช่นเคย เมื่อเบธิลด์ ทาวเวอร์ถูกวางระเบิด
และพวกมันรู้ว่าเฟร็ดดอริกกับคริสโตเฟอร์หนีรอดไปได้ บอสของพวกมันคงไม่อยู่เฉย
อาจจะส่งคนมาตามเก็บ หรือไม่ก็ปองร้ายตึก The Best หรือสนามบินของโกคุเดระเป็นรายต่อไป
ส่วนลอร์ดคริสโตเฟอร์ก็เตรียมการพร้อมอยู่ที่ปารีส
มันทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาก เพราะเชื่อว่าอย่างคนๆนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้โกคุเดระเป็นอะไรไปแน่
และอีกเรื่องที่เขาต้องชมเลขาส่วนตัวของโกคุเดระเป็นพิเศษไม่ใช่เรื่องที่หมอนั่นพาเลขาเขาหนีรอดได้ปลอดภัย...แต่เป็นเรื่องการปิดบังตัวตนตอนเข้าไปช่วย
ลอร์ดคริสโตเฟอร์เป็นผู้ยืนยันกับเฟร็ดดอริกด้วยตัวเองว่าลูกน้องของสตีเฟนไม่มีใครเห็นเจ้าตัวสักคน
ถ้าจะคิดก็คิดแค่ว่าเขาส่งผู้ช่วยไปกู้ตัวเฟร็ดดอริกออกมา เป็นคนของยามาโมโตะ
ไม่ใช่โกคุเดระ จึงไม่น่าส่งผลอะไรต่อแผนการหักหลัง ก็เรียกว่าสมคุณภาพแล้ว...
เพราะฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำจริงๆคือการสั่งการเปลี่ยนระบบรักษาความปลอดภัยของ
The
Best ซะใหม่
เขาต้องการพีซีความเร็วสูงสักเครื่องและแปลนพิมพ์เขียวของตึกบัญชาการ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องรีบบึ่งไปที่มหาวิทยาลัยของตัวเองเดี๋ยวนี้
The Best เป็นธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จจนเป็นตัวอย่างของกิจการอื่นๆ
และด้วยความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัย
จึงได้ขอข้อมูลบางส่วนที่เปิดเผยได้ตลอดจนโครงสร้างของอาคาร The Best ไว้เป็นกรณีศึกษาสำหรับรุ่นน้อง
และอีกอย่างถือเป็นแหล่งข้อมูลสำรองเมื่อเขาต้องการใช้ยามฉุกเฉิน เรื่องนี้เป็นความลับ
แน่นอนว่าแม้แต่โกคุเดระก็ไม่รู้
ประมาณสิบนาทีเศษเขาก็มาถึงที่หมายตามที่สั่ง
แล้วต้องจ่ายค่าโดยสารสองเท่าไปตามสัญญา เด็กหนุ่มร่างสูงรีบสาวเท้าเข้าอาคารทอดตัวยาวที่ประกอบไปด้วยโครงเหล็กและกระจก
ที่โถงล่างคณะมีนักศึกษานั่งตั้งแล็ปท็อปบนโต๊ะกลมๆ
ทุกสายตามองเขาค้างๆอยู่พักหนึ่ง
จนกระทั่งเขาเดินผ่านไปแล้วถึงจะได้ยินเสียงซุบซิบผสมเสียงกรี๊ดเบาๆ
“ผมยามาโมโตะ
ขอกุญแจห้องเก็บข้อมูล The
Best ด้วยครับ” เอ่ยอย่างรวดเร็วกับเคาท์เตอร์ดูแลตึก ทำให้คุณป้าแทบประเคนกุญแจให้ไม่ทัน
เด็กหนุ่มไม่รีรอรีบสาวเท้าขึ้นบันไดไปทันที
เป้าหมายคือห้องที่อยู่ภายในห้องสมุดอีกทีหนึ่ง
พอถึงที่
เด็กหนุ่มร่างสูงรีบเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และหาแปลนพิมพ์เขียวที่อยู่บนชั้นวางหนังสือ
แล้วกางมันไว้ที่โต๊ะข้างหลัง
สิ่งที่เขาคิดมาตลอดตั้งแต่นั่งเครื่องเริ่มถ่ายทอดให้มือทำตาม อย่างแรกที่สุด
การรับกับการทรยศของโกคุเดระ
สิ่งที่โกคุเดระส่งมาหาเขาคือลูกน้องสตีเฟนไม่ระบุจำนวน
แต่เดาเอาไว้ได้เลยว่ามีความสามารถพิเศษในด้านการสอดแนม รู้เรื่องธุรกิจ
และมีความสามารถด้านป้องกันตัวสูง
พวกนั้นมีข้อมูลปลอมที่โกคุเดระรับรองให้ว่าเข้าตึกเขาได้
“เฟร็ดดอริก ได้ยินฉันชัดใช่ไหม”
เด็กหนุ่มจ้องที่กล้องหน้ามอนิเตอร์ และมีหน้าของเลขาส่วนตัวอยู่เบื้องหน้า
“ชัดครับท่านประธาน”
“อย่างแรกที่นายต้องทำคือตัดไฟตึกอำนวยการซะ
เอาให้ดับทั้งหมด” เขาสั่งอย่างไม่ลังเล
และเห็นเฟร็ดดอริกหันไปสั่งการลูกน้องข้างหลังโดยไม่ถามเพิ่มเช่นกัน
ตึกอำนวยการใช้แหล่งจ่ายไฟแยกจากอีกสามตึกที่เหลือ
ดังนั้นถ้าตัดจะดับเพียงตึกเดียว และเวลาซ่อมต้องเข้าซ่อมที่ห้องจ่ายไฟโดยตรง
“จะมีคนลอบเข้าตึกเราใช่ไหมครับ”
“ใช้คำว่าลอบคงไม่ถูกเท่าไหร่
พวกมันจะเข้ากันไปตรงๆเลยล่ะ” ยามาโมโตะยิ้มมุมปากนิดๆ
“นายย้ายพนักงานที่ไม่จำเป็นออก แล้วบอกฝ่ายโปรแกรมเมอร์ให้เตรียมตัวให้พร้อม
อีกไม่เกินชั่วโมงฉันจะเขียนโปรแกรมเปลี่ยนระบบรักษาความปลอดภัยของตึกเราทั้งตึกโดยเปลี่ยนเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือ
มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะเก็บหลักฐานจากพวกมันได้”
ใช่...ต่อให้ข้อมูลในบัตรปลอมแค่ไหน
แต่ลายนิ้วมือก็ไม่มีทางโกหก
และเขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งเลยว่าโกคุเดระต้องติดเซ็นเซอร์บันทึกลายนิ้วมือเอาไว้ในชิพ
ไม่ต้องใช้ตรรกะของใคร เป็นสิ่งที่เขายืนยันได้ด้วยตัวเอง
มันก็เหมือนกับที่เขารู้สึกมาโดยตลอดนั่นแหล่ะ....
เขาไม่คิดที่จะตั้งรับอย่างเดียวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
พวกมันต้องทิ้งค่าเข้าตึกของเขาเอาไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง...
“แล้วถ้าพวกมันเกิดไหวตัว
หรือไม่ยอมทิ้งลายนิ้วมือให้เราไว้ล่ะครับ”
สีหน้าของเด็กหนุ่มเฉยชาจนเรียกได้ว่าเยือกเย็น
สิ่งที่ผุดเข้ามาในหัวคือเลือด เขม่าของปืน ร่างมนุษย์สวมสูทดำที่ไม่ค่อยน่าดู
แล้วตามมาด้วยการเก็บกวาดแสนง่ายดาย ตบท้ายด้วยการปิดปากเจ้าหน้าที่ตำรวจ...เรื่องธรรมดาในการกำจัดใครก็ตามที่คิดจะล่วงรู้ความลับของบริษัทเขา
ใครก็ตามที่ไม่ได้รับอนุญาต...ไม่มีสิทธิ์แม้จะเอื้อมมือไขว่คว้า
“ก็บอกให้พวกมันทิ้งชีวิตเอาไว้ซะ”
เด็กหนุ่มร่างบางนั่งอยู่บนเครื่องบินที่บินตรงจากเจนีวาไปยังปารีสเพื่อทำสัญญา
มันเป็นเที่ยวบินที่สั้นที่สุดใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงจุดหมาย Business class ที่สะดวกสบายและการบริการชั้นเยี่ยมสมกับเป็นผู้นำธุรกิจที่ชนะประมูลไม่ทำให้เขาสงบใจลงได้เลย
ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มแล้ว ไม่มีทางกลับไปแก้ไขได้ เชื่อในมิตร ปิดความลับกับศัตรู
สองประโยคนี้ก้องเวียนอยู่ในหัวเขา
ว่าแล้วก็พูดถึงมิตร
บนเครื่องนี้ชั้น First
Class มีเดเมียน เลอรอยด์ เจ้าของการประมูลนั่งอยู่พร้อมกับเลขาประจำตัว
ส่วนแดชีลล์ เลอรอยด์ก็นั่งอยู่ข้างๆเขา
ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่
ทั้งๆที่วันนี้คนโดยสารน้อยแท้ๆ....แล้วมาทำตัวติดกับเขาทำไม
หรือตอนเซ็นสัญญากัน...เจ้ายามาโมโตะเกิดพูดอะไรแปลกๆขึ้นมา
“โกคุเดระ”
แดชีลล์กระซิบ “เรื่องซีดีที่นายให้แมคคาร์ทีไป ข้อมูลในนั้นของจริงหรือของปลอม”
“ของปลอม”
“นี่นายเอาจริงเหรอ!”
ดวงตาสีฟ้าอมเทาเบิกโพลง พอเขาพยักหน้าย้ำร่างสูงทิ้งตัวพิงพนักแถมยังสบถพึมพำเป็นภาษาฝรั่งเศสยาวเหยียด
แน่นอนว่าสแลงขนาดนี้เขาฟังไม่ออก แต่ความหมายมันคงจะไม่พ้นเป็นการด่า
“ถ้าพวกมันจับได้นายจะทำยังไง เอาตามตรง นายยื่นของปลอมไปให้มัน ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องแตก
เผลอๆตอนระหว่างเราเดินทางหนึ่งชั่วโมงนี่มันจับได้แล้วด้วยซ้ำ”
ดวงตาสีมรกตเหลือบมองชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสที่ชักจะห่างไกลกับภาพลักษณ์ตอนแรกพบกับเขาไปทุกทีๆ
อันที่จริงเรียกได้ว่าเริ่มเผยตัวตนมากกว่า
เพราะเจ้าหมอนี่เป็นคนที่ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง
และการที่แดชีลล์บ่นออกมาไม่เว้นหายใจขนาดนั้นมันทำให้เขาแน่ใจว่าเขาถามตัวเองไม่ผิด
หมอนี่ได้รับการฝากฝังไม่เข้าเรื่องมาจากเจ้ายามาโมโตะจริงๆด้วย
“ฉันเพิ่งให้ซีดีสตีเฟนไปก่อนขึ้นเครื่อง
ต่อให้มันเปิดดูกว่าจะรู้ว่าเป็นของปลอมก็ต้องผ่านการยืนยันจากลูกน้องที่ส่งไปโตเกียว
จากสวิตถึงญี่ปุ่น ต่อให้ใช้เครื่องบินรบก็ต้องห้าชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ฉันว่าเราต้องปลอดภัยตลอดการเดินทางและเซ็นสัญญาแล้วอีกอย่าง....หมอนั่นไม่มีทางปล่อยให้ลูกน้องสตีเฟนคาบข้อมูลออกไปจากศูนย์บัญชาการได้หรอก....ฉันเชื่อ”
รอยยิ้มซื่อๆปรากฏบนใบหน้าสวยอีกครั้ง
แล้วคำสุดท้ายที่ยืนยันความคิดตนอย่างชัดเจนก็ทำให้คนฟังนิ่งอึ้งไปก่อนที่จะหัวเราะออกมา
ซึ่งถ้าไม่เกรงใจแขกที่มีอยู่บ้างมันคงดังกว่านี้
“แหมๆ... ‘ฉันเชื่อ’
อย่างนั้นเหรอ...”
เขาทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนจนแก้มเด็กหนุ่มขึ้นสีเรื่อ ยิ่งถลึงตาเข้าไปอีกเมื่อฟังประโยคต่อมา
“ฉันอยากอัดเสียงไปให้ไอ้หมอนั่นฟังจริงๆ
มันคงดีใจจนยิ้มแก้มแทบปริอ่ะ ฮะๆ”
“เจ้าบ้า!”
คนจะโดนอัดคลิปค้านเสียงเขียว เม้มริมฝีปากแล้วก้มหน้าลง
มือไม้ที่ไม่รู้จะทำอะไรก็บีบกันไปมาอยู่นั่น “ช่วยลืมๆมันไปเลยนะ ห้ามฟ้อง
ห้ามเล่า ถ้านายเล่าฉันจะ...ฉัน..เอ่อ..ฉันจะ...โว้ย! สรุปว่าห้ามพูดถึงมันอีก
เข้าใจมั้ย!”
ฟังเป็นคำสั่งอยู่หรอก
แต่สีหน้าดูยังไงก็เหมือนเป็นการขอร้องมากกว่า เขาหยุดหัวเราะไม่ได้จริงๆ
พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนเด็กโข่งของเขาถึงชอบแหย่โกคุเดระเรื่องนี้นัก
ว่ากันว่าคนที่ไม่คุ้นชินกับอะไรจะรับมือกับสิ่งนั้นไม่ถูกนี่ท่าจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...เป็นเรื่องงานล่ะแก้ปัญหาเก่งนัก
แต่พอเป็นเรื่องพรรค์นี้กลับคิดไม่ออกซะอย่างนั้น
แล้วดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลย...ว่าเป็นแบบนี้มันเสียเปรียบ
นี่ถ้าไม่ใช่ยามาโมโตะ โกคุเดระอาจจะโดนทำร้ายความรู้สึกมากกว่านี้....มันคือชะตากรรมของคนที่วิ่งตาม...
เป็นคนตามน่ะ...เป็นได้...แต่ต้องตามอย่างมีศักดิ์ศรี
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาบางๆ เท้าแขนกับที่วางศอกฝั่งเขา เหมือนให้คุยได้สะดวกขึ้น “ถือว่าเพื่อนช่วยเพื่อน
ฉันจะบอกความจริงบางอย่างกับนาย มาถึงขั้นนี้แล้วให้รู้ก็คงไม่เป็นไร”
“ความจริง?”
แดชีลล์พยักหน้าตอบ แล้วเริ่มเล่า
“ฉันเคยบอกนายไปแล้วใช่ไหมว่าการประมูลครั้งนี้น่ะ
จัดขึ้นเพื่อรักษาสัญญากับแมคคาร์ที
แต่ก็ไม่คิดที่จะยอมโดนตาแก่นั่นกดดันอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ
ฉันก็เลยติดต่อไปหายามาโมโตะให้หมอนั่นมาช่วย
แต่ประจวบเหมาะกับที่พวกนายถอนหุ้นกันพอดี...ฉันเดาว่า
ยามาโมโตะคงคิดอยู่แล้วว่าถ้ามาคนเดียวอาจจะช่วยฉันไม่ได้ ก็เลยหวังให้นายมาสมทบ
เขาก็เลยท้านายแบบนั้นออกไป...เพราะเชื่อว่านายต้องไม่อยู่เฉยภายในเวลาที่จำกัดสามเดือนแน่
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องหาหุ้นส่วนให้เร็วที่สุดภายในวันสองวัน...”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างรู้ทัน
แล้วกระซิบเสียงให้เบาลงกว่าเก่า “ต่อให้นายไม่ลอบขึ้นตึกของเขา เขาก็คงจะแฮกเข้าหน้าเว็บเพจธุรกิจของนาย
แล้วเอาข่าวไปแปะ หรือใช้เมลล์ปลอมส่งไปเชิญ มีสารพัดวิธีที่จะทำให้นายมาที่เจนีวา”
เด็กหนุ่มหรี่ตาลง
เดาเรื่องต่อได้ไม่ยาก
“ส่วนนายก็มีหน้าที่รอ
แล้วส่งคนไปรับพวกฉันที่สนามบินเพื่อเป็นการยืนยันว่าฉันมาจริงๆอย่างนั้นสิ”
เห็นคนตรงหน้ายักคิ้วกวนๆให้ก็รู้ทันทีว่าตัวเองเดาถูก
โกคุเดระหัวเราะเหอะๆในใจ คราวนี้เพื่อสมเพชตัวเอง
สรุปก็คือเขาไม่น่าเดาให้มันปวดหัวหรือไปทำหลอกถามหมอนี่เลยว่าตกลงอยู่ฝ่ายเขาหรือเปล่า
เขาเครียดฟรี ปวดหัวฟรี เกือบสติแตกต่อหน้ายามาโมโตะอีกด้วย
“นายนี่มันตีสองหน้าเก่งเป็นบ้า”
เขาชม ชมจริงๆจากใจ แล้วคนตรงหน้าก็ยิ้มรับคำชมด้วย แต่กลับพูดต่อ
“ฉันจะตีกี่หน้าหรือเก่งแค่ไหนก็ช่างเถอะ
แต่ขอรับประกันว่าไม่เท่าท่านประธานแห่ง The Best แน่ๆ...”
“หมายความว่าไง”
คนถูกถามยังไม่คลายรอยยิ้มบนใบหน้า เพียงแต่รอยโค้งลดลงนิดหน่อย
“ฉันมาคิดเอาทีหลังนะ
ว่านอกจากเป้าหมายให้มาช่วยฉันแล้ว เขายังช่วยนายทางอ้อมด้วยหรือเปล่า
ที่นี่มีนักธุรกิจระดับโลกมาประมูลกันเยอะแยะ อาจจะมีสักรายที่ถูกใจนาย
และนายถูกใจเขา แล้วได้กลายเป็นหุ้นส่วนกัน ดีไม่ดีอาจจะทำให้นายชนะพนันก็เป็นได้...เป็นอย่างนั้นก็ถือว่านายมีโชคและฉันคงต้องมองไอ้เพื่อนเด็กโข่งคนนั้นใหม่ว่าในก้นบึ้งหัวใจมันก็มีความใจดีอยู่บ้าง....”
“แต่ถ้าคิดกลับกัน...ยามาโมโตะน่ะ
เลือดเย็น...”
คิ้วโค้งโก่งขมวดเข้าหากัน
เขาชักไม่เข้าใจเรื่องที่แดชีลล์พูดเข้าไปทุกที แต่อาการเย็นวาบที่มันลามทั่วแขนก็พยายามเป็นตัวช่วยอธิบายว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“นายบอกว่าแผนการทั้งหมดนายเป็นคนต้นคิดโดยใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง...เวลาบีบคั้นขนาดนั้น
แต่นายจัดการมาได้ถึงขนาดนี้ ฉันต้องบอกว่าน่าทึ่งนะ
แต่ผลลัพธ์ท้ายที่สุดมันก็แสดงให้เห็นอยู่ทนโท่....นายไม่ได้เบธิลด์ ทาวเวอร์
ยามาโมโตะต่างหากที่ได้...”
พลันบทสนทนาก็เงียบกริบ
เขาเริ่มปะติดปะต่อได้ว่าแดชีลล์ต้องการบอกอะไรกับเขา
อาการปวดหนึบไม่ทราบสาเหตุมันบีบเข้าที่กลางอก ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก ไม่สิ
เขาไม่รู้จะพูดยังไงมากกว่า
“อย่างยามาโมโตะน่าจะเดาได้ว่านายจะใช้แผนการอะไร
เป็นฉัน...ฉันก็เดาออก ณ วินาทีนั้นแม้นายจะกว้านหาวิธีนับร้อยในการแย่งเบธิลด์ออกมาจากแมคคาร์ที
แต่ด้วยระยะเวลาของการประมูลที่จำกัด
นายต้องงัดวิธีที่จะได้ผลเร็วและใช้เวลาน้อยที่สุด
แล้วก็คงนึกได้ว่าเจ้าหมอนั่นอยากได้กิจการของนายอยู่ นายก็เลยคิดจะเอาเครือโกคุเดระเข้าแลก...ขอแค่หมอนั่นพูดอะไรกระตุ้นความคิดนายนิดหน่อย
นายก็ต้องเลือกวิธีนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข”
“สิ่งที่พวกมันต้องการก็ยังคงเหมือนเดิม
คือเอาธุรกิจพวกโรงแรมหรือห้างสรรพสินค้ามาเป็นหุ้นส่วน
ตลอดสี่ปีมานี้ที่ฉันพอจะสืบได้คือมันต้องการโกดังเก็บสินค้าเพื่อซุกซ่อนอาวุธและทยอยขนส่ง
ทางออเดอร์สะดวกรับทางไหน มันก็เล็งใกล้ๆนั่นแหล่ะ
อย่างเมื่อสี่ปีก่อนมีสงครามย่อมๆของพวกยากูซ่าในแถบคันโต
ฉันหรือนายก็เลยเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยม”
คำพูดที่ว่าวกกลับเข้ามาในหัว...ต้องยอมรับ
ว่าแดชีลล์พูดถูก เขาเริ่มคิดแผนได้หลังจากได้ยินประโยคนี้จริงๆ
ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสหัวเราะหึ
“ถ้าเปรียบเทียบแล้ว
เบธิลด์ก็เหมือนปลาที่ไม่รู้ว่าจะกินได้หรือกินไม่ได้ แต่สำหรับโกคุเดระแอร์ไลน์ที่ตาแก่นั่นเคยลิ้มรสมา
มันรู้รสชาติอยู่เต็มอก...มันคว้าโกคุเดระเอาไว้แน่...แต่แน่ล่ะ
นายไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างพวกนั้น เลยต้องโยนเบธิลด์ให้กับยามาโมโตะแทน...”
โกคุเดระสูดลมหายใจ
เรียบเรียงคำพูดยาวๆของแดชในหัวไปมา
ภาพในอดีตที่เจนีวาทั้งหมดย้อนกลับเข้าความทรงจำเช่นสายน้ำ ภาพทุกภาพ
คำทุกคำเรียงต่อกันราวจิ๊กซอว์ เขาเป็นคนต่อมัน
และต่อจนสำเร็จ...แต่กำลังต่ออยู่บนมือของใครหรือเปล่า...
“เราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เหนือท้องฟ้า...เพราะเรายืนอยู่ข้างล่าง...นายไม่รู้ว่าทั้งหมดที่นายทำเป็นสิ่งที่ยามาโมโตะวางแผนให้เป็นตั้งแต่แรกหรือเปล่า...เพื่อที่เขาจะได้เบธิลด์
ทาวเวอร์...เพื่อให้นายแพ้พนัน...”
“แล้วทำแบบนั้น...หมอนั่นจะได้อะไร” โกคุเดระถามเสียงแผ่ว
“ก็นายไง...”
“อะไรนะ”
“นาย” แดชีลล์ย้ำ แถมใช้นิ้วชี้ชี้เข้าหาตัวเขาเป็นการประกอบด้วย “ฉันถึงได้บอกให้นายคิด...ว่าหมอนั่นจัดอยู่จำพวกนั้นหรือเปล่า
ไม่สนใจอะไรหรือใคร ขอแค่ได้นายมาอยู่กับเขาก็พอ...ฉันว่าใช่นะ
ยามาโมโตะไม่สนใจอะไรเลย ไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตาเมื่อมีของที่อยากได้อยู่ตรงหน้า
เขาพร้อมที่จะทรยศคนทั้งโลก...เพื่อให้ได้มา...”
โกคุเดระเงียบ...แต่หัวใจกลับเต้นอย่างบ้าคลั่ง
“หรือแม้กระทั่งทรยศนาย...เพื่อให้นายมาอยู่เคียงข้างเขาเช่นเดิม”
คำตอบง่ายๆจากปากแดชีลล์พร้อมกับสายตาจริงจังอ่านยากทำให้คนฟังสะดุดลมหายใจ
รู้สึกใจเต้นแปลกๆแม้มันไม่ใช่เวลา เพราะมันเป็นคำตอบที่ถูก
เจ้าตัวเคยเอ่ยออกมาเองว่าถ้าหากเขาแพ้ หมอนั่นจะขอทุกอย่างของโกคุเดระ
ซึ่งตอนนี้ก็ได้ไปแล้ว แต่เขาไม่เคยคิด หรือคิด แต่ไม่กล้าจะยอมรับ
ว่าสิ่งที่หมอนั่นอยากได้จริงๆคือ
ตัวเขาเอง....
“บ้าน่า...”
เขาลากเสียงแผ่วเบา หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนแล้วเบือนหน้าหลบทันที คำพูดเริ่มอึกอัก
ข้ออ้างที่เขามักจะใช้อ้างกับตัวเองเสมอเวลามีความคิดบ้าๆนั่นเข้ามาในหัว
“หมอนั่นจะอยากได้ฉันไปทำไม...ยามาโมโตะน่ะนะ...หมอนั่นน่ะนะ
ถ้าจะให้เดา ฉันว่าหมอนั่นอาจจะหมั่นไส้ฉัน หรือถ้าแรงกว่านั้นก็เกลียด
เหม็นขี้หน้า อะไรทำนองนั้นเลย...คนเราทนไม่ได้หรอกที่จะโดนตามตื๊อน่ะ
ตอนแรกๆหมอนั่นอาจจะสนุก สนใจ หรือดีใจเหมือนได้เพื่อนเล่น...แต่...เอ่อ...”
เขาเม้มปากแล้วพยายามเรียบเรียงคำพูด
ความรู้สึกอึดอัดเริ่มถาโถม “นานๆไป...เหมือนจะโดนทิ้งให้ไกลออกไปเรื่อยๆ
สุดท้ายที่ฉันคอยตามมาเอาชนะเขาอยู่ทุกวันแบบนี้เขาอาจจะคิด...ว่ามันน่ารำคาญก็ได้.....ว่ามั้ย”
“ถ้าหมอนั่นคิดว่านายน่ารำคาญจริง
มันจะเล่าให้ฉันฟังบ่อยๆเหรอ”
“หา!?”
เด็กหนุ่มอุทานแล้วหันกลับไปมอง อ้าปากค้างโดยไม่ตั้งใจ
แต่เสียงอะไรบางอย่างในอกมันทุบรัว ซ้ำยังดังก้องในหู
“เล่า?....เรื่องฉัน?”
“ก็เป็นธรรมดาของผู้ชายที่จะชอบพูดถึงคนที่ตัวเองสนใจนี่”
แดชีลล์ยักไหล่ เหมือนมันเป็นเรื่องเล็กๆ “ตอนแรกฉันยอมรับว่าตกใจอยู่เหมือนกัน
ที่คนที่หมอนั่นสนใจเป็นผู้ชาย เคยขอดูหน้า แต่หมอนั่นก็หวงจัดไม่ยอมให้ดู
จนงานนี้ที่ฉันได้เห็นนายด้วยตาของตัวเอง”
ดวงตาสีฟ้าอมเทากลอกไปมาบนหน้าเขา
รอยยิ้มหายากที่มันเผลอหลุดออกมาราวกับพึงพอใจ
“ถ้าเป็นแบบนี้...เป็นนาย...ก็คงจะทำให้หมอนั่นหลงรักเข้าจริงๆนั่นแหล่ะ”
ฉับพลันหน้าเขาร้อนจัด
มันร้อนฉ่าๆเหมือนโดนนาบเหล็กลนไฟและคงจะเปลี่ยนสีไปเรียบร้อย
เรื่องแบบนี้เขาคงไม่ถนัดที่จะฟังจริงๆ
แต่คราวนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าแดชีลล์รู้จักเขาได้ยังไง แล้วไอ้ความหมาย ‘ยินดีที่ได้พบ’ มันมีเบื้องหลังอย่างที่คิดจริงๆด้วย
แม้รายละเอียดมันจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อซ้ำยังฟังหลุดโลกยิ่งกว่านิทานหลอกเด็ก
เด็กหนุ่มหันหน้าหนีทันที
เขาไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกหลากหลายที่มันตีรวนในร่างกายยังไง
ไม่รู้ว่าตอนนี้คนปกติเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบไหน เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้
ยิ่งเป็นหมอนั่น เขายิ่งมีความรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อลง
ดวงตาทอดไปไกลนอกหน้าต่างเครื่องบิน ปล่อยให้ก้อนเมฆและท้องฟ้าช่วยทำให้เขาสงบลง
ท้องฟ้า...เหรอ...
ว่าแล้วก็คิดขึ้นได้...ตอนนี้เขาอยู่เหนือกลุ่มก้อนเมฆ
มองไปเบื้องบนก็ยังเห็นท้องฟ้า
และเหนือขึ้นไปนั้นเขาไม่รู้ว่ามันมีอะไร...แต่ที่แน่ๆคือมันไม่สิ้นสุดแค่นี้...มันคงจะมีแผ่นฟ้าอีกชั้น
ใช่...เหมือนโลกใบนี้ที่ยังคงมีการแข่งขัน มีคนเก่งกว่า
มีคนอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง...
“ฉันคือคนที่มองแผ่นหลังของเขา...”
เด็กหนุ่มยิ้มจางๆออกมาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งกว่าเก่า
“ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ช่วงเวลาที่ฉันอยู่ตำแหน่งนั้นมันก็นาน...นานพอที่ทำให้ฉันไม่กล้าคิด...คนที่อยู่ข้างหลังไม่กล้าคิด
และก็คงไม่มีวันรู้ว่าคนข้างหน้าเหลือบตามามองตัวเองบ้างไหม...ฉันทำอะไร
รู้สึกยังไง แสดงสีหน้าแบบไหนหรือคิดอะไรอยู่ หมอนั่นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ ยิ่งคำว่ารัก
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย...มันฟังดูแย่...ก็คงจะแย่จริงๆเพราะฉันเองก็รู้สึกว่าบางทีมันก็เจ็บแปลกๆ...แต่มันไม่ใช่ถึงขั้นเสียใจหรือผิดหวังหรอก”
“ทำไมล่ะ” คนฟังถาม
เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปสักพัก แผ่นหลังบางพิงลงกับเบาะอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปสักพัก แผ่นหลังบางพิงลงกับเบาะอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
“อือ...ไม่รู้สิ
ถ้าไม่ใช่เพราะชิน ฉันก็คงจะพอใจกับมันขึ้นมาล่ะมั้ง...ขออยู่ตรงนี้
คอยซัพพอร์ตหมอนั่น หาเรื่องแข่งขันกันเป็นบางครั้งบางคราว
แต่ไม่เคยปฏิเสธเมื่อเขาขอความช่วยเหลือ เคยคิดนะว่าถ้ายังเห็นเป็นคู่แข่งแบบนี้คงจะขัดคอกันตายระหว่างทำงานเข้าสักวัน...แต่ก็แปลกที่มันไม่เคยเกิดขึ้น”
“ถ้าไม่เสียใจ...แล้วที่จริงนายรู้สึกยังไง”
แดชีลล์ถามต่อ
โกคุเดระเงียบไปสักพักราวกับกำลังหาคำตอบในหัว...นั่นสินะ
เขาพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะยามาโมโตะมาโดยตลอด แม้มันจะเป็นเป้าหมาย
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นทุกเวลา
มันจะเป็นเอามากๆเวลาที่หมอนั่นห่างไกลเขาออกไป หรือเวลาไม่ได้ยินข่าวคราว
รู้สึกปวดแปลบในอก หนาวเหน็บจนคิดอยากจะนั่งลงและกอดเข่าตัวเอง
แต่เขาก็ไม่เคยทำอย่างนั้น เพราะกลัวว่าจะอยู่กับที่ แล้ววิ่งตามไม่ทัน...
เขาไม่แน่ใจว่าจะนิยามความรู้สึกนี้ว่ายังไง
แต่ถ้าให้สรุปอย่างใกล้เคียงที่สุด...
“เหงา...ล่ะมั้ง?”
พลันภาพในอดีตตอนที่เขาพบกับหมอนั่นเป็นครั้งแรกก็เข้ามา
ดวงตาของยามาโมโตะตอนนั้นต่างจากตอนนี้ เขาจำได้
เจ้าเด็กตัวสูงวัยเก้าขวบจ้องเขาตาเป็นมันเหมือนเด็กน้อยเจอซานตาคลอส
แต่ตอนนี้สายตาของยามาโมโตะมองเลยเขาไปไกลแสนไกล บางทีคงเป็นเพราะคำพูดนั้นของเขา...
“ทุกคนล้วนสนใจคนที่อยู่ข้างหน้า
เพราะอย่างนั้นถึงได้มองว่าคนที่เก่งกว่าสำคัญ...มันก็เท่านั้น”
แต่คำพูดที่ว่ากลับดังขึ้นข้างตัว
ดวงตาสีมรกตสั่นระริกเมื่อคนพูดคลี่ยิ้มออกมา
คำพูดที่ผ่านมาแล้วถึงสิบปีแล้วเขาไม่เคยพูดกับใครกลับมาจากปากของคนที่ไม่น่าจะรู้เรื่อง
แสดงว่ายามาโมโตะ...เคยเล่า?
เหมือนเวลาหยุดนิ่ง
ความรู้สึกหนักอึ้งทว่ามันไม่ทำให้รู้สึกแย่เลยสักนิดตีมวนอยู่ในท้องแล้วเหมือนจะดันขึ้นมาจนจุกอยู่แถวลำคอ
“ถ้านายเป็นคนพูดประโยคนี้...ก็สบายใจได้
แล้วโละเรื่องกฎคนข้างหน้าข้างหลังไปได้เลย
มันใช้ไม่ได้กับยามาโมโตะ...เพราะเจ้าหมอนั่นมีนายอยู่ในสายตาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว...และจะมองแต่นายเสมอไม่ว่านายจะอยู่ตำแหน่งไหน”
หลังจากนั้นบทสนทนาก็เงียบไปและอีกสิบห้านาทีเครื่องจะแลนดิ้ง
เขารู้อยู่แล้วว่ามีอะไรรออยู่
การที่ยามาโมโตะกับแดชีลล์บอกว่าเขากำลังจะเอาชีวิตไปทิ้ง มันเป็นเรื่องจริง
แต่เขาก็ยังเป็นคนธรรมดาที่กลัวตาย เพราะงั้นถึงสัญญากับตัวเองว่าจะพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้รอดกลับมา...แต่นั่นหมายความว่าถ้าท้ายที่สุดเขาไม่รอด...เขาก็พร้อมที่จะยอมรับ
และได้จัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง
แต่สุดท้ายก็มีเรื่องต้องห่วงอีกจนได้
เขาต้องกลับไป
ต้องกลับไปเท่านั้น ต้องมีชีวิตรอดไปเห็นหน้าหมอนั่นเพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องที่แดชีลล์พูดเป็นเรื่องจริง
“เสร็จแล้ว...ฉันจะส่งไป”
เด็กหนุ่มละจากคอมพิวเตอร์ตัวขวาหันมาหาคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าของเลขาคนสนิทอยู่หน้าจอ
จัดการส่งโค้ดทั้งหมดไปให้
ความจริงมันคงไม่ลำบากเท่านี้ถ้าหากตอนนี้ระบบรักษาความปลอดภัยของเขาทั้งหมดถูกเขียนขึ้นใหม่หลังจากโดนพนักงานเดินสายไฟกิตติมศักดิ์เล่นงานเอา
ทำให้เขาต้องสร้าง System
ให้มันรัดกุมกว่าเดิม
แล้วเชื่อว่าอีกไม่เกินเดือนเดี๋ยวก็ต้องถูกล้ม
“ติดตั้งตัวเก็บลายนิ้วมือไว้ที่ระบบรูดบัตรแล้วใช่ไหม”
เขาถามเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเลขาก็ตอบรับว่าเรียบร้อย
และเหลือเพียงการป้อนโปรแกรมเท่านั้น
ยามาโมโตะถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ตัวเองหายไปจากหน้าจอ
ดวงตาหม่นลงเมื่อเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่
ว่าแล้วเขาก็ดึงจดหมายขึ้นมาอ่านอีกรอบ
ทั้งๆที่อ่านมันซ้ำไปซ้ำมาตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน
แต่ไม่ว่าอ่านกี่รอบเขาก็อดหงุดหงิดไม่ได้ทุกครั้ง พอถึงประโยคสุดท้ายมันจะทำให้เขาใจเย็นขึ้นมาบ้างก็เถอะ
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เขายอมอ่อนให้ไปหมดทุกอย่าง
ปลายนิ้วลูบไปตามตัวหนังสือทีละบรรทัด
เขาราวจะสัมผัสได้ว่าตอนที่โกคุเดระเขียนมันออกมาเจ้าตัวจะอยู่ในความรู้สึกแบบไหน
เขาไม่คิดโทษอีกฝ่ายที่หุนหันตัดสินใจจะไปปารีสด้วยตัวเอง
แต่เขาควรจะโทษตัวเองที่ทำไม่ไม่อยู่ข้างๆ
ยกเลิกไอ้สัญญาที่บอกว่าจะไม่ช่วยนั่นไปซะ แล้วใช้ทุกวิธีทางรั้งโกคุเดระเอาไว้
ขอแค่เขาอยู่ข้างๆ...
แล้วปลายนิ้วที่ไล้อยู่ตามกระดาษก็หยุดชะงักเมื่อสัมผัสมันไม่ใช่เนื้อกระดาษตามเดิม
ดวงตาคมเหลือบมอง เป็นส่วนมุมท้ายแล้วมันมีลิควิดเปเปอร์ป้ายอยู่
ไม่มีอะไรเขียนทับลงไปใหม่ แสดงว่าเป็นการลบ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
แล้วจับมันพลิกส่องกับไฟ แม้ตัวหนังสือจะกลับจากหน้าไปหลัง....แต่เขาก็อ่านได้....
นี่มัน....
ทันใดนั้นเสียงเครื่องตอบรับบนโต๊ะข้างหลังก็ดังขึ้น
ซึ่งมันคงจะมาจากเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของตึก
เด็กหนุ่มหรี่ตามองมันเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะกดรับ แต่เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบให้ปลายสายพูดก่อน
“ขออนุญาตรบกวนค่ะ คุณยามาโมโตะ”
เสียงเรียกเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษอย่างสุภาพทำให้คนที่อยู่ในห้องคลายความกังวลลง
เขาจำเสียงเธอได้ เป็นประชาสัมพันธ์ข้างล่างไม่ผิดแน่ “เดี๋ยวสักครู่ดิฉันจะเตรียมเครื่องดื่มขึ้นไปให้สองที่นะคะ”
คิ้วของเขาขมวดพลัน “สองที่?”
“อ้าว” เธอร้องออกมาอย่างงงๆ
แล้วให้เหตุผล แต่เป็นเหตุผลที่คนฟังแทบลืมหายใจ “ก็เมื่อกี้มีผู้ชายใส่สูทสีดำแสดงตัวว่าเป็นลูกน้องของคุณมาถามหา
เพิ่งขึ้นไปเมื่อ..”
ปี๊บ!
ไม่ต้องฟังไปมากกว่านั้น
เด็กหนุ่มปิดเครื่องตอบรับโดยอัตโนมัติ แล้วหันไปสั่งเฟร็ดดอริกด้วยน้ำเสียบเฉียบขาด “ตัดการสื่อสารแล้วลบโค้ดระบบจากไอดีเครื่องฉันซะ!”
เขาเร่งเอาจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง
ส่วนซองเอกสารเขายัดมันลงกับลิ้นชัก จัดการล็อกแล้วถอดกุญแจซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าสูทด้านใน
เขารู้ว่ามันเป็นการป้องกันตัวที่แย่มาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ปลอดภัยที่สุด
ถ้าพวกนั้นไม่เข้าถึงตัวเขา มันก็ไม่มีทางเจอ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นจนแทบระเบิด
พวกมันมา ตามเขามา แล้วกำลังจะเข้ามาในห้องนี้
พวกมันเจอเขาได้
เจอข้อมูลเครือยามาโมโตะได้ แต่ห้ามเจอเอกสารของโกคุเดระ
และแน่นอนว่าห้ามกลับออกไป!
ปึง!
เสียงประตูเปิดอย่างเร็วและแรงเร็ว ด้วยสัญชาตญาณเขาหมุนตัวกลับแล้วคว้าปืนสั้นบาเร็ตต้า
9000s
ที่ซ่อนอยู่ตรงข้อเท้าขึ้นจ่อทันที เบื้องหน้าเขาคือผู้ชายรูปร่างปราดเปรียวสูงเกินกว่าเขานิดหน่อย
ในมือถือปืนสั้นแล้วก็จ่ออยู่ตรงแสกหน้าเขาห่างเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร
แต่เขายังอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่ง ส่วนระยะห่างปากกระบอกปืนไม่ต้องพูดถึง
เล็งไม่ถึงอกด้วยซ้ำ แต่วินาทีนี้มันก็ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงัน
และสมองของเขาก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง
หลังจากที่ใช้สัญชาตญาณจัดการตั้งแต่กดปิดเครื่องตอบรับ
มันประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว
แล้วก็ฟ้องออกมาเป็นความหมายเดียว...
เขาถูกจับได้...
เด็กหนุ่มยิ้มเครียด เขาไม่ได้สันทัดกับสถานการณ์แบบนี้
อย่าว่าแต่จะสู้ ตอนนี้จะหนียังไงเขายังคิดไม่ออก
ไม่มีทางรอดพ้นวิถีกระสุนระยะประชิดแบบนี้ได้แน่
อีกฝ่ายไม่ได้มีแค่คนเดียว
พวกมันติดวอล์คกี้ทอล์คกี้ แสดงว่ามีคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในตึกนี้
พวกมันหาเขาเจอได้ยังไง...ไม่ ถ้าถูกตามตั้งแต่แรกก็ต้องรู้อยู่แล้ว
ขึ้นเครื่องตามเขา โบกรถมาที่นี่ สอบถามหาเขาจากพนักงานแล้วแค่ทำทีเดินขึ้นมา
เข้าห้องสมุด รอสบโอกาสก็บุกมาถึงห้องเก็บข้อมูล เขาจำได้ว่าตัวเองรีบมากตอนเข้ามาเลยไม่ทันได้ล็อกประตู
แต่ทำไมมันไม่ฆ่าเขาเลย รอจนเขาเขียนโปรแกรมเสร็จก่อนทำไม
ยามาโมโตะรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองสูบฉีดโลหิตอย่างบ้าคลั่ง
ลมหายใจติดขัด สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดกำลังฉีกกระชากความรู้สึก แต่สิ่งที่มันตีรวนอยู่ในอกที่ชัดเจนมากกว่าอะไรคือความกลัว...
ตอนนี้พวกมันรู้แล้วว่าเขาเตรียมซ้อนแผน
เขาภาวนาให้เป็นแค่ความฉลาดผิวเผินของตาเสือเฒ่าเจ้าเล่ห์
ไม่ใช่กรณีที่สองที่มันฟ้องอยู่ในหัวว่าพวกมันรู้ทันโกคุเดระ แล้วเกิดอะไรที่ไม่ดีกับหมอนั่น...
“สตีเฟน แมคคาร์ทีส่งพวกแกมา?”
เด็กหนุ่มถามหยั่งเชิง แต่ชายชุดดำตรงหน้าเขายังเงียบ แน่ล่ะ มันไม่ทางพูดอยู่แล้ว
หรือไม่งั้นมันก็มองออกว่าเป็นแค่คำถามไร้สาระที่รู้คำตอบตั้งแต่แรก
“รู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
เขาเปลี่ยนคำถาม
“ไม่จำเป็นต้องรู้”
เสียงทุ้มห้าวตอบกลับมา
แล้วกระชับปืนขึ้นอีกเป็นเชิงว่าถ้าเขาปริปากอีกแม้แต่นิดเดียวเขาก็พร้อมจะยิง
ดวงตาภายใต้แว่นดำแม้จะไม่เห็นแต่ก็ย้ำชัดเจนว่าใครที่อยู่ในสถานะเหยื่อ “โดนเพื่อนทรยศมันเจ็บปวดใช่ไหม...แต่ไม่ต้องห่วง
ฉันมีหน้าที่มาทำให้แกไปสบาย...แต่ต้องหลังจากแกบอกให้ลูกน้องถอนระบบสแกนลายนิ้วมือนั่นก่อน...”
หัวคิ้วที่ย่นอยู่คลายลงเล็กน้อย นี่แสดงว่าแผนของโกคุเดระยังไม่แตก...
อีกอย่างหนึ่งทำให้รู้ว่าทำไมเขาถึงถูกไว้ชีวิตจนเขียนโปรแกรมเสร็จ...เป็นคำสั่งแปลกประหลาดอย่างให้เขาถอนระบบสแกน
ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลย แค่ลูกน้องสี่ห้าคน ถ้าเกิดทำงานพลาด
เจ้าพ่อมาเฟียใหญ่แห่งยุโรปก็ปล่อยให้ตายได้แท้ๆ
เพราะฉะนั้นมันมีข้อสรุปเพียงอย่างเดียว
พวกที่ถูกส่งไปเป็นพวกหัวกะทิที่องค์กรไม่สามารถตัดหางปล่อยวัดได้
ระดับบุคลากรชั้นสูงหรือพวกหน่วยสอดแนมมีฝีมือที่เก็บความลับขององค์กรเอาไว้เยอะ
และก็คงมั่นใจมากว่าต่อให้ถูก The Best จับได้
พวกมันก็จะใช้กำลังฝ่าเอาข้อมูลของเขาออกมาจนได้สินะ
แต่ถ้าคิดในทางกลับกัน...ถ้าพวกเขาชนะและได้ลายนิ้วมือของพวกมัน...นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาตกได้ปลาฝูงใหญ่เลยหรือไง
“วางปืนลงแล้วอย่าคิดตุกติก
รู้ใช่ไหมว่าจากจุดนี้ ระยะนี้ แกมีแต่ตายกับตาย”
อะไรนะ?
คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดในขณะสีหน้ายังไม่เปลี่ยน
ใจเริ่มกระหยิ่มยินดี
พอจะเห็นหนทางรอดแล้ว
เขาไม่รู้ว่าแมคคาร์ทีดูถูกเขาเพราะเห็นเขาไม่มีบอดี้การ์ดติดตัว
หรือเป็นเพราะโชคช่วย แต่ไอ้ลิ่วล้อมาเฟียตรงหน้าเขานี่เป็นพวกเกรดแย่
เด็กหนุ่มลดปืนลงช้าๆ แต่นิ้วยังกระชับแม่นที่ไก เขาต้องหนี ใช่ หนีเท่านั้น
แล้วก็ต้องทำให้หมาไนที่สำนึกผิดว่าตัวเองเป็นสิงโตตามเขาไม่ทันด้วย
ปัง!
ผลั่ก!
“โอ๊ย!!” มันร้องลั่น
แต่เขาไม่มีเวลามานั่งชื่นชมผลงานตัวเอง
ผู้ล่าที่เสียขาไปหนึ่งข้างถูกชาร์จจนล้มลง เด็กหนุ่มทุ่มศอกเข้าที่กลางลิ้นปี่จนได้ยินเสียงอั้ก
เขาสบโอกาสนั้นเก็บปืนออกจากมือหมอนั่น และรู้ว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะรีบวิ่งเสียตอนนี้
แต่เขายังวิ่งไม่ได้จนกว่าที่จะทำให้อีกฝ่ายสลบและไม่สามารถลุกขึ้นมาตรวจสอบห้องนี้
มันมีทุกอย่าง ทุกอย่างที่พวกมันต้องการหาเลย
“อั้ก!”
คราวนี้เป็นเสียงเขา เมื่ออยู่ดีๆนักฆ่าเกิดกัดฟันลุกขึ้นมาแล้วตวัดท่อนแขนแข็งๆรัดเข้าที่คอ
รู้สึกว่าลมหายใจถูกสกัดกั้นไปจนเกือบวูบ เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดก้มตัวลงแล้วแทงเข่าขึ้นไป
ซัดเข้ากลางหน้าผากแล้วจัดการทุ่มมันลงกับพื้น
ไม่มีเวลาปล่อยให้อีกฝ่ายเยียวยาอาการเบลอจากแรงกระแทก
ด้ามปืนบาเร็ตต้าผสมแรงเหวี่ยงอย่างเร็วตบเข้าที่ข้างกกหู
เครื่องมือสื่อสารหลุด เลือดไหล และสุดท้ายคืออาการแน่นิ่งของชายชุดดำ ภาวนาว่าให้นานพอที่รปภ.จะขึ้นมาแล้วลากตัวมันไปก่อนจะฟื้น
ยามาโมโตะหายใจหอบเหนื่อย
แต่เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไรไปมากกว่านั้นรีบอาศัยโอกาสวิ่งหนีในทันทีและไม่สนใจเสียงเพื่อนของพวกมันดังตะคอกมาจากวอล์คกี้ทอล์คกี้ที่ร่วงอยู่ที่พื้น
พวกมันคงรู้ตัวแล้วจะรีบตามมา เขายังไม่รอด
เสียงฝีเท้าหนักๆที่ดังแทรกเสียงเรียกมาตามอุปกรณ์เป็นตัวพิสูจน์ ระหว่างวิ่งให้ลมผ่านหน้าเผื่อจะบรรเทาอัตราไหลเวียนของเลือดที่ถูกสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง
หัวก็เริ่มทำงานอีกครั้ง การประเมินระดับของคู่ต่อสู้คือสิ่งจำเป็น
และปฏิกิริยาของพวกมันก็ทำให้เขารู้ได้ทันที
สิ่งที่เขาทำคือการยิงที่ข้อเท้าหมอนั่น แล้วต้องเสียงกับดวงว่าอีกฝ่ายจะห่วงเจ็บหรือห่วงภารกิจมากกว่ากัน
แต่ที่เขาออกมาจากห้องได้ก็พิสูจน์คำตอบได้แล้ว
สตีเฟนส่งแค่ลูกน้องปลายแถวมาเก็บเขา
มันห่วงเจ็บ ทิ้งปืนแล้วล้มลงกดข้อเท้าตัวเองทำให้เขาจัดการได้ง่ายอย่างที่เห็น
แถมยังปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ
ไม่มีนักล่าที่ไหนสั่งให้เหยื่อวางปืนถ้าเหยื่ออยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าตัวเอง
สิ่งที่อยู่ในหัวเหยื่อตัวคนเดียว
แถมยังเป็นคนไม่เชี่ยวชาญด้านต่อสู้แน่นอนว่าต้องเป็นการหนี และต้องตัดกำลังผู้ล่า
ฉะนั้นโอกาสจะโดนยิงขาหรือข้อเท้ามีสูง
ซึ่งถ้ามันมีความเป็นมืออาชีพกัดฟันทนเจ็บแล้วยิงสวนเขามาสักนิด
เขาก็ได้นอนตายอยู่ในห้องนั่นแหล่ะ แต่ก็นับว่าพระเจ้ายังเมตตารับฟังเสียงที่เขาตะโกนเรียกร้องใจซ้ำๆ
มันตะโกนว่าเขาจะตายไม่ได้
ตายไม่ได้เด็ดขาด!!
ขายาวๆสับไปตามทางเดินในตึกอย่างบ้าคลั่ง
โชคดีที่ชั้นนี้ไม่ค่อยมีนักศึกษามาเดินผ่าน
ทางวิ่งของเขาเลยสะดวกและมันก็เงียบพอที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามมาไวๆ จากตรงนี้พอจะเดาได้ว่ามีแค่หนึ่งคน...นักฆ่าสองคนแค่นั้น? ถ้าแผนยังไม่แตก บทของเขาก็คือคนที่ถูกโกคุเดระทรยศ
แต่ต้องบอกว่าแมคคาร์ทีไม่ได้ไว้ใจโกคุเดระร้อยเปอร์เซ็นต์
มันเตรียมแผนสำรองสำหรับกรณีที่เขาไหวตัวทันแล้วส่งคนตามประกบเขาตั้งแต่แรก จำนวนคนที่ตามเขาก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่ แล้วต้องชมว่าตาแก่นั่นรอบคอบเหมือนปิศาจ
แต่ถ้ามันเป็นอีกกรณีมันจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด
ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของแผน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่โกคุเดระโทรหาแดชีลล์เมื่อคืน
บทสนทนาในห้องประมูลระหว่างโกคุเดระกับเดเมียน หรือแม้แต่การเซ็นสัญญาที่ทางเดินหนีไฟ
มันมีรอยโหว่ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันไม่จบเพียงแค่เขาแน่
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ดุดันเยือกเย็นเมื่อคิดสิ่งที่จะต้องทำ
ตอนนี้ถึงเวลาที่จะจบได้แล้ว
เขาต้องจัดการพวกมันซะที่นี่ แล้วไม่ให้พวกมันได้แตะต้องคนสำคัญของเขาอย่างเด็ดขาด!
ร่างสูงเลี้ยงเข้าหลบมุมแล้วเอาตัวพิงกำแพง
หูแนบชิดปูนเย็นๆ ข้างหลังคือทางเดินแคบและมืดยาวสิบเมตรก่อนจะถึงบันไดหนีไฟ เขานับเวลาถอยหลังพร้อมกับฟังเสียงฝีเท้าที่มันหนักและดังขึ้นเรื่อยๆจนมันผ่อนและเงียบลง
นั่นก็แสดงว่าพวกมันฟังเสียงฝีเท้าของเขาเหมือนกัน พอเหยื่อเงียบ
ผู้ล่าก็ควรจะเงียบตามสัญชาตญาณ
เลิกเล่นเกมวิ่งไล่จับ
เปลี่ยนไปเล่นซ่อนหา
และอีกไม่กี่วินาที...ยักษ์จะถูกแตะตัว...
.
.
.
.
.
TBC…
มิยะขอเม้าท์
ขอเปิดสนามบอลโลกด้วยฟ้าถล่มภาคต่อรองตอนที่สิบเอ็ด อิอิ โอยยยยยยยยยยย ตอนนี้หนูก๊กยังไม่ถึงเบธิลด์เลย แบบว่าโทษแดชคุงค่ะ แดชคุงชวนคุยยาว แฮ่! แบบเป็นบทสนทนาที่แต่งยากมาก (ยากทุกตอนล่ะเอ็งน่ะ) ความรู้สึก ณ ตอนนั้นนี่จิกหมอน(ที่คิดว่าเป็นหน้าอิเนียนไป)แล้วมือก็แต่งไป หูก็ฟังเพลง เพลงนี้เลย "เพียงข้างหลัง" ต้นฉบับโดยเจ๊อ๊อฟกับคุณเบน ง๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จะเข้าไปไหน แต่อารมณ์ต้นฉบับนี่มันจะดูโหยหาและคับแค้นใจไปสักหน่อย เพราะงั้นขอเอาเวอร์ชันนี้มาแปะ เพราะมากกกกกก ฟังแล้วเศร้าสุดๆเลยค่ะ มันเศร้าไม่ไหวจนต้องเปิดซ้ำไปซ้ำมาจนจบฉาก โอกกกกกกกกกกกกกกกกก
ส่วนนี่...แปะจนกว่าจะจบ (อีกแล้ว)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกค่ะ
Miya
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น