หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Au.Fic Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC : หลักฐานชิ้นที่ 3



Au.Fic  Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC
Drama  action  investigation
NC-17                         
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ด้วยแนวเรื่องนี้เป็นฟิคที่ตัวหนังสือค่อนข้างเยอะ โปรดระวังอาการล้าทางสายตาจ้ะ



หลักฐานชิ้นที่ 3 แลกเปลี่ยน



ท่าอากาศยานเบอร์ลิน

          รีไวไม่ค่อยได้มาเยอรมันทั้งๆที่มันใกล้กับอังกฤษ นั่นก็เป็นเพราะว่าสำนักงานกลางเบอร์ลินอยู่ในความควบคุมของเอลวินและทีมจำนวนมาก ทางอังกฤษเลยไม่ปล่อยตัวเขามาช่วยกับเขตนี้เท่าไหร่นัก ยกเว้นก็เมื่อสองปีก่อน คดีนั้นใหญ่แล้วลุกลามไกลทั้งแถบชายแดนเยอรมัน โปแลนด์จนไปถึงเนเธอร์แลนด์ ไอ้พวกนกอินทรีหัวหมอย้ายแหล่งกบดานไปเรื่อยๆหนีพวกเขาไปได้ถึงครึ่งปี จนทางอังกฤษส่งทีมเขามา ก็ใช้เวลาอีกเกือบสองเดือนถึงปิดคดีได้

            แต่บอกว่าปิด...มันก็คงไม่เต็มปาก พวกมันยังไม่ถูกถอนรากถอนโคนจนหมด แล้วตัวเขาเองก็ไม่ชอบให้คดีมันค้างคาก็น่าจะได้รับผิดชอบทำคดีนี้ต่อ เพียงแต่ตอนนั้นก็มีสายตรงมาจากผบ.พิคซิสว่าให้เขากลับอังกฤษเดี๋ยวนั้น

ด้วยเหตุผลบางประการ....

            “ไม่รู้ว่าผบ.เอลวินไปอยู่ไหนนะคะ หัวหน้า” ตำรวจสาวร่างเล็กเอ่ย พลางเหลือบมองกล่องทรงยาวข้างหลังตนเองด้วยสีหน้าปั้นยาก ความจริงรูปร่างของมันใหญ่จนไม่น่าเรียกว่ากล่อง ขนาดก็พอที่จะบรรจุคนๆหนึ่งลงไปได้พอดี

“ทำไมต้องเอาศพผู้ต้องหามาด้วยก็ไม่รู้นะคะ”

“นั่นซี้! ไม่รู้หรือไงว่ากว่าจะทำเรื่องขอขนย้ายศพข้ามประเทศได้นี่มันยากแค่ไหน แถมยังบอกแค่ว่าเป็นคำสั่งของเบอร์ลินไม่ให้เหตุผลอะไรสักอย่าง สอบตกวิทยาศาสตร์สุดๆเลยนะเนี่ย คนฝั่งเนี้ย!

รีไวได้แต่ฟังลูกน้องตัวเองกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานบ่นเงียบๆ แม้ในใจก็คิดไม่ต่างเท่าไหร่ เจ้าผู้ร้ายที่เขาสังหารตายคาบ้านมิสซิสโจนส์ที่น็อตติงแฮมตอนนี้นอนอยู่ในโลงนั่น เป็นโลงพิเศษที่อุณหภูมิติดลบถึง 20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่เหมาะที่สุดในการเก็บรักษาศพชั่วคราวแบบแช่แข็งเช่นเดียวกับที่สำหรับนักศึกษาแพทย์เก็บศพอาจารย์ใหญ่ มันเป็นคำสั่งด่วนแปลกประหลาดที่บอกให้พกมาด้วย ถึงจะมีคำถามเต็มไปหมดแต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งใดๆ ในเมื่อมันมีลายเซ็นของเอลวิน สมิธเด่นหราอยู่ท้ายกระดาษ

แต่ถ้าสัญชาติญาณของเขามันร้องเตือนไม่ผิด นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่เบาก็ได้...

“ขอโทษที่มารับช้า” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของคณะตำรวจสากลอังกฤษ ชายวัยกลางคนร่างสูงผมสีทองยังคงหวีอย่างเรียบร้อยเหมือนเดิมทั้งๆที่ชุดจะเป็นเพียงแค่เสื้อโปโลธรรมดากับกางเกงขายาว รอยยิ้มนิดๆที่ปรากฏบนหน้าทำให้บรรยากาศรอบข้างของผู้มาใหม่ดูสบายกว่าครั้งไหน แต่ถึงอย่างนั้นผบ.เอลวิน สมิธแห่งเบอร์ลินก็ยังเป็นคนไม่ค่อยน่าเข้าใกล้เหมือนเดิม

“ยินดีต้อนรับสู่เบอร์ลิน กองสืบสวนพิเศษรีไว” ในขณะที่คนข้างหลังแทบจะทำความเคารพไม่ทัน แต่ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุดกลับไม่ตอบอะไรเพียงแค่ถอนหายใจนิดหน่อย แล้วบ่นตามนิสัย

“ถ้าอยากให้ฉันทำคดีนี้มากขนาดนั้นก็บอกมาดีๆ ไม่เห็นจะต้องจัดละครให้มันเอิกเริก”

ดวงตาคมหรี่ลง เสียงของชายหนุ่มเย็นลงอย่างชัดเจน

“แถม...ฉันไม่ปลื้มละครของนายแม้แต่ฉากเดียว เอลวิน”

ผบ.เอลวิน สมิธขอโทษเพียงแค่ยิ้มแกนๆ อย่างที่เขาคิดไว้ว่าระดับรีไวคงจะรู้ในไม่ช้า ว่าความเป็นจริงแล้วเขาได้วางแผนขอตัวให้ตำรวจหนุ่มอัจฉริยะร่างเล็กคนนี้มาทำคดีต่อจากเอียน ดิทริชตั้งแต่ที่รู้ความเคลื่อนไหวของพวกอาร์นันโด แต่ด้วยขอบเขตจะไปขอทางอังกฤษมาหน้าด้านๆก็คงจะทำไม่ได้ด้วยสาเหตุก็คือเพิ่งจะทำคนของเขาเสียชีวิตไปทั้งคน ที่พอจะทำได้คือการส่งเมล์ไปเปรยกับผบ.พิคซิสนิดหน่อยว่าต้องการผู้ชำนาญการพิเศษมาจัดการคดีต่อเพราะความจำเป็น ถ้าเป็นไปได้ก็จะขอหัวหน้ารีไว สำทับเหตุผลไปเล็กน้อยว่าเป็นคดีเดิมที่รีไวเคยทำค้างไว้

 ละครฉากต่อไปก็แค่จัดคดีเล็กๆน้อยๆให้รีไวสะสาง คดีเฮโรอีนที่ช่องแคบทันเนลนั่น นับว่าเป็นพล็อตชั้นเยี่ยม

มันเป็นกลุ่มอาชญากรเกรดC ที่ไม่ต้องถึงมือของรีไว พวกตำรวจสากลที่อยู่แถบชายแดนก็ต้องจัดการกันได้สบายอยู่แล้ว แต่การที่ผู้ต้องหาคนสุดท้ายหลบหลีกการจับกุมแล้วมากบดานอยู่ในน็อตติงแฮมได้ถึงห้าวัน นั่นก็เพราะเขาจงใจสั่งให้ปล่อยผู้ร้ายหนีข้ามเมืองเข้ามาจนถึงเขตความรับผิดชอบของรีไว เดาจากนิสัยการจัดการคนร้ายตามประสาคนรู้จักกันมามากกว่าสิบปี...หัวหน้าทีมผู้เลือดเย็นคนนี้ไม่มีทางปิดคดีด้วยวิธีนุ่มนวล

แล้วผลก็สำเร็จอย่างที่เห็น ที่เมื่อวานมีเมล์เข้าทางโทรศัพท์ของเขา เป็นรายชื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขานี่ แต่ก็อย่างที่ว่า มันก็คงมีคนไม่สบอารมณ์กับวิธีการของเขาสักเท่าไหร่นัก

“ละครของนายสมจริงขึ้นทันใดตอนที่มีคนตายจริงๆเอลวิน...หวังว่าจะจ่ายค่าตัวให้งามๆหรอกนะ”

“ขอโทษ” เป็นคำพูดเดิมๆที่ได้ยินทุกครั้ง ไม่มีคำแก้ตัวที่มากน้อยไปกว่านั้น รีไวรู้ดี เอลวินพูดได้แค่นี้ รู้สึกผิดอยู่ลึกๆในความรู้สึก แต่ถึงกระนั้นหมอนี่ก็ไม่มีทางเลิก จะทำอะไรก็ต้องทำให้บรรลุเป้าหมาย อะไรที่เสียได้หมอนี่จะยอมเสียทุกอย่าง ซึ่งมันนับไม่ถ้วนตั้งแต่รับราชการมา โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจนักว่าหมอนี่ทนกับความสูญเสียได้ยังไง

หรือเป็นเพราะ คำนำหน้าของหมอนี่เป็น ผู้บัญชาการ กับเขาที่เป็น สิบตรี

อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้....

“ฉันเอารถมาสามคัน ให้ลูกน้องนายไปด้วยกันทั้งหมด ฉันจะให้คนไปส่งพวกเขาที่โรงแรมก่อน อีกคันจะขนส่งศพไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลที่ทีมนิติเวชของเราสังกัดอยู่ ส่วนนายไปกับฉัน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

“เรื่องจะคุย?

“ใช่” เอลวินยิ้มมุมปาก พยักพเยิดไปทางโลงศพข้างหลัง “อย่างน้อยๆก็ตอบคำถามว่าทำไมถึงให้นายลำบากขนศพข้ามประเทศมาด้วย”







เอเลนไม่ค่อยได้มาคณะเภสัชศาสตร์นัก ทั้งๆที่มันใกล้กับคณะแพทย์เพียงแค่นิดเดียว...

ถึงเขาจะมีพ่อเป็นหมอ แต่เขาก็เคยมีความเห็นคัดค้านกับค่านิยมสังคมว่าหมอเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง และไม่สุงสิงกับชาวบ้าน เพราะอย่างน้อยๆพ่อของเขาก็มีเพื่อน โดยที่เอเลนลืมคิดไปว่านั่นเป็นเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งจะมาเจอกันตอนเข้า C.S.I แต่ที่เด็กคณะอื่นจะมองพวกเขาเป็นอย่างนี้ก็ไม่แปลกอะไร ด้วยเนื้อหาการเรียนที่ไม่ปรานีสมอง และเพื่อนร่วมคณะแต่ละคนที่เหมือนเป็นเทพมากำเนิดทำให้หมอต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งอยู่หน้าเท็กซ์ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะพบปะเพื่อนคณะอื่นก็เลยลดลงไปโดยปริยาย แม้จะเป็นสายสุขภาพด้วยกันก็ตามที

ดังนั้นนั้นตอนนี้เอเลนก็ไม่ควรจะมาอยู่หน้าคณะเภสัชศาสตร์ เขาควรจะไปฝึกผ่าศพกับพ่อเตรียมการทดสอบจากทีมสืบสวนของผบ.เอลวิน แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะสัญญาของลูกผู้ชายมันค้ำกระเดือกเขาอยู่

เขามาที่นี่เพื่อขอเบอร์สาว...

เบอร์ของแอนนี่ เลออนฮาร์ทสาวฮ็อตแห่งเภสัช....

โอ้...พระเจ้า! เขายังรู้สึกว่าให้สอบเข้าหมอใหม่ มันยังจะง่ายกว่านี้อยู่หลายขุมเลย

“ให้ฉันไปขอให้ไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”

กี่ครั้งแล้วที่เอเลนต้องตอบแบบนี้กลับไปพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ ดูท่าว่าคนที่เครียดที่สุดจะไม่ใช่เขา แต่เป็นมิคาสะต่างหาก คือแม่คุณไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกบ้างเหรอที่ให้ผู้หญิงไปขอเบอร์ผู้หญิงถึงจะบอกว่าขอไปให้เพื่อนที่เป็นผู้ชายก็เถอะ แต่ยังไงก็ตามเอเลนก็ไม่คิดว่าคนอย่างแอนนี่ เลออนฮาร์ทจะยอมให้มาง่ายๆหรอก เพราะข่าวที่เอเลนได้มาคร่าวๆ ว่าที่หมอยาสาวคนนี้ไม่ได้มีดีแค่ความสวยเย็นชาและบุคลิกที่น่าค้นหาเท่านั้น

แต่เธอยังเก่งมากอีกด้วย...

ครบสูตรผู้หญิงติดท็อปสเปคสูงที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปแหยม  ไม่มีเพื่อนสนิทเป็นตัวเป็นตน เวลาว่างไม่อยู่ที่ห้องแล็ปเคมีก็ห้องสมุด ถึงตรงนี้เอเลนถึงกับเบะปาก เขาว่าเขาใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มกับวัยตัวเองแล้วนะ แต่มันก็เป็นเพราะงานเลยทำให้เขาต้องทำตัวแบบนี้ แต่กับคนที่ยังเป็นนักศึกษาธรรมดาๆอย่างแอนนี่มันออกจะดูเกินไปหน่อย ไม่รู้จะทำตัวไร้สีสันไปถึงไหน

เขาเช็คมาแล้ว เวลานี้เป็นเวลาว่างของแอนนี่ เลออนฮาร์ท และก็ไปเช็คตารางขอใช้ห้องแล็ปของนักศึกษาแล้วด้วย ไม่ปรากฏชื่อการจองของสาวเจ้า ฉะนั้นก็ต้องอยู่ที่ห้องสมุดอย่างไม่มีทางสงสัย และด้วยนิสัยรักสันโดษนั่น เจ้าหล่อนน่าจะนั่งอยู่ในห้องค้นคว้าส่วนบุคคล

ก็ดี จะได้คุยได้อย่างเต็มที่ เพราะเขาว่าเขาไม่มีทางเอ่ยสองสามประโยคแล้วแม่คุณจะโยนเบอร์ตัวเองมาให้แน่ๆ

ว่าแล้วก็ถอนหายใจ หันไปบอกกับหญิงสาวข้างตัว

“เธอจะไปที่สำนักงานก่อนก็ได้นะ มันไม่มีทางใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเหมือนเคสคริสต้าแน่ๆ”

“ไม่ ฉันจะรอ ฉันไม่ปล่อยให้เอเลนเผชิญอันตรายคนเดียวแน่”

อันตรายตรงไหนไม่ทราบ!?

มั่นใจว่าเถียงไปคงต่อความยาวแน่ เอเลนเลือกที่จะส่ายหัวแล้วตบแก้มตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติอย่างที่เคยทำ แล้วเดินเข้าห้องสมุดไป ความเย็นของเครื่องปรับอากาศ กับความเงียบบอกเป็นเอกลักษณ์ เอเลนไปหยุดอยู่ที่จอทัชสกรีนขนาดย่อมแล้วดูข้อมูลการจองห้องส่วนตัว

แล้วเป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด มีห้องหนึ่งถูกจองโดยคนๆเดียวมาตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว ชื่อพร้อมรหัสนักศึกษาก็เป็นของเป้าหมายเขา

ร่างบางของเด็กหนุ่มเดินฝ่าโต๊ะและชั้นหนังสือสูงและแน่นอนว่าฝ่าสายตาของเด็กเภสัชด้วย และมันก็บอกว่าประหลาดใจ ทึ่ง สงสัย มีบางคนที่มองมาด้วยความชื่นชม แต่บางคนก็จับจ้องเขาเสียจนน่าขนลุก เอเลนรู้สึกประดักประเดิดนิดหน่อย คือเขาอยู่แต่คณะตัวเองเขาก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมคนที่นี่ถึงทำหน้าเหมือนรู้จักเขาได้ ไม่ได้ใส่แว่น ไม่ได้ถือเท็กซ์หรือใส่เสื้อกาวน์ที่มา ยังได้ยินคำว่า “นั่นเอเลน คณะแพทย์” แว่วเข้าหูเบาๆ

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเพราะความอึดอัด เหมือนเขาจะอยู่ในหลืบมากเกินไปจริงๆถึงไม่ชินกับการตกเป็นเป้าสายตา ก็หวังว่าไอ้อาการแบบนี้มันจะไม่ให้เขาชันสูตรศพผิดต่อหน้าทีมสืบสวนจากอังกฤษ ไม่งั้นคนที่เสียหน้ามันไม่ใช่แค่เขาแน่...ทีมตำรวจสากลของเบอร์ลินทั้งสำนักเลย!

ดวงตาสีมรกตรีบกลอกหาหมายเลขห้องเป้าหมาย ก่อนจะสะดุดอยู่ที่ห้องสุดทางเดินที่ดูจะห่างไกลจากความวุ่นวาย ประตูเป็นกระจกลงทรายให้เห็นข้างในเพียงมัวๆ แต่ข้างในก็มีคนนั่งอยู่ เอเลนยกมือขึ้นแล้วเคาะเบาๆสองสามครั้ง ก่อนที่จะถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป ภาพข้างในไม่ต่างจากที่มองเห็นข้างนอก หญิงสาวร่างเล็กทว่ารูปร่างสมส่วนกำลังนั่งอยู่กับหนังสือสามสี่เล่ม แต่แต่ละเล่มก็หนาไม่แพ้หนังสืออนาโตมีที่เขาชอบพกไปมา ดวงตาสีฟ้าจางไม่สนใจเขาที่เข้าบุกรุก แต่ยังคงจ้องอยู่กับตัวหนังสือตรงหน้า ถึงตรงนี้เอเลนรู้สึกว่ากำลังสวมบทบาทเป็นพ่อของมิคาสะเมื่อวานเลย

ขืนยืนอยู่ตรงนี้แล้วเรียกเก้ๆกังๆ คงไม่มีทางดึงแอนนี่ออกมาจากโลกส่วนตัวแน่ๆ

ว่าแล้วขายาวก็ก้าวจ้ำเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เพ่งมองไปยังเนื้อหาที่แอนนี่อ่านอยู่ เขาจับหัวเรื่องที่มันเน้นเป็นตัวหนาได้ว่า ปัญหาเกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยมีตัวหนาในเนื้อความอีกเป็น “เส้นเลือดดำที่ขาหนีบ (Femoral vein)” “เส้นเลือดที่คอ (Neck vein)” แล้วสุดท้ายก็ “แอลกอฮอล์”

อ่า...โอเค...

“การตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ควรเจาะเลือดจากหัวใจ เพราะแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารอาจซึมโดยตรงไปสู่หัวใจได้ ทำให้ระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่าความเป็นจริง ดังนั้นควรเจาะจากหลอดเลือดดำที่ขาหนีบ หรือเส้นเลือดที่หลังคอ...แน่นอนว่าเลือดที่ออกจากช่องต่างๆก็ถือเป็นข้อยกเว้น นี่คือวิธีเก็บเลือดในฐานะวัตถุพยานเกี่ยวกับการตายจากสารพิษ...” เด็กหนุ่มขยับมุมปากเป็นรอยยิ้ม ต่อด้วยคำสำทับหนักๆว่า...

“...อย่างง่าย”

ได้ผลทันตาเห็น ดวงตาสีฟ้าตวัดมองเขาแทบจะทันที ความเย็นชานั้นถูกแทนที่นิดๆด้วยความไม่สบอารมณ์ หนึ่งคือโดนขัดจังหวะการอ่านหนังสือเรื่องโปรด และสองก็คงเป็นเพราะเจ้าหนังสือที่ตัวเองสนใจนั่นโดนปรามาสว่ามันเป็นเรื่อง อย่างง่าย

“เอ่อ...ขอโทษที่ใช้คำผิด พอดีภาษาอังกฤษมันแปลได้หลายแบบน่ะ บางที Basic มันอาจจะแปลว่า พื้นฐานก็ได้ ไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าเรื่องที่เธออ่านอยู่มันง่ายหรอกนะ” เด็กหนุ่มแก้ตัวยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเป็นมารยาท “สวัสดี”

แอนนี่มุ่นหัวคิ้วนิดหน่อย ไม่สนใจมือบางที่รอการเชื่อมไมตรีตรงหน้า แต่กลับว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันไม่คิดว่าคำว่า พื้นฐานมันจะต่างจากคำว่า อย่างง่ายตรงไหน”

“ต่างสิ เพราะบางทีพื้นฐานมันก็ไม่ง่าย พวกรุ่นพี่บอกว่าเนื้อหาพื้นฐานที่เรียนตอนปีหนึ่งนี่แหล่ะที่เก็บเกรดได้หมูที่สุดแล้ว อาฮะ...หมู! หมูมาก เกรดเป็นเลขอ้วนๆกลมๆเหมือนหมูเปี๊ยบเลย”

หญิงสาวอึ้งไปนิดแล้วหัวเราะหึออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่จะยื่นมือไปสัมผัสกับเด็กหนุ่มเพียงชั่วครู่ เธอไม่รู้ว่าเขามาหาเธอทำไม แต่ที่แน่ๆคือหมอนี่ทำให้เธอสนใจได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีที่เจอกัน อย่างน้อยๆหมอนี่ก็มีวิธีที่จะดึงเธอออกมาจากหน้าหนังสืออย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน แถมวิธีการก็เรียกได้ว่า ถ้าใจไม่ถึง คงไม่กล้า

“เป็นคนแปลกอย่างที่เขาร่ำลือกันจริงๆด้วยสินะ เอเลน เยเกอร์”

“รู้จักฉันด้วย?” เอเลนนั่งลงกับเก้าอี้ตัวตรงข้าม ตวัดหางเสียงขึ้นสูงอย่างไม่ตั้งใจ “ได้ไงอ่ะ?

“นายป๊อบไม่เบาหรอกนะ กระบวนวิชาเรียนรวมคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง วิชาชีวเคมีทั้งแล็บทั้งเลคเชอร์ก็ด้วยนี่  คนในคณะฉันเค้าก็ลือกันว่านายน่ะมันไม่ใช่คน ดีนะที่มันเก็บคะแนนแบบอิงเกณฑ์ เพราะถ้าแบบอิงกลุ่มล่ะก็ นายคงโดนพวกใต้ Mean รุมกระทืบ แต่...มันก็มีบางพวกที่รอรุมทำอย่างอื่นอยู่ด้วยนะ”

“หา?

แอนนี่ยิ้มมุมปาก ดวงตาคู่เย็นชาไล่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งหัวจนถึงช่วงตัว

“ตาโต หน้าหวาน ไหล่มน ตัวเล็ก ถึงจะมีแบ็คกราวน์เป็นเด็กหัวกะทิ แต่นายก็ไม่ได้เนิร์ด ฐานะก็ดี อนาคตสดใสว่าที่คุณหมอ แบบนี้น่ะเป็นที่ต้องการของตลาด มีคนจ้องจะงาบนายอยู่ไม่น้อยหรอก” ได้ฟังคำอธิบายแล้วเอเลนถึงกับหลุดสีหน้าปั้นยาก แอนนี่ยิ้มนิด แล้วว่าต่ออย่างสบายๆ

“แต่คงต้องรอมิคาสะ แอ็คเคอร์แมนเผลอซะก่อน...หึๆ น่าสงสารพวกนั้นชะมัด คงได้แต่นั่งมองนายแล้วก็ฝันกลางวัน”

“อ่า...เธอรู้จักฉันเยอะจริงๆ” เอเลนยิ้มแห้งๆรับคำ ความจริงอยากบอกว่ารู้จักมากเกินไปด้วยซ้ำ ขนาดเขายังไม่รู้เลยนะว่าตัวเอง น่างาบขนาดนั้นน่ะ

“ความจริงฉันรู้อีกนิดหน่อยด้วยนะ ว่าความสนใจของนาย มันไม่เหมือนกับคนทั่วไป” แอนนี่พยักเพยิดไปที่หนังสือข้างหน้า “เรื่องพรรค์นี้ อย่าบอกนะว่าหลักสูตรแพทย์ปีหนึ่งเขามีสอนน่ะ”

เอเลนหัวเราะเหอะๆในใจ เผลอมองหนังสืออีกสองสามเล่มข้างตัวหญิงสาว หน้าปกดำปึ้ดกับรูปขวดยาแปลกๆแถมสัญลักษณ์หัวกะโหลกเต็มตา ชัดเจนเลย...ยาพิษ สารเคมีที่เป็นอันตรายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ตลอดจนการชันสูตรแบบละเอียดยิบ ไอ้เรื่องแบบนี้เภสัชก็ไม่มีสอนเหมือนกันนั่นแหล่ะ

เขาไม่รู้หรอกนะว่านี่มันบังเอิญหรืออะไร แต่ดูเหมือนว่าแอนนี่ เลออนฮาร์ทจะมีความสนใจในด้านนิติพิษวิทยาอยู่ไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้นเราก็มีความสนใจในเรื่องใกล้เคียงกัน นับว่าฉันคิดไม่ผิดที่เดินเข้ามาหาเธอนะ แอนนี่”

“การที่นายบุกรุกห้องค้นคว้าส่วนตัวฉัน จะบอกว่าต้องการเพื่อนคุยว่างั้นสิ?

“ก็นะ” เด็กหนุ่มไหวไหล่ ยิ้มสบายๆ “เธอก็รู้ว่าคนที่สนใจเรื่องเดียวกันมันหายากนี่นา เธอก็คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยถ้าฉันอยากจะมาทำความรู้จักกับเธอเพราะอยากแลกเปลี่ยนความรู้”

แอนนี่อึ้งไปนิดหน่อย ตอนแรกเธอก็แค่ถามไปไม่จริงจังเท่านั้นแต่ก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะยอมรับง่ายดายขนาดนี้ แถมเธอยังสัมผัสได้ถึงความซื่อนิดๆที่มันผ่านมาทางแววตาและน้ำเสียงด้วย...ซึ่งแอนนี่สรุปว่ามันคงเป็นนิสัยส่วนตัวของเอเลน...เข้าถึงได้ง่าย แต่เข้าใจได้ยาก

อีกอย่าง ไอ้ประโยคเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยได้ยิน มีผู้ชายคนอื่นเคยมาพูดแบบนี้กับเธอเหมือนกัน แต่ประเด็นหลักก็รู้ได้ชัดว่าต้องการมาเทียวไล้เทียวขื่อ ซึ่งมันต่างจากเอเลน หมอนี่ไม่คิดจะจีบเธอหรอก ความจริงดูจะท่าทางแล้ว...จีบใครไม่เป็นด้วยซ้ำ

“ก็ได้” หญิงสาวว่าขึ้นในที่สุดพร้อมๆกับที่เอเลนยิ้มกว้างออกมา แต่แอนนี่ไม่รอให้เด็กหนุ่มวางตัวสบายนัก เธอยิงคำถามเรียบๆ

“ทำไมนายถึงสนใจนิติเวชศาสตร์”

“พ่อฉันเป็นหมอนิติเวช” เอเลนตอบสั้นๆ

“แค่นั้นเหรอ”

“อืม”

ไม่น่าเชื่อ คำนี้ แอนนี่ต่อเองในใจทันทีที่เอเลนพูดจบ สายตาสีฟ้าจางส่อแววเคลือบแคลง เด็กหนุ่มร่างบางยิ้มออกมาแห้งๆ แล้วเอ่ยเหตุผลออกไป

“ก็บางทีสิ่งที่เราสนใจมันก็มาจากเรื่องใกล้ตัว บางคนคงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อที่จะต้องเจอทุกๆวัน แต่บางคนก็มองว่ามันเป็นเป้าหมายว่าสักวันหนึ่ง เราต้องไปยืนอยู่จุดๆนั้นให้ได้ ซึ่งสำหรับฉันแล้วการล้วงความลับจากร่างกายมนุษย์เย็นๆแล้วช่วยให้คดีมันถูกพิสูจน์ความจริงแม้เพียงเศษเสี้ยวเป็นสิ่งที่ฉันอยากทำ...จากที่ฉันสังเกตพ่อมาตลอด เขาก็ไม่ได้สนุกสนานที่ต้องเอาร่างคนตายมาชำแหละ แต่อย่างน้อยสีหน้าเขาก็มีภาคภูมิใจตอนที่คนร้ายถูกตัดสินโทษอย่างยุติธรรม”

ดวงตาสีเขียวคู่โตจ้องใบหน้าหญิงสาวกลับอย่างแน่วแน่ ความเงียบกินเวลาชั่วอึดใจจนกระทั่งแอนนี่เป็นฝ่ายกลอกตาหลบไปก่อนเป็นสัญญาณว่าเธอคลายความสงสัยในใจไปได้บ้าง เธอคว้าหนังสือข้างตัวมาไว้ตรงหน้า ดวงตาจ้องมันนิ่งแล้วว่าขึ้นบ้าง

“พ่อฉันก็เป็นเภสัช แต่ท่านชอบพูดเสมอว่าโลกของเรามีอยู่สองด้าน ยาคือสารที่สังเคราะห์ขึ้นทั้งกระบวนการทางธรรมชาติและทางเคมีเพื่อรักษาสิ่งมีชีวิตจากพยาธิสภาพ  แต่ก็มียาที่ทำให้ตายได้เหมือนกัน ซึ่งคนที่ประดิษฐ์มันขึ้นมา ส่วนมากก็มาจากผู้ที่มีความรู้ด้านเภสัชวิทยา...”

ดวงตาสีฟ้าจางอ่านยากเหลือบขึ้นมองเด็กหนุ่ม ขยับยิ้มเย็นชา แล้วใช้นิ้วลูบไปตามตัวอักษรว่า Toxic ช้าๆ

“ยาช่วยฟื้นชีวิตคนไม่ได้ แต่กลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนได้ ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่เลย นายว่าไหม”

เอเลนยิ้มแห้ง ฟังคนตรงหน้าพูดแล้วเขาไม่รู้จะต่อว่ายังไง บรรยากาศเริ่มจะกรุ่นกลิ่นปลงโลกแบบนี้เขาไม่ถนัดเอาซะเลย ตอนแรกที่เขาคิดไว้ แอนนี่คงจะเป็นพวกคลั่งวิทยาศาสตร์จ๋าจนไม่สนเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ซะอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะตอบกลับไปว่าโลกเรามันไม่มีอะไรเที่ยงตรงหรอก แกนโลกยังเอียงเลย อะไรทำนองนั้น แต่นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่

ยัยนี่ก็ยังมีความเป็นคนธรรมดาที่ยังรู้สึกว่า โลกนี้ยังมีความแตกต่าง...

รู้ว่าตัวเองไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ไปหมดซะทุกอย่าง....

“เธอพูดถูก” เด็กหนุ่มว่าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “เมื่อตายแล้ว ทุกอย่างก็จบ หมอเองก็ช่วยชีวิตคนตายไม่ได้ บางทีรู้ว่าเขาจะไม่รอดตั้งแต่ยังไม่รักษาด้วยซ้ำ การที่หมอเดินออกมาแล้วบอกญาติคนไข้ว่า เสียใจด้วยครับ นั่นน่ะ ญาติคนไข้อาจรู้สึกว่าหมอปัดความรับผิดชอบ นั่นก็จริง...เราต้องตัดขาดความรู้สึกผิดหรือเศร้าใจทั้งหมด ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถทำงานต่อได้...นี่แหล่ะคือความไม่แฟร์อย่างแรก ญาติเขาเสียใจแทบตาย แต่เราทำได้เพียงตีสีหน้านิ่งๆแล้วเดินกลับเข้าห้องตรวจไปเหมือนเดิม”

“นั่นคือสิ่งที่นายยอมรับได้?

“ไม่ได้หรอก” เอเลนรับเสียงเบาโดยใช้เวลาไม่นานนัก ถึงเขายังไม่ได้เป็นหมอเต็มตัว แต่เขารู้ตัวเองดี เด็กหนุ่มร่างบางถอนหายใจ แล้วสบตากับหญิงสาวตรงหน้าใหม่ คราวนี้ไม่ใช่ความมุ่งมั่นจริงจัง แต่มันคือประกายของความใสซื่ออย่างที่แอนนี่ต้องถึงกับนิ่งอึ้งไป

            “แต่มันมีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้เรายอมรับมันได้ หมอฟื้นคืนชีวิตคนตายไม่ได้ก็จริง แต่เราก็สามารถหาสาเหตุการตายของเขาได้ด้วยวิธีการทางการแพทย์ที่เรียนมา จนท้ายที่สุดเมื่อเราค้นหาจนอย่างสุดความสามารถแล้ว เราก็จะพบกับคำตอบ...คำตอบที่เป็นความจริงว่าทำไมเขาถึงตาย...”

            “...”

            “ความจริงมันโหดร้าย แต่ก็เป็นเหตุเป็นผลเสมอ เรื่องที่เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมนั่นก็ฉันก็ว่าจริง แต่มันก็มีเหตุผลตามธรรมชาติของมันเหมือนกัน”

            หญิงสาวจากคณะเภสัชเงียบไป เธอกำลังพิจารณาเพื่อนร่วมรุ่นนิสัยประหลาดจากคณะแพทย์อย่างมีสมาธิ ในขณะเดียวกันคำพูดที่แสนจะตรงไปตรงมาก็ยังคงดังอยู่ในหูของเธอ และดูเหมือนว่ามันจะหลอกหลอนจนจำได้ไปอีกนาน

            ความจริงมันโหดร้าย...แต่ก็เป็นเหตุเป็นผลเสมออย่างนั้นเหรอ


            ช่างเป็นตรรกะที่น่าอิจฉา...


            “นายนี่มันเป็นคนแปลกจริงๆด้วย” เอเลนหัวเราะแหะๆ ลอบกลอกตาขึ้นฟ้ากับคำชมไม่ใช่คำด่าไม่เชิงนั่น แอนนี่ยิ้มนิดๆ แล้วว่าต่อ “แต่การที่ฉันรู้สึกเห็นดีเห็นงามกับคนแปลกๆอย่างนาย ก็คงจะต้องยอมรับว่าตัวเองก็คงประหลาดไม่น้อยนักหรอก จะยอมเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”

            โห เยี่ยมเลยแม่คุณ!

            ณ วินาทีนี้เอเลนรู้สึกเหมือนตัวเบาเหมือนจะลอยได้อยู่แล้ว ความเกร็งที่มีมาแต่แรกเบาลงไปโข ความจริงเขาเกือบร้องโหออกไปจริงๆกับประโยคสุดท้ายของสาวเจ้า นี่คือคำพูดขอเป็นเพื่อนใช่ไหม

            นายหาเพื่อนใหม่ให้ฉันได้อย่างแจ่มเลย แจน กิลชูไตน์

            “ดีใจที่ได้คุยกับเธอนะ แอนนี่ จะดีมากเลยถ้าเราจะได้คุยกันบ่อยๆ แต่น่าเสียดายที่เราแทบไม่ได้เรียนเซคเดียวกันเลย แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะมาห้องสมุดนี้อีกเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าเก็บนี่ไว้ละกันนะ” เอเลนยื่นกระดาษแข็งใบเล็กๆให้ไป “ติดต่อมาละกัน อย่างน้อยถ้าเธอรู้สึกว่าอยากได้เพื่อนนิสัยแปลกๆไว้ปรึกษากับหนังสือนิติพิษวิทยา Edition ใหม่”

            “จะติดต่อกับนาย มีแค่ต้องโทรไป?” หญิงสาวถามพร้อมพลิกบัตรไปมา เมื่อเห็นว่านอกจากชื่อสกุลแล้ว ในบัตรก็ระบุเพียงหมายเลขโทรศัพท์เท่านั้น

            “สะดวกและรวดเร็วที่สุดน่ะ อีกอย่างก็เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของเธอ”

            “ของฉัน?” หญิงสาวทวน เอเลนพยักหน้า

            “อ่าฮะ ในขณะที่เธอบอกว่าฉันป๊อบ ฉันก็จะบอกว่าเธอฮ็อตไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ถ้าเราติดต่อกันทางโซเชียล มีหวังเพื่อนฉันรู้ก็ได้ตามมาเค้นเรื่องเธอกับฉันพอดี แบบนั้นไม่โอเคใช่หรือเปล่าล่ะ”

            แอนนี่เงียบไป เอเลนยิ้มมุมปากนิดๆ แสดงว่าเขาตีตรงจุดคนรักความโดดเดี่ยวเข้าอย่างจัง

            “รับประกันว่าการที่เธอมีฉันเป็นเพื่อน จะไม่รบกวนความสงบส่วนตัวของเธออย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็มีเรื่องจะขอ ถือเป็นการแลกเปลี่ยน”

            “นายจะขออะไร”

            “เอ่อ...ก็แบบว่า เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าฉันเป็นคนฮ็อตน่างาบอะไรพวกนั้น...ก็กลัวอยู่อ่ะนะ” เอเลนลูบท้ายทอยตัวเอง รู้สึกเก้ๆกังๆไม่น้อยกับเรื่องที่ตัวเองเป็นที่ต้องการของตลาดโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง “ความจริงก็เคยมีเบอร์แปลกๆโทรมาบ้างหรอก แต่ก่อนที่ฉันจะรับ ยัยมิคาสะจะชอบคว้าไปก่อนทุกที เพราะงั้นฉันก็เลยจะพยายามเมมเบอร์เพื่อนของฉันทุกคน ยังไงก็ลองโทรเข้าเครื่องฉันตอนนี้เลยก็ได้นะ”

            หญิงสาวเลิกคิ้วนิดๆ รู้สึกตงิดใจไม่น้อยกับคำพูดของเอเลน ไม่ใช่ว่าเธอจะตามเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ทัน การที่เอเลนทำแบบนี้ก็เพื่อบันทึกเบอร์โทรของเธอ คนที่เล่นมุกนี้ก็เคยมีมา แล้วโดนเธอไล่ตะเพิดตั้งแต่มันหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้ว แต่เอเลน เยเกอร์คนนี้มาต่างจากคนอื่น ดวงตาสีเขียวสดใสเป็นประกายชวนขนลุก สัมผัสได้นิดๆว่ามันเป็นในแง่ของการต่อรอง

            หมอนี่ไม่ได้ขอ ไม่ได้มาหลอกถามหรือใช้เล่ห์เพทุบายอะไรทั้งนั้น ก็พูดชัดๆออกมาแล้ว

แลกเปลี่ยน’      

แลกเปลี่ยนการทำหน้าที่รักษาโลกส่วนตัวของกันและกัน เขาบอกจะปกป้องเธอ ส่วนตัวเธอเองก็ต้องปกป้องเขาด้วย จะหาข้อบ่ายเบี่ยงก็ไม่ทันแล้วในเมื่อเจ้าเด็กจากคณะแพทย์ตรงหน้าดันอ้างคำพูดของเธอมาเป็นเหตุผลว่าเจ้าตัวเป็นที่หมายปองขนาดไหน

เอเลนไม่สนใจว่าเธอจะตามเขาทันไหม แต่ทำอย่างไรให้บีบเธอตอบตกลง นั่นแหล่ะประเด็น

ฉลาดเล่น....     

แอนนี่แอนนี่หัวเราะหึในลำคอก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา มองตัวเลขในบัตรสลับกับหน้าจอ ส่วนมือก็พิมพ์ไปเรื่อยๆ เอเลนหัวใจเต้นระทึก พยายามสุดชีวิตที่จะไม่จ้องจนเป็นที่สงสัย ได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองแล้วบอกให้ใจเย็นๆเข้าไว้ นายมาไกลแล้วเอเลน เยเกอร์ อีกนิดเดียวเอง

            และท้ายที่สุดโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น พร้อมกับคำพูดของคนตรงข้าม

            “นั่นเบอร์ฉัน”

            บิงโก....








           
            สำนักงานกลาง องค์การตำรวจสากลเบอร์ลิน

            “สรุปตอนนี้เราต้องได้รับการยืนยันสถานการณ์มีชีวิตของนายตำรวจที่ชื่อไนล์?”ร่างแข็งแกร่งนั่งไขว่ห้างอยู่ในห้องส่วนตัวของผบ.ใหญ่เจ้าถิ่น นิ้วทั้งห้าจับรอบปากแก้วน้ำชายกขึ้นจิบ ดวงตาคมละจากเอกสารรายงานผลชันสูตรพลิกศพเอียน ดิทริชแล้วมองเพื่อนต่างยศตรงหน้า

เอลวินพยักหน้าตอบแต่รีไวมองออกว่าสมาธิของหัวหน้าเขาไม่ได้จดจ่อกับรูปคดีที่เอาให้เขาศึกษานัก เหมือนหมอนี่จะสนใจกับไอ้ปึกกระดาษในมือเขามากกว่า

“นายต้องการให้ฉันพูดอะไรเกี่ยวกับรายงานนี่หรือเปล่า”

“นายคิดว่าไงล่ะ” น้ำเสียงของเอลวินฟังติดเลศนัยจนรีไวต้องขมวดคิ้วแล้วหลุบสายตาลงมองผลชันสูตรอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้ ตั้งแต่รับราชการมา เขาอ่านของพวกนี้มาจนชำนาญ แม้เค้าโครงเนื้อหาจะคล้ายๆกัน แต่เอกลักษณ์การเขียนก็แตกต่างกันไปแล้วแต่ทีม เพราะฉะนั้นเขาจึงจำสไตล์การเขียนรายงานของทีมนิติเวชทุกที่ที่เขาไปปฏิบัติหน้าที่ อย่างที่เบอร์ลินนี้ เขาก็จำได้ขึ้นใจ

“ต่างจากรายงานของนายแพทย์คริชา เยเกอร์ที่ฉันเคยอ่านเมื่อสองปีก่อน”

“งั้นหรอ แล้วดีกว่าหรือแย่กว่าล่ะ”

“สรุปนายมีอะไรกันแน่ เอลวิน”

มันแทบจะหาไม่ได้เลยที่ผบ.ผู้เก็บอารมณ์ดีเยี่ยมแม้แต่เขาเองยังเชื่อถือจะแสดงอาการระริกระรี้จนเห็นได้ชัด ร่างแข็งแกร่งสังเกตเห็นดวงตาสีฟ้าจางนั้นมีประกายขบขันขึ้นมาจางๆ เอลวินยิ้มมุมปากแล้วทั้งหมดนั้นหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับคำพูดตัดบทสั้นๆว่า

“ก็เปล่า”

ของดี มันต้องเก็บไว้ตอนท้าย ยั่วให้รีไวอยากรู้มากๆนี่แหล่ะถึงจะคุ้มค่ากับเพชรเม็ดงามในเงาแห่ง C.S.I

ดวงหน้าคมถึงกับตึงไปนิดๆ รู้ว่าตัวเองกำลังถูกเล่นแง่ แต่ผบ.แห่งเบอร์ลินไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับความไม่สบอารมณ์ที่ส่งมาโดยตรง ย้อนกลับไปเรื่องงานได้อย่างหน้าตาเฉย

“ตอนนี้เราสันนิษฐานได้สามกรณีจากคำให้การของตำรวจท้องถิ่นเดรสเดิน เรียงจากกรณีที่ดีที่สุดคือนายตำรวจไนล์ได้ถูกฆ่าจนเสียชีวิตไปแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน ก่อนที่พันตรีเอียนจะถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ หากเป็นกรณีนี้มันแค่ต้องการที่จะขู่เราเท่านั้น กรณีต่อมาเพิ่มความเลวร้ายคือนายตำรวจไนล์ถูกจับเป็นตัวประกันแล้วพวกมันปลอมตัวมาแทนจนกระทั่งสังหารพันตรีเอียนได้สำเร็จ กลับไปพร้อมกับแฟ้มข้อมูลของเรา แล้วบังคับให้ไนล์คายข้อมูลของเราจนหมดเปลือก อันนี้ก็คงต้องดูว่าไนล์จะรักเกียรติของตำรวจยอมปิดปากจนตัวตายหรือเปล่า”

ดวงตาคมหรี่ลง สัณนิษฐานต่อเรียบๆ

            “แล้วกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือไนล์เป็นพวกอาร์นันโดตั้งแต่แรก พวกมันมีความสามารถพอที่จะปลอมแปลงเอกสารเปลี่ยนอาชญากรให้กลายเป็นตำรวจสากล แฝงตัวเข้ามาในฝ่ายเราอย่างเนียนๆไม่มีใครจับได้เป็นอาทิตย์ หรือดีไม่ดีมีคนจากฝ่ายเราซับพอร์ตด้วยงั้นสินะ”

            “ถูกแล้ว”

            รีไวแค่นหัวเราะในลำคอ ความรู้สึกสังเวชใจมันตีตื้นขึ้นมาหน่อยๆจากการเรียงลำดับความอันตรายของเคสเอลวิน ยังไงการตายก็ยังดีกว่าการที่ข้อมูลรั่วไหลอยู่วันยังค่ำ

            “แต่ไม่ว่ายังไงก็มีกรณีที่ไนล์มีสิทธิ์กลายเป็นศพตั้งสองกรณี ฉันมั่นใจว่าริโค่กับนานาบะจะยืนยันให้เราได้ภายในสามวันนี้ แล้วเราจะเริ่มตามรอยพวกมันกันอย่างจริงจังสักที”

            “ตามรอยจากคนตาย นั่นคือสิ่งที่นายต้องการจะสื่อใช่ไหม” สิบตรีจากอังกฤษตีความหมาย ดวงตาคู่คมยังคงฉาบไปด้วยความเคร่งเครียด “ถึงยัยฮันซี่จะสังกัด C.S.I. แต่พอเป็นศพก็ไม่เอาอ่าว ไม่มีทางที่ผบ.พิคซิสจะไม่รู้เรื่องนี้ นายได้ไปพูดอะไรกับหัวหน้าฉันไว้อีก เอลวิน?

            คนถูกถามเอนพิงกับพนักด้วยท่าทีสบายๆ ดวงตาสีฟ้าจางวนกลับไปมองรายงานการชันสูตรอีกครั้ง คิดถึงคนพิมพ์มันแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้

            “ก็บอกท่านพิคซิสไปนิดหน่อยว่าไม่ต้องให้นิติเวชติดตามนายมาแม้แต่คนเดียว ทางเบอร์ลินจะจัดหาให้”

            “ฉันไม่เถียงว่าหมอคริชามีฝีมือดี แต่ด้วยอายุเขาไม่เหมาะกับงานภาคสนาม พูดตรงๆว่าฉันไม่มีเวลามาดูแลใครหรอกนะ”

            ฟังคำปฏิเสธดักคอแล้วผบ.แห่งเบอร์ลินก็ส่ายหน้าช้าๆ

            “เปล่า คราวนี้คนใหม่”

            “เสียใจ ฉันไม่ต้องการมือสมัครเล่น”

            “กะแล้วว่านายต้องพูดแบบนี้” เอลวินรับอย่างใจเย็น มันเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด “แต่นายก็คงไม่มีอคติจนกระทั่งไม่ให้โอกาสหนุ่มสาวไฟแรงหรอกนะ ฉันนัดให้เขามาพิสูจน์ฝีมือต่อหน้าพวกนายทั้งทีมห้าโมงเย็นพรุ่งนี้ ว่างใช่หรือเปล่าล่ะ”

            เจ้าของร่างแข็งแกร่งขนาดหนึ่งรอยหกเซนติเมตรไม่ต่อปากต่อคำ มีเพียงความประหลาดใจที่มันทบทวีแล้วนึกอยากพบหน้าเจ้าคนที่เอลวินถึงกับไปทาบทามมาตงิดๆ เขารู้นิสัยเพื่อนต่างยศคนนี้ดีพอๆกับที่มันรู้ไต๋เขา เรื่องเดียวที่เอลวินให้ความสำคัญก็คืองาน การจัดคนให้เหมาะกับงาน ทำทุกอย่างเพื่อให้มันสำเร็จคือสิ่งที่หมอนี่ถนัด ซึ่งเขาก็ไม่เถียงว่าทุกครั้งที่มาร่วมงานกับเบอร์ลิน เขารู้สึกว่าดำเนินคดีได้ราบรื่นมากกว่าที่อื่น

            แล้วแววตานั่นมันก็บอกชัดว่าคนที่เลือกมา เหมาะกับเขายิ่งกว่าใคร...

            “ตอนนี้ฉันเป็นลูกน้องนาย จะเชื่อในสิ่งที่นายตัดสินใจก็แล้วกัน”

            คำขอบคุณเบาๆดังมาจากอีกฝ่ายพร้อมๆกับของสิ่งหนึ่งที่เลื่อนมาอยู่ตรงหน้า เป็นทึคั่นหนังสือทำจากเหล็กสีเงินวาว ตรงหัวของมันเกะเป็นตัวเด็กผู้ชายตัวเล็กๆในชุดกาวน์ของคุณหมอ มือเรียวแข็งแรงหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ ปลายนิ้วโป้งลูบสัมผัสกับตัวตุ๊กตา มีรอยขีดข่วนเล็กๆไปทั่วบอกว่าเจ้าของคงจะใช้มันอย่างสมบุกสมบัน

            “ของใคร?

            “คนที่นายจะไปเจอ...เพื่อนร่วมทีมคนใหม่” ผบ.แห่งเบอร์ลินตอบตรงๆ “ฉันไม่มีรูปเขา แต่ที่คั่นนั่นก็บอกถึงตัวตนของเขาได้ดี”

            นัยน์ตาสีขี้เถ้าเป็นประกายคมปลาบ ปลายนิ้วที่ลูบอยู่หยุดชะงักทันที เสียงทุ้มต่ำถามเย็นเยียบ

            “เด็กงั้นรึ?

            “สิบเก้า ไม่เด็กแล้ว” เอลวินเอ่ยแก้ “เอาไว้นายเจอเขาแล้วจะรู้เอง ว่ามีเรื่องที่เขาคล้ายนายยังกับแกะ อีกอย่างนายบอกว่านายไม่มีเวลามาดูแลใคร นายก็ไม่ต้องดูก็ได้ แต่ฉันมั่นใจอยู่อย่าง”

            “...”

            “ในอนาคตเขาจะกลายเป็นที่พึ่งของนาย รีไว”










            TBC...


มิยะขอเม้าท์

เดี๋ยว เดี๋ยวจ้า เตรียมใจแป๊บ
3
2
1
เอ็งหายไปไหนมา (วะ!!!!!!!) แบบ เอ่อ แบบ เรื่องเรียนรุมเร้าขนาดหนักจ้ะ ไม่ได้อู้เลย อยากแต่งให้ได้ทุกวัน แต่หนังสือก็จะกองทัพไอ้มิยะตายเอาทุกวันเหมือนกัน งืออออออ T_T ขออภัยมณีศรีอยุธยาอย่างยิ่งสำหรับคนเปิดเข้ามาแล้วปรากฏว่าไอ้มิยะมันดองเค็มจนหึ่งไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ ปิดเทอมแล้วววววววววววววววววววววววววว สองอาทิตย์ เอาเถอะๆๆ แค่นี้ก็ต่อลมหายใจได้นานแล้ว อ้าาาาา ลมหายใจเข้าาา ลมหายใจออก ดอกม้ายบานนนนนนนน เลิฟปิดเทอมมมมมมมมมมม >w<

แต่ยังไงก็ขออวยพรให้เจ้าของวันเกิดก่อน

"สุขสันต์วันเกิดนะคะ คุณรีไว"

มีความสุขมากๆๆๆ อายุเพิ่มแต่ขอให้หน้าเด็กลง ร่างกายแข็งแรงทนทาน ส่วนสูงไม่เพิ่มไม่เป็นไร อึด ถึก ทน ก็พอแล้ว ขุ่นมี้ไม่ขออะไรมากมาย แต่เอ็นดูลูกชายของขุ่นมี้ให้มากๆก็พอแล้ว อิอิอิ ขออภัยที่ต้องเป็นของขวัญกล่องเดียวกับหมาน่อยเอเลน แต่แหม...เป็นคนๆเดียวกัน ก็เอาเรื่องเดียวกันไปเถอะ เนอะๆๆๆๆ

ปิดเทอมนี้ตั้งใจจะกระเตื้องเรื่องนี้กับฮิมาวาริ และใกล้ๆกลางๆมกราเป็นฟิคสั้นสุดเซอร์ไพรซ์ 8059 สักเรื่องจ้ะ มาลุ้นกันว่าไอ้มิยะมันจะทำได้ไหม วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เจอกันเอนทรี่หน้าน้าาา

ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก (เหม็นเค็ม)

Miya


2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ25 มกราคม 2558 เวลา 03:01

    รออยู่นะค่ะ ดีใจมากที่อัพค่ะ น่าติดตามสุดๆ

    ตอบลบ
  2. จ้ะ ตะล่อมคนเก่งจริงนะหนูเอเลน แอนนี่อุตส่าห์ใจดีตามเกมให้ด้วย เจ้าม้าแจนจะกล้าโทรหามั้ยก็อีกเรื่องแล้วล่ะงานนี้

    ผมนี่นั่งลุ้นรอเวลาให้ทั้งสองคนได้เจอกันเร็วๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่รีไวซังที่ถูกท่านผบ.ยั่วให้อยากรู้ แต่ฝั่งนี้ก็โดนดาเมจด้วยเช่นกัน อื้อหือ.... ลูกล่อลูกชนแต่ละคน orz รอคอยครับ

    ตอบลบ