S.Au.Fic
Psycho-Pass [Kogami X Makishima] Yuki no Hana
Drama Action Deep
NC
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรี่นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
เมื่อดอกไม้นั้นผลิบานอย่างงดงามท่ามกลางละอองหิมะ
เป็นสีขาวบริสุทธิ์...
แต่สีขาวนั้น...เป็นสีของหิมะ...
หรือสีของดอกไม้
ถ้าหิมะละลายไป...
ดอกไม้นั้น...จะเป็นสีอะไร
โรเชสเตอร์
รัฐนิวยอร์ก ปี 2014
“กระสุนปืนแต่ละชนิดนั้นจะใช้กับปืนรุ่นแตกต่างกัน
9x19
MM PARABELLUM และ 9x19 MM LUGER จะใช้กับแฮนด์กันจำพวกเบเร็ตต้า
สมิธแอนด์เวสสัน กล็อค และCZ เป็นต้น ค่าแรงปะทะกระสุนต่ำ
หากแต่นั่นไม่เสมอไป มีค่าแรงของกระสุนที่ต่ำกว่านี้แต่ใช้ในการเจาะเกราะก็มี
แล้วแต่การใช้งาน”
เสียงอธิบายเนิบนาบของผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทดำยังคงดังต่อเนื่อง
ดวงตาของเขาอยู่ภายใต้แว่นสีดำหากแต่รู้สึกได้ว่าเขามองไปทั่วทั้งห้องสโลปขนาดย่อม
ในมือถือรีโมตสำหรับเลื่อนโปรเจคเตอร์ที่มีรูปสอดคล้องกับเนื้อหาที่เพิ่งอธิบายไป
มันอาจฟังเป็นเนื้อหาที่แปลกประหลาดและหาฟังยาก
ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เมื่อคนฟังแต่ละคนเป็นแค่เด็กอายุเฉลี่ยสิบสองปีทั้งสิ้น
มันคงเป็นภาพที่ดูบิดเบี้ยวและต้องการคำอธิบาย
หากแต่นี่คือชีวิตประจำวันของเด็กทุกคนที่นี่
ที่ต้องมาเรียนรู้เรื่องที่ผู้ใหญ่บางคนอาจจะยังไม่รู้
ได้ทำในสิ่งที่เด็กคนอื่นอาจจะไม่เคยทำ มันไม่ใช่หน้าที่ แต่คือข้อบังคับ
ที่นี่คือสถานที่พิเศษ...ที่มีเอาไว้สอนเด็กที่ถูกเลือกอย่างพิเศษ
เพื่อให้ได้กลายเป็นคนพิเศษ...
“คางาริ ชูเซย์”
เสียงเรียกเฉยชาทว่าดุดันดังขึ้นพร้อมกดปุ่มเลเซอร์แล้วยิงขึ้นไปบนโปรเจคเตอร์
“จากภาพที่เห็นจงบอกชื่อยี่ห้อพร้อมรุ่นของปืน อธิบายถึงกระสุนที่บรรจุคร่าวๆรวมถึงคุณสมบัติของมัน”
ความเงียบเข้ากลืนกินห้องกว้างในบัดดลเมื่อ‘คางาริ
ชูเซย์’ยังไม่ยอมลุกขึ้นยืนตอบคำถาม
เด็กชายผมสีดำที่นั่งอยู่ชั้นบนสุดตรงริมหน้าต่างลอบถอนหายใจ ดวงตาจับจ้องไปที่เด็กชายตัวเล็กผมสีน้ำตาลสว่างเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่เยื้องเขาไม่ไกล
เด็กคนนั้นนั่งก้มหน้างุด ตัวเริ่มสั่น และสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินเสียงฟันกระทบกันดังกึกๆ
เด็กคนนั้น
เพิ่งเข้ามาใหม่เมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วนามสกุลคางาริก็ดังไม่ใช่น้อยๆ
ในฐานะ...ครอบครัวที่ถูกมือปืนใช้แมชชีนกราดยิง
พ่อและแม่ของหมอนี่พบรอยกระสุนบนศพไม่ต่ำว่าสามสิบรอย
แต่เจ้าตัวไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำ ข่าวที่ออกมาบอกว่าไม่อยู่ระหว่างการเกิดเหตุ
“คางาริ!”
“G36K เป็นปืนแมชชีนน้ำหนักเบา” เด็กชายผมสีดำเชื้อสายญี่ปุ่นโพล่งขึ้นเสียงเรียบเรียกให้ทุกคนหันมามองทั้งห้อง
แต่เขาไม่สนใจ ดวงตาคู่คมอ่านยากจ้องไปที่ภาพหน้าจอโปรเจคเตอร์แล้วว่าต่อ
“ประเภทของกระสุนที่บรรจุคือ 5.56x45 MM NATO จำนวนสิบ
สามสิบ หรือร้อยนัดแล้วแต่รุ่น ฟังก์ชันพิเศษคือศูนย์เลเซอร์ ไฟฉาย กล้องซูม
เครื่องยิงระเบิด M203 อัตรายิงสูง
ศูนย์เล็งประณีตทว่าพลังทำลายมหาศาล หากอยู่ต่อหน้า G36Kแล้วรอดมาได้...ก็ถือว่าเป็นโชคดีของชีวิต...หากแต่อย่างไรก็ไม่โชคดีเท่ากับคนที่อยู่ต่อหน้าระเบิด”
ทั้งห้องเงียบกริบ
ไม่มีใครที่จะเข้าใจประโยคสุดท้าย แต่ถึงกระนั้นร่างกายของคางาริก็สงบลงอย่างน่าประหลาดดวงตาสีเทาละจากจอโปรเจคเตอร์แล้วจ้องกลับที่ครูผู้บรรยาย
“ถูกหรือเปล่าครับ...เทรนเนอร์”
“คำตอบยอดเยี่ยม
โคงามิ ชินยะ...แต่จะดีกว่านี้มากถ้าเธอรู้จักยกมือขอนุญาตก่อนตอบ”
เจ้าของชื่อโค้งศีรษะรับเล็กน้อย
แล้วแจงขึ้น “เมื่อเห็นถึงโอกาส ไม่จำเป็นต้องรอหรือบอกใคร
สุนัขที่คอยย่ำอยู่กับฝูงตลอดเวลาไม่อาจจับเหยื่อได้ ต้องกล้าที่จะแตกฝูงเพื่อให้งานประสบผลสำเร็จ
นี่คือคุณสมบัติที่เทรนเนอร์ต้องการให้พวกผมเป็นไม่ใช่หรือ”
“เธอเรียนรู้ได้ไวจริงๆ”
ชายสูทดำยิ้มรับ
ดวงตาภายใต้แว่นสีดำที่จ้องมายังเด็กชายมีประกายเป็นนัยยะอย่างรู้สึกได้ชัด
“เอาล่ะ มาฟังต่อ ลำดับต่อไปนอกจากชนิดของกระสุนที่เหมาะกับปืนแล้ว
สิ่งที่พวกเธอต้องเรียนรู้คือประเภทของหัวมันด้วย”
เนื้อหาของการเรียนวกกลับมาอีกครั้ง
โคงามิยกมือขึ้นเท้าคาง
ในมือหมุนปากกาแล้วเบือนหน้าไปทางหน้าต่างที่ถูกม่านสีน้ำเงินปิดเอาไว้จนเกือบมิด
พลันภาพที่เห็นได้จากช่องเล็กๆกลางม่านก็ทำให้ดวงตาคู่คมเบิกขึ้นเล็กน้อย
มือที่เท้าคางอยู่เลื่อนไปวางบนโต๊ะแล้วเจ้าตัวก็ยืดตัวตรงเพื่อมองให้ชัดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ตอนนี้เพิ่งจะกลางเดือนพฤศจิกายน
ไม่คิดเลยว่าจะมาเร็วขนาดนี้
ปลิวลงมาจากฟากฟ้า...เย็นเฉียบ
บางเบา และขาวบริสุทธิ์
หิมะแรก...ที่เขาตั้งตารอ...
เด็กชายออกมาจากห้องเรียนได้อย่างไม่ยากเย็น
รองเท้าหนังย่ำไปตามสนามหญ้าหลังอคาเดมีที่เริ่มมีน้ำแข็งเกาะประปราย
ใบหน้าเงยขึ้นรับเกล็ดหิมะบางๆที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าคนที่ไม่เคยตื่นเต้นกับอะไรอย่างเขา
ทำไมถึงได้อยากเห็นหิมะและสัมผัสมันใกล้ๆราวกับหลงใหลได้ขนาดนี้
ถ้าจะให้ทบทวนถึงเหตุผลจริงๆ มันอาจจะไม่ต่างกับกรณีคางาริสักเท่าไหร่
เด็กคนนั้นกลัวปืน...เพราะปืนพวกนั้นพรากพ่อกับแม่ไปจากเขา
ส่วนตัวเขาเองเกลียดไฟ...ไฟจากระเบิดพวกนั้นก็คร่าชีวิตครอบครัวของเขาไปเช่นกัน
เพราะอย่างนั้นก็เลยอยากรู้ว่าถ้ามายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งที่ตรงข้ามกัน
มันจะทำให้เขารู้สึกดีไหม
มันขาวโพลน
ดูอ้างว้าง แห้งแล้งและเปลี่ยวเหงา สายลมที่พัดมาฟังเศร้าสร้อย ราวกับโลกใบนี้กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและมีเขายืนอยู่เพียงแค่ผู้เดียว...หากแต่นั่นเป็นเรื่องที่เขารู้สึกว่ามันก็ดีแล้ว
หากรู้ว่าถ้าอยู่เพียงลำพังตั้งแต่ต้น จะได้ไม่ต้องเผชิญกับ ‘การสูญเสีย’
ดวงตาสีเทามองทอดยาวไปตามแปลงดอกไม้ที่เคยสีสันสดใสในฤดูใบไม้ผลิ
หากแต่ตอนนี้กำลังถูกย้อมด้วยสีของหิมะ
หลายคนคงจะบอกว่าความสวยงามของมันลดน้อยลงไป แต่สำหรับเขามันกลับดูกลมกลืนและน่าค้นหา
ละเอียดอ่อน จืดจางในความสว่าง ทว่าเด่นชัดในความมืด ซึ่งดูตัดกับตัวเขาที่มีผมและดวงตาสีดำซ้ำยังชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำไปโดนปริยาย
ริมฝีปากของเด็กชายยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ดูท่าคำพูดที่ว่าคนมักจะสนใจในสิ่งที่ตัวเองไม่มีนี่ถ้าจะจริง
พลันดวงตาที่กลอกไปมาโดยรอบก็ชะงักค้างเมื่อเขาไม่ได้ยืนอยู่ตามลำพังอีกต่อไป
ใต้ต้นเอล์มมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ สูงประมาณเขาหากแต่โคงามิก็มองออกว่าร่างกายของคนตรงหน้าบอบบางกว่ามากแม้เจ้าตัวจะอยู่ในเสื้อโค้ตตัวยาว
เรือนผมยาวสไลด์เป็นทรงปลิวไปตามแรงลม
ตามไหล่และกลุ่มผมมีหิมะเกาะเล็กน้อยบ่งบอกว่าเจ้าตัวยืนมาตั้งนานแล้ว
โคงามิถามตัวเองว่าถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงไม่สังเกตเห็น ทั้งๆที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีแท้ๆ
แต่พลัน...คำตอบก็หาได้เพียงชั่ววินาที
ทั้งเครื่องแต่งกาย
ผม หรือแม้แต่สีผิวของคนตรงหน้าล้วนแต่เป็นสีขาว...ขาวจนกลืนไปกับหิมะ
แล้วโคงามิก็ชะงักอีกระลอกเมื่อเด็กชายร่างบางหันกลับมาสบตากับเขาอย่างพอดิบพอดี
นัยน์ตาของอีกฝ่ายมีสีอำพัน
โคงามิไม่อาจอ่านสายตาของคนแรกพบได้รวดเร็วขนาดนั้นว่าคนตรงหน้าเป็นคนเช่นไร
แต่ที่เขาสรุปได้ก็คือมันแตกต่างจากสายตาของเขาและเด็กทั้งอคาเดมี
หมอนี่ไม่เหมือนพวกเขา...ไม่ใช่นักเรียนที่ถูกคัดเลือกอย่างพิเศษ
“นาย...”
เป็นอีกฝ่ายที่เอ่ยทักขึ้นก่อน รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าแสดงความเป็นมิตร “มาดูหิมะเหมือนกันเหรอ”
“นายเป็นใคร”
เขาถามกลับทันที ถึงคนตรงหน้าจะเป็นแค่เด็กก็เถอะ แต่นี่มันเข้าข่ายบุกรุก “ที่นี่คนนอกเข้าออกไม่ได้
และฉันมั่นใจว่าเพื่อนร่วมห้องของฉันไม่มีคนหน้าแบบนาย”
“งั้นนายก็ให้ฉันเป็นเพื่อนร่วมชมหิมะก็แล้วกัน”
คนถูกโมเมขอเป็นเพื่อนขมวดคิ้วทันที
ลงความเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นคนประเภทเดาใจได้ยากโดยอัตโนมัติ
ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาเรียนที่นี่เขาก็ได้เจอคนประเภทเดาใจได้ยากและก็สร้างเกราะบางๆป้องกันตัวเองอยู่หลายคนไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
แต่ยังไม่เคยคนเดาใจยากทว่าเปิดเผยขนาดนี้เลย
“นั่งคุยกันก่อนสิ
ดูหิมะตกแต่ไม่มีเพื่อนคุยเนี่ยมันไม่ค่อยสนุกหรอกนะ”
เด็กชายผมยาวว่าพลางนั่งลงตรงเก้าอี้หินอ่อนตัวยาวใต้ต้นเอล์ม
ไม่เท่านั้นยังจับมือเขาแล้วกระตุกเบาๆให้นั่งลงพร้อมกัน
โคงามิจับจ้องเสี้ยวใบหน้าเด็กประหลาดข้างๆนิ่ง คนแบบนี้คงขัดไม่ได้
ถ้าค้านไปก็ต้องหาเหตุผลให้เขานั่งคุยอยู่ด้วยจนได้
นี่สรุปเป็นแค่เด็กที่หลงเข้ามาแถวนี้
แล้วจะใช้เขาเป็นแค่ตัวฆ่าเวลารอผู้ปกครองมารับเท่านั้นสินะ
“นายคิดจะคุยกับคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่ออย่างนั้นเหรอ”
“นายพูดเหมือนกับว่าโลกทั้งใบเราไม่สามารถไว้ใจคนแปลกหน้าได้อย่างนั้นแหล่ะ
สมกับเป็นเด็กจริงๆนะ” คนข้างๆหัวเราะคิก ไม่สนใจเขาที่เริ่มชักสีหน้า อยากถามกลับไปนักว่าตัวเองก็เป็นเด็กไม่ใช่หรือไง
หากแต่ไม่ทันที่จะโวยวายอะไร คนข้างๆก็ยิ้มจางๆออกมา
เป็นรอยยิ้มที่เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างเข้ากับละอองหิมะที่โปรยปรายอยู่เบื้องหลัง
“เอาอย่างนั้นแหล่ะ
ไม่ต้องรู้ชื่อก็ได้ จะได้แฟร์ๆ ฉันเดาว่านายคงไม่คิดจะบอกชื่อฉัน
งั้นฉันก็จะไม่บอกชื่อนายเหมือนกัน
ไม่มีกฎว่าเพื่อนร่วมชมหิมะต้องรู้ชื่อกันสักหน่อย”
“ตรรกะแปลกๆ”
เขาว่า แต่เสียงหัวเราะใสๆกลับดังขึ้นอีกระลอก
“เพราะมันเป็นตรรกะของฉันไง
ความคิดส่วนบุคคลไม่มีใครเข้าใจนอกจากตัวเองหรอก
เพราะอย่างนั้นถ้าหากพบคนที่สามารถเข้าใจเราได้จากก้นบึ้งของความรู้สึกจริงๆ
มันถึงเป็นเรื่องที่วิเศษมากไง อย่างตอนนี้ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดนาย...ทำไมถึงคิดว่าที่นี่ไม่ควรจะมีคนนอกเข้ามาล่ะ
มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
เด็กชายผมดำขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“นี่นายไม่รู้จักที่นี่อย่างนั้นเหรอ”
“ก็...รั้วเหล็กรอบๆดัดเป็นตัวอักษรว่า
CVn
ฉันรู้แค่นี้แหล่ะ”
ฟังเด็กผมขาวตอบแล้วโคงามิอยากตบหน้าผากตัวเองแรงๆ
คนๆนี้ไม่ได้เข้าตามตรอกออกตามประตูจริงๆด้วย มันก็แน่ล่ะ ถ้าเดินเข้ามาตรงๆยามที่หน้าประตูก็ต้องกักตัวไว้แล้ว
“CVn คือชื่อย่อ มาจากชื่อกลุ่มดาวๆหนึ่งที่มีภาษาละตินว่า Canes
Venatici คนทั่วไปเรียกที่นี่ว่าสถาบันคาเว่น
เป็นองค์กรพิเศษสำหรับฝึกเด็กพิเศษ ไร้สังกัดทั้งทางรัฐและเอกชน”
โคงามิเลือกตอบเฉพาะสิ่งที่เขาตอบได้ เด็กชายผมยาวพยักหน้าหงึกหงักรับรู้
ส่งเสียงอือออในลำคอ นิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากแล้วว่าขึ้นบ้าง
“Canes Venatici กลุ่มดาวหมาล่าเนื้อสินะ...เฮ้ๆ นี่พวกนายฝึกกันแบบไหนเนี่ย
ชื่อฟังดูน่าสนใจจัง”
โคงามิชะงักไปกับคำถามของอีกฝ่ายคราวนี้เขาอยากจะค้านว่าคนที่น่าสนใจไม่ใช่เขา
แต่เป็นคนตรงหน้าต่างหาก ดูยังไงๆเด็กนี่ก็อายุไม่ถึงสิบห้า
ไม่น่าจะรู้จักชื่อกลุ่มดาวนั้นด้วยซ้ำ แม้แต่ตัวเขาที่เป็นเด็กพิเศษที่ถูกเลือก
ยังมารู้เอาจากเทรนเนอร์เลย
เรื่องภายในของสถาบันคาเว่นไม่ควรเล่าให้คนอื่นฟัง
นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องจำให้ขึ้นใจ เทรนเนอร์ให้เหตุผลกับพวกเขาว่ามันจะเป็นประโยชน์ในอนาคต
พวกเขาต้องใช้ชีวิตแบบเป็นปริศนา ไร้ร่องรอย และไร้ตัวตน
มีเพียงชื่อขององค์กรเท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันถึงการมีชีวิต นั่นคือหนึ่งในสามกฎเหล็กของสถาบันคาเว่น
แล้วนี่เขากำลังจะแหกกฎหรือเปล่านะ
ถ้าพูดถึงร่องรอยและตัวตน
ชื่อของเขาหมอนี่ก็ยังไม่รู้ ถึงจะเห็นหน้ากัน
แต่นี่ก็คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้เจอ จะเอาอะไรกับความทรงจำเด็กล่ะ
ถึงเวลาที่เขาจบการฝึกแล้วทำงานให้สถาบัน ก็ไม่มีทางจำหน้าได้หรอก
“ที่นี่ฝึกไปเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษที่เราเรียกกันว่า
ฮาวนด์ (Hound) แปลตามตัวว่าหมาล่าเนื้อ การที่จะเป็น Hound ได้ต้องได้รับการทดสอบอย่างหนักทั้งสมรรถภาพทางกายและสมอง
ในหนึ่งปีมีผู้ผ่านเพียงแค่สิบคน และจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อรับมือกับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมระดับสูงที่บุคคลทั่วไปไม่อาจปฏิบัติได้
แต่รายละเอียดนอกเหนือจากนี้ฉันไม่ขอเล่า”
“ทำไมล่ะ”
“มันอันตรายกับนาย”
โคงามิตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆอย่างเก่า
หากแต่คำตอบสั้นๆเรียบๆนั้นทำให้คนฟังเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
เว้นวรรคให้เวลาอีกนิดเผื่อที่จะมีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มี
และไม่มีทีท่าว่าจะถอนคำพูดด้วย ดวงตาสีดำนิ่งสนิทจ้องเขาเพียงชั่ววินาทีที่เอ่ยประโยคนั้น
แล้วหันกลับไปมองหิมะที่โปรยปรายเบื้องหน้าเหมือนเดิม
เด็กชายร่างบอบบางกะพริบตาปริบๆ
นี่เขากำลังถูกคนที่เพิ่งเจอครั้งแรกแสดงอาการเป็นห่วงใช่ไหม
แปลกคน...
“ฉันชักอยากเป็นเพื่อนกับนายขึ้นมาจริงๆแล้วสิ
นี่ๆ...สถาบันคาเว่นสนใจรับคนเพิ่มอีกสักคนหรือเปล่า”
“คุณสมบัตินายไม่ผ่านหรอก”
เด็กชายผมดำขัดทันควัน
พยายามกลั้นขำเมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นนั้นแปรเปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวได้เพียงชั่ววินาที
น้ำเสียงใสๆกระเง้ากระงอดขึ้นนิดๆ
“ทำไมล่ะ
นายบอกว่าถ้าจะฝึกไปเป็น Hound
ต้องพร้อมคุณสมบัติทั้งทางร่างกายและสติปัญญาใช่ไหม ฉันพอไหวนะ
ฉันชอบอ่านหนังสือ สอบได้ที่หนึ่งของห้องประจำแหล่ะ ส่วนเรื่องความแข็งแรง
ฉันก็ฝึกศิลปะการป้องกันตัวอยู่หลายแขนงนะ รับรองว่า...”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
โคงามิขัดอีกรอบ หากแต่คราวนี้เขากลับยิ้มไม่ออก แววตาที่เคยว่างเปล่าเจือจางด้วยความหม่นเศร้าเพียงน้อยนิดมองขึ้นบนท้องฟ้าแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“ถ้านายยังมีที่ๆให้กลับไป ยังคงมีตัวตนจริงๆบนโลกใบนี้ นายก็ไม่สามารถจะมาเป็น Hound ได้ นี่คือคุณสมบัติสำคัญ”
ดวงตาสีอำพันที่เขามองตั้งแต่แรกเห็นนั่นล่ะคือหลักฐาน มันคือดวงตาของคนที่มีคนห้อมล้อม
เป็นที่รักและเคารพ และการเอ่ยคำว่า เพื่อน ออกมาง่ายๆนั่นก็ด้วย
โคงามิเหลือบตามองเด็กชายข้างตัวที่นั่งเงียบไป
เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าร่างบางหน้าซีดลงแต่ปลายจมูกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
ตอนนี้หิมะเริ่มลงหนา
แม้คนข้างๆเขาจะใส่โค้ตอย่างดีก็เถอะแต่มันก็คงไม่พอที่จะคุ้มครองคนผอมแบบนี้จากสภาพอากาศแน่ๆ
ดูจากอาการถอนมือออกจากกระเป๋าเสื้อถูกันอย่างเร็วพลางเป่าลมลงไปนั่นก็พอจะรู้แล้ว
ตัวเขาเองก็เริ่มหนาวขึ้นมาตะหงิดๆแล้วเหมือนกัน ถ้าเขาอยู่คนเดียวเขาก็คงจะเดินกลับเข้าอาคารไปแล้วเพื่อรักษาสุขภาพ
แต่ไม่รู้ทำไม เขายังคงนั่งต่อไป
เหมือนกับว่าถ้าลุกออกไปตอนนี้มันคือความผิดมหันต์
เพราะคนข้างๆเขายังไม่มีทีท่าว่าผู้ปกครองจะมารับ? เพราะเขาเกิดเห็นใจเพื่อนร่วมดูหิมะแล้วไม่อยากทิ้งหมอนี่เอาไว้ท่ามกลางความหนาว?
กลัวว่าถ้าปล่อยไว้ร่างบอบบางนี้อาจจะกลืนหายไปกับเกล็ดน้ำแข็ง?
หรือเป็นเพราะเขายังอยากอยู่ใกล้คนที่มีอะไรตรงข้ามกับเขาไปเสียทุกอย่าง
ทั้งดวงตา สีผม เครื่องแต่งกาย หรือแม้กระทั่งบรรยากาศรอบตัว...
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด
ดูเหมือนร่างกายของเขาจะไม่รอฟังผล
แขนยาวแข็งแรงยื่นไปแล้วโอบผ่านแผ่นหลังบาง
มือล็อกแน่นที่ต้นแขนอีกข้างแล้วดึงเข้าหาตัวเบาๆจนกระทั่งไหล่กระทบกัน
พอได้สัมผัสเข้าแล้วโคงามิถึงได้รู้ว่าหมอนี่ผอมกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก
ดูท่าว่าถ้าจะโอบให้รอบจริงๆ แขนเดียวก็ยังไหว แต่เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนี้มันจะช่วยได้ไหม
บางทีอาจจะเปล่าประโยชน์ก็ได้ในมือคนในอ้อมแขนของเขานั่งนิ่งแข็งทื่อเหมือนถูกฟรีซไว้ไปแล้ว
“ขอโทษนะ”
เขายิ้มมุมปาก “พอดีว่าฉันสละเสื้อแจ็กเก็ตของสถาบันให้นายใส่ไม่ได้
พานายเข้าไปในอาคารไม่ได้ ไปขอเสื้อกันหนาวจากเทรนเนอร์เพิ่มอีกตัวก็ไม่ได้อีก เอาเป็นว่าช่วยอยู่นิ่งๆไปอย่างนี้จนกว่านายจะอุ่นขึ้นก็แล้วกัน...ถือเป็นค่าตอบแทนที่นายมาเป็นเพื่อนคุยระหว่างดูหิมะตกกับฉัน”
แปลกคนจริงๆด้วย...
เจ้าของร่างบอบบางคลี่ยิ้มจางๆออกมา
คนๆนี้เป็นคนที่แสดงความไม่ไว้ใจในตัวเขาก่อนด้วยซ้ำ หากแต่ตอนนี้มือนั้นกระชับขึ้นเรื่อยๆที่เขามีอาการสั่นแม้ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดไปก็ตาม
ลมหนาวพัดเข้ามาเป็นระลอก มันยังคงเย็นเฉียบอยู่เช่นเดิม
กลิ่นอายของต้นฤดูหนาวห้อมล้อมเขาอย่างไม่ปราณี
เพียงแต่เกราะป้องกันอย่างอ้อมแขนหนึ่งข้างก็ยังทำหน้าที่เป็นเกราะไม่ให้มันกัดกินผิวเขาได้ง่ายๆเช่นเดิม
มันทำให้เขาไม่หนาวเท่านั้น
แต่ถ้าจะให้นั่งจนกระทั่งอุ่นขึ้นตามที่เจ้าของอ้อมแขนบอก...คงต้องนั่งไปอีกนาน
ถ้ามีเวลาขนาดนั้นก็ดีสิ...
“ฉันเห็นแปลงดอกทิวลิปของที่นี่...แต่มันก็ขาวโพลนไปจนแทบไม่เห็นสีสันที่แท้จริงแล้วล่ะนะ
แต่คิดว่าถ้าปัดหิมะออกไปแล้วให้มันกลับคืนสีเดิมคงจะสวยไม่น้อยก็เลยเผลอตัวกระโดดข้ามรั้วเข้ามา
แล้วก็ไม่ผิดหวัง...มันสวยมากจริงๆ แต่ที่ดีใจกว่านั้น...”
มือเรียวบางเอื้อมไปสัมผัสมือของอีกฝ่ายที่ยังคงกระชับแน่นที่ต้นแขนของเขาแล้วดึงออกอย่างสุภาพก่อนที่จะลุกยืนขึ้นหากแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
นัยน์ตาสีอำพันสบกับดวงตาสีดำของอีกฝ่ายแล้วยิ้ม
“คือการที่ฉันได้เจอนาย”
ใบหน้า...รอยยิ้ม...ตัวตนที่งดงามราวกับดอกไม้สีขาวที่ผลิบานท่ามกลางละอองหิมะ
และกำลังจะเลือนหายไป...ในเกล็ดน้ำแข็งที่กำลังปลิดปลิว....
“ถ้าเป็นนาย
ฉันมั่นใจว่าต้องเป็น Hound
ที่ดีได้แน่ๆ ถึงตอนนั้นหวังว่าเราจะได้พบกันใหม่สักวัน”
มือเรียวบางปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แล้วหันหลังกลับเดินไปหารถคันสีดำสนิทที่จอดโดดเด่นอยู่
ตลอดเวลาตั้งแต่เขาเดินกลับมาจนกระทั่งขึ้นรถ มันไม่อาจหุบยิ้มได้เลย
นับว่าการพบครั้งนี้คุ้มค่ามากจริงๆ
“ช่วยเปิดฮีตเตอร์ให้อุ่นกว่านี้หน่อย”
ชายสูงวัยที่อยู่ในเครื่องแบบพ่อบ้านหันไปบอกคนขับรถแล้วสบตากับเจ้านายตัวน้อยของตนที่เบาะหลัง
เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนั้นเขาน่าสนใจจนท่านโชโกะต้องออกมาพบด้วยตัวเองเลยหรือครับ”
เจ้าของชื่อหัวเราะหึๆ
ขาเรียวยกขึ้นไขว้กันแล้วเอามือกอดอกตัวเองไว้หลวมๆ
บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไปในชั่ววินาที
ดวงตาสีอำพันหรี่ลงเมื่อมองทะลุกระจกรถไปยังม้านั่งใต้ต้นเอล์มที่เดิมที่ยังคงเห็นเด็กชายผมสีดำยังคงยืนนิ่งแล้วมองมาทางรถเขาอยู่อย่างนั้น
ริมฝีปากบางกระตุกยิ้ม พึมพำขึ้นเสียงเบา
“น่าสนใจจริงๆ...อีกไม่นานเขาได้เป็น
Hound
แน่ๆ และดูท่าว่าหมาล่าเนื้อตัวนี้จะทำประโยชน์ได้ไม่น้อย”
เขาได้ยินพวกเทรนเนอร์พูดถึงกันอย่างหนาหูเลยอดไม่ได้ที่จะออกมาพบ เด็กคนนั้นฉลาด
ไหวพริบดี กล้ารุกและกล้าถอย รู้จักปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสถานการณ์
เข้าถึงได้ง่ายแต่ก็ถ้าจะให้เข้าใจจริงๆก็ยาก
มือเรียวลูบบริเวณต้นแขนของตัวเองที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นไว้เจือจาง
“แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องปรับปรุง...”
ไม่มีหมาล่าเนื้อที่ไหนใจดีกับคนแปลกหน้า...คนเดียวที่มันจะเชื่องด้วยคือเจ้าของเท่านั้น
หวังว่าพบกันอีกรอบนายจะเข้าใจนะ...โคงามิคุง...
บรุกลิน รัฐนิวยอร์ก
ปี 2022
“ในปีนี้มีผู้ได้รับการฝึกจากสถาบันคาเว่นที่พร้อมจะเข้ารับบททดสอบสุดท้ายก่อนที่จะเป็น
Hound
จำนวนเพียงหนึ่งคนเท่านั้นครับ”
ชายในสูทดำคนหนึ่งวางแฟ้มต่อหน้าประธานองค์กรร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สำนักงานตัวใหญ่
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเมื่อเห็นชื่อพร้อมรูปถ่ายของคนในแฟ้ม นิ้วเรียวขาวไล้ไปตามใบหน้าหล่อเหลาบนเนื้อกระดาษ
“นึกแล้วว่าต้องเป็นเขา...โคงามิ
ชินยะ” นับว่าตลอดเวลาที่เขาเฝ้ามองพัฒนาการของคนๆนั้นมันไม่เสียเปล่าเลยสินะ...
“ตามแผนงานของสถาบัน
บททดสอบสุดท้าย ‘เจ้าของสุนัข’ อย่างท่านมาคิชิมะต้องเป็นผู้มอบหมายด้วยตนเองครับ
แต่ด้วยกฎของเรานั่นคือตราบใดที่ผู้ถูกฝึกยังไม่เป็น Hound จะยังไม่มีสิทธิ์ได้เห็นหน้าเจ้าของ
เพราะฉะนั้นกรุณาสั่งผ่านทางผมได้เลยครับ ผมจะเป็นคนไปบอกโคงามิ ชินยะด้วยตัวเอง”
“นั่นสินะ”
ร่างสูงโปร่งรับด้วยรอยยิ้ม “แต่กับคนหูไว จมูกไว แถมยังมีความสามารถเกินหมาล่าเนื้อตัวไหนอย่างโคงามิคุงถึงจะเป็นภารกิจที่ฉันมอบให้
เขาก็คงมองว่าเป็นเรื่องง่ายไปซะหมดนั่นแหล่ะ”
“ถ้าเป็นคำสั่งของเจ้าของ
ต่อให้เป็นงานง่ายหรือยาก สุนัขมีหน้าที่ที่จะรับผิดชอบด้วยชีวิตครับ
แล้วแต่ท่านจะบัญชา” มาคิชิมะ โชโกะหัวเราะเบาๆกับคำยืนยันของเลขาคนสนิท ไม่คิดเถียงความเป็นจริงในข้อนั้น
แต่ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ได้รับชื่อว่า Hound
หมาจรจัดก็ยังคงเป็นหมาจรจัด ไม่มีทางที่จะเป็นหมาล่าเนื้อใต้อาณัติผู้จงรักภักดีสุดชีวิตได้
โคงามิ
ชินยะ ก็คงจะยังเป็นหนึ่งในนั้น...
“ให้เขาไปสืบหาตัวคนวางระเบิดทาวน์เฮาส์เลขที่
6908
Oadsauk st. เมืองแมนดิสัน
ถ้าหากรู้ตัวผู้บงการที่แท้จริงแล้วกลับมารายงานผลตัวต่อตัวกับฉันได้
ถือว่าสอบผ่าน”
“ทาวเฮาส์ที่แมนดิสัน...ทะ
ท่านโชโกะครับ...นั่นหรือว่า” เลขาที่ยืนอยู่หน้าถอดสี เอ่ยทวนถามกระท่อนกระแท่นอย่างที่ไม่เคยเป็น
นั่นก็เพราะชื่อสถานที่ที่ผู้เป็นนายเอ่ยออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ใช่...ที่นั่นแหล่ะ...ทาวเฮาส์บ้านเกิดของโคงามิ
ชินยะ ที่โดนระเบิดเมื่อสิบปีก่อน”
“แต่ท่านครับ! หมาล่าเนื้อที่สถาบันคาเว่นของเราฝึก
ทุกคนคือคนที่ไม่มีตัวตนในฐานะนิติบุคคลแล้ว พวกเขาต้องทิ้งอดีตทั้งหมด
ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่าง ดังนั้นเราไม่ควรให้พวกเขาเข้าไปขุดคุ้ยอดีตของตัวเอง และอีกอย่างหนึ่ง
ท่านก็ทราบไม่ใช่หรือครับ ว่าระเบิดคราวนั้น...”
“ฉันถึงได้บอกไงว่าถ้าหมอนั่นทำภารกิจสำเร็จและมายืนรายงานผลต่อหน้าฉันได้
ฉันจะให้ผ่าน” ร่างโปร่งขัด นัยน์ตาสีอำพันวาววับหรี่ลงจนคมกริบ ตวัดมองเลขาตนที่ยืนก้มหน้า
“หรือมีปัญหาอะไร”
“มะ
ไม่มีครับ ขออภัยด้วยครับ ท่านโชโกะ” ถึงเขาจะมีอายุที่มากกว่าเกินรอบ
แต่เด็กหนุ่มวัยยี่สิบสามปีตรงหน้านี้ที่ขึ้นรับตำแหน่งผู้บริหารขององค์กรคาเว่นได้ตั้งแต่อายุยี่สิบนั้นไม่ใช่บุคคลที่ควรจะต่อกรด้วยแม้แต่จะคิด
น้ำเสียงเยือกเย็นราวกับจะแช่แข็งหัวใจคนฟังและสายตาที่มองทะลุทุกความเป็นจริงของคนที่อยู่ต่อหน้านั้นเขาเชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้อยากจะโดนแบบนั้น
แต่ถ้ามาคิชิมะ
โชโกะไม่ใช่คนแบบนี้เขาก็คงจะเป็นไม่ได้....
‘เจ้าของฝูงหมาล่าเนื้อ’
“ถ่ายทอดคำสั่งภายในวันนี้ได้เลย
แล้วบอกโคงามิ ชินยะด้วยว่าถ้าหากอยากหาตัวช่วยสืบคดีก็ตามสบาย
แต่จดรายชื่อมาให้เรียบร้อย คนพวกนี้จะได้รับการพิจารณาที่จะสอบไฟนอลเพื่อเป็น Hound ในครั้งหน้า” ชายในสูทดำโค้งรับแล้วเดินออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มร่างโปร่งบางพิงหลังกับพนักหนานุ่ม
ในมือถือแฟ้ม
อ่านประวัติของนักเรียนดีเด่นแห่งคาเว่นแล้วยิ่งตอกย้ำว่าคนๆนี้เหมาะที่จะได้รับตำแหน่งมากกว่าใคร
เขาถึงเปิดโอกาสให้ถึงขนาดนั้น
ใช่...จะใช้วิธีใดก็ได้
เอาคนกี่คนมาช่วยเขาก็ไม่เกี่ยง ขอเพียงแค่ได้ความจริงเท่านั้นก็พอ ขอเพียงแค่นายบรรลุภารกิจแล้วมายืนต่อหน้าฉันก็พอ
แล้วฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้...โคงามิคุง
ปังๆๆๆ
เสียงกร้าวกัมปนาทของปืนสั้นออโตเมติกดังก้องติดต่อกันไม่หยุดในสนามซ้อม
ชายหนุ่มร่างสูงผมสีดำสนิทหรี่ตาลงมองผลงานตัวเองที่กระสุนทั้งสี่นัดของตนเจาะผ่านกะโหลกของรูปคนสีดำที่อยู่ห่างไปไกลกว่าระยะมาตรฐานก่อนที่มุมปากจะจุดเป็นรอยยิ้มเล็กๆ
“ศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวนายก็เป็นที่หนึ่งในรุ่น
นี่ยังคิดจะพ่วงตำแหน่งพลยิงยอดเยี่ยมด้วย ไม่โลภไปหน่อยหรือไง”
เสียงบ่นดังขึ้นข้างหลัง ชายหนุ่มหัวเราะเป็นเชิงสัพยอกเบาๆ พลางมือแกร่งถอดถุงมือหนังสีดำออกพร้อมกับเอาอุปกรณ์ป้องกันเสียงออก
ชูให้คนข้างหลังดู
“โทษทีกิโนะ
เมื่อกี้นายพูดอะไรฉันไม่ได้ยินเลย”
“หึ...ฉันก็ควรจะรู้ตั้งนานแล้วว่านายมันหมาล่าเนื้อหูไม่ดี
สมควรจะแจ้งเทรนเนอร์ให้บำบัดซะเดี๋ยวนี้”
โคงามิตอบรับความหวังดีของเพื่อนแค่แค่นยิ้มมุมปาก
กิโนะก็เป็นอย่างนี้ประจำ เป็นเพื่อนที่นิสัยแปลกประหลาด ชอบแขวะเขาไม่เลิกเรื่องผลการฝึก
บ่นเขาทุกครั้งเวลาซ้อมเกินเวลา แต่ก็ยังมาดูอยู่ได้ทุกวัน
“น่าๆ
คุณกิโนะก็อย่าไปมีน้ำโหสิคร้าบ เรามันคนละสายกันอยู่แล้ว ไม่แย่งที่นั่งของ Sight Hound ของคุณกิโนะหรอกเนอะ!”
เสียงยานคางฟังร่าเริงของเด็กหนุ่มร่างเล็กดังทะลุขึ้นกลางปล้อง
พร้อมกับเจ้าตัวที่เดินออกมาจากประตูอัตโนมัติ
ในมือหนึ่งแบกปืนแมชชีนกระบอกย่อมเอาไว้บนบ่า
อีกมือกำผ้าขนหนูสีขาวเช็ดตามหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ดูท่าว่าเพิ่งทำโปรแกรมฝึกวันนี้เสร็จ
“ใช้แมชชีนเหมือนแขนขาตัวเองได้แบบนี้ทั้งๆที่เมื่อก่อนขยาดเข้าไส้
ตั้งใจจะเป็น Scent
Hound เต็มที่เลยสิ คางาริ” กิโนสะทัก
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไหวไหล่ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้เพื่อนร่วมรุ่นอีกนิด
สอดสายตาซ้ายขวา พอมั่นใจว่าไม่มีคนก็แล้วก้มลงกระซิบเสียงเบา
“ก็น้า...ฉันยังสงสัยอยู่ว่าพวกเทรนเนอร์แอบใส่ยากล่อมประสาทอะไรให้ฉันกินหรือเปล่า
จากไม่อยากแม้แต่จะใกล้ กลับกลายเป็นอยากใช้มันให้พังๆไปเลย” ว่าแล้วก็ยืดตัวออก
ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว “เอาเป็นว่าเรื่อง Scent Hound สำหรับฉันน่ะอาจจะไม่ใช่ตอนนี้
แต่โคงามินี่อยู่แค่เอื้อม...มีแขกคนพิเศษมารอพบนายที่เลาจ์แน่ะ...แจ้งว่าเป็นเลขาของมาสเตอร์”
ทั้งกิโนสะและโคงามิชะงักพร้อมกัน
การที่คนสนิทของมาสเตอร์ที่ประจำการอยู่บรุกลินไม่มีทางเสียเวลาเดินทางมาที่นี่เพียงเพราะเรื่องเล็กๆแน่
อีกอย่างสำหรับพวกเขาที่ถูกกรอกหูมาตั้งแต่เป็นเด็กว่ามาสเตอร์คือบุคคลปริศนาที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์แม้จะเห็นกระทั่งเงาจนกว่าจะกลายเป็น
Hound
มันถึงได้ฟังพิเศษยิ่งกว่าครั้งไหน
แต่แน่นอนว่ามันใช่ความรู้สึกพิเศษอย่างอาการดีใจ
นั่นอาจจะเป็นเพราะพวกเขายังไม่ใช่หมาล่าเนื้อเต็มตัวล่ะมั้ง
ถึงไม่อาจจะกระดิกหางรับเจ้านายอย่างซื่อสัตย์
ดวงตาสีเทาแปรเปลี่ยนเป็นสงบภายในเสี้ยววินาที
เขาตอบรับเพียงแค่คำว่าเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหยิบเสื้อนอกออกจากสนามซ้อมไป
สถานที่เขาฝึกเป็นฟิตเนสเซนเตอร์ อยู่ในตึกรับรองของสถาบันคาเว่น
เพียงแค่เดินทะลุผ่านออกมาก็เป็นเลาจ์แล้ว มีทั้งเจ้าหน้าที่และนักเรียนนั่งอยู่เต็มไปหมด
แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือโซฟาโซนด้านในที่มีชายสูงวัยนั่งอยู่เพียงคนเดียว
โคงามิก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล
โค้งให้ตามมารยาท
“ฉันมีเรื่องที่จะให้เธอทำ
โคงามิ ชินยะ” คนตรงข้ามพูดอย่างไม่อ้อมค้อม หยั่งเชิงลงไปตามวิสัย
“รู้ไหมว่าจากใคร ค่าตอบแทนภารกิจคือสิ่งใด”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกผมได้รับมอบหมายภารกิจ
เทรนเนอร์จะพูดซ้ำๆว่าต่อให้ใครเป็นคนว่าจ้าง ถูกกฎหมายหรือไม่
นั่นไม่ใช่สิ่งที่หมาล่าเนื้อต้องสนใจ
เพราะคนสั่งเราได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือมาสเตอร์
สำหรับสัตว์สี่เท้าผู้ซื่อสัตย์ คำสั่งของมาสเตอร์เป็นที่สุด” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มนิด
ว่าต่ออย่างไม่จริงจังนัก “ส่วนค่าตอบแทนผมว่ามันก็ตอบง่ายออก
ทุกวันนี้ที่เราฝึกทำภารกิจก็เพื่อการยกสถานะตัวเองจากไอ้ขี้เรื้อนให้กลายเป็นนักล่าที่งามสง่า”
“ถ้าอย่างนั้นงานนี้คงจะตอบโจทย์ของเธอมากกว่างานไหน”
ชายสูทดำว่า ความกดดังหนักหน่วงลงเหนือโต๊ะในห้องแอร์สบายๆทันที “นี่คือคำสั่งของมาสเตอร์
โคงามิ ชินยะ เธอต้องรับบททดสอบสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเป็น Hound
มาสเตอร์ต้องการให้เธอไปสืบคดีไฟไหม้ที่ทาวเฮ้าส์ในแมนดิสัน...รู้แล้วใช่ไหมว่าคดีไหน”
ดวงตาคมหรี่ลงมองคนสูงวัยอย่างน่าขนลุก
อากาศที่ยังถ่ายเทให้รู้สึกอยู่บ้างหายวับราวเปลวเทียนต้องลม
น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยเน้นช้าๆ
“ที่บ้านผมอย่างนั้นหรือ?”
“ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง”
เลขาจากบรุกลินดัก
“โดยตามปกติสถาบันคาเว่นจะคัดกรองภารกิจให้พวกเธอปฏิบัติและพยายามไม่ให้เข้าไปข้องแวะกับคดีส่วนตัวของแต่ละคน
ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดทางสถาบันยินดีรับผิดชอบโดยให้สิทธิ์พวกเธอปฏิเสธภารกิจได้...แต่นี่มันคือข้อยกเว้นเพราะกฎที่ทรงพลังที่สุดขององค์กรเป็นผู้บังคับ
ถ้าเธอไม่รับจะไม่มีสิทธิ์รับเสนอชื่อขึ้นเป็น Hound อีกต่อไป
ถูกขับออกจากสถาบัน อย่างดีคือปล่อยให้เร่ร่อน อย่างร้ายคือสั่งเก็บ
เข้าใจความหมายไหม...”
“หมาไม่สามารถขัดคำสั่งของเจ้านายได้นอกจากจะตาย”
โคงามิต่อด้วยรอยยิ้มขื่นขม
เขาคิดอยู่แล้วว่าวันที่ตัวเองต้องรับบททดสอบสุดท้ายมันจะต้องมาถึงจนได้
แล้วมันก็คงโหดหินสมราคาคุยที่เล่ากันมารุ่นต่อรุ่นแน่ แต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นภารกิจที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ด้วย
คางาริพูดถูก
พวกเทรนเนอร์อาจจะเอายากล่อมประสาทให้พวกเขากินจริงๆ
ขนาดเรื่องราวที่บัดซบที่สุดในชีวิตถูกคุ้ยขึ้นมา หัวใจยังเต้นเป็นจังหวะปกติ
อาจมีสั่นคลอนบ้างแต่ถ้าเทียบกับเมื่อสิบปีก่อนที่เขาถูกส่งมาสถาบันคาเว่นถือว่าเป็นคนละเรื่องเลย
ตอนนั้นเขาเหมือนลูกหมาบ้าที่ถูกพรากออกมาจากอกแม่ตั้งแต่ยังไม่หย่านม
ตีอกชกหัวอาละวาดไม่มีสติอยู่ห้าเดือนเต็มๆจนเทรนเนอร์ต้องสั่งขังเดี่ยว
ทำร้ายร่างกายตัวเองหลายครั้ง
หนักที่สุดคือการเย็บตรงข้อนิ้วมือสามสิบเข็มเพราะชกผนังสุดแรงไปหลายทีจนเลือดชุ่ม
บอกกับตัวเองว่าเผื่อมันจะทดแทนพ่อแม่ที่ตายไปแต่เขากลับหนีรอดชีวิตมาคนเดียว
มันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนอยู่ในขุมนรก
เหมือนปรสิตที่กัดกินหัวใจเขาได้ทุกเวลา
หลังจากนั้นอาการบ้าของเขาหายแต่ไม่สนิท
มันจะกลับมาเป็นพักๆเวลาเหนื่อยมากๆ ภาพสีแดงฉานของเปลวเพลงที่ร้อนระอุมันไม่หายไปแม้เพียงเสี้ยว
แล้วทุกครั้งเขาก็จะไประบายกับโรงฝึกส่งผลให้ฝีมืออัพเอาๆ
แต่ตอนนี้ถ้ามันเกิดขึ้นมาระหว่างภารกิจเขาคงหมดหนทางเยียวยา อย่างที่ว่า
งานนี้มันไม่น่าพิสมัยเลย
แต่ถ้าเขาไม่ทำ
ก็เป็น Hound
ไม่ได้ เรื่องนั้นก็ไม่เอาเหมือนกัน
“ถ้าเป็นนาย
ฉันมั่นใจว่าต้องเป็น Hound ที่ดีได้แน่ๆ
ถึงตอนนั้นหวังว่าเราจะได้พบกันใหม่สักวัน”
“เข้าใจแล้ว
ผมรับภารกิจ”
“มันจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเธอเดินทางไปรายงานผลต่อหน้ามาสเตอร์เองที่บรุกลิน
ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้เธอสามารถไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก
มีผู้ช่วยสืบได้แต่ช่วยแจ้งชื่อกับสถาบันด้วย ถ้ามาสเตอร์อนุมัติเมื่อไหร่
นายจะได้สวมปลอกคออันโตทันที...ขอให้โชคดี โคงามิ ชินยะ”
ร่างสูงลุกขึ้นคำนับแล้วเดินออกไป
หากแต่ทันทีที่ประตูอัตโนมัติเปิดออก
ตัวช่วยสืบคดีของเขาก็ยืนพิงผนังรออยู่แล้วสองคน คางาริทำท่าตะเบ๊ะให้
ส่วนกิโนะยืนกอดอกเงียบๆไม่มองหน้าเขาเหมือนเดิม
“มีคำสั่งปลดสายจูง...”
เขาเกริ่น “พวกนายอยากไปเที่ยวแมนดิสันกับฉันมั้ย”
.
.
.
.
.
.
TBC...
มิยะขอเม้าท์
หายหน้าไปเกือบสองอาทิตย์กลับมาพร้อมกับฟิคของอนิเมชันที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่ไอ้มิยะเคยดูเลย
คืออยากเขียนเรื่องนี้มานานแล้วค่ะ
แต่ต้องอดกลั้นพอๆกับไททันเพราะมันอยู่ในช่วงมรสุมชีวิต
เลยไม่มีเวลาได้คิดพล็อตแล้วแต่งออกมา
เอาเป็นว่าวันนี้มีโอกาสดีก็เลยแต่งเป็นช็อตสองตอนค่ะ ไม่เป็นไหแน่ ฮ่าๆๆๆ
ตอนหน้าจบจ้ะ แต่ก่อนที่จะว่าถึงฟิค ขอพูดถึงโอกาสดีวันนี้ก่อน
เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของพี่สาวคนเก่งอีกคนหนึ่งของมิยะ
>w<
เย้เฮ!
สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่กี้ >w<
ขอให้พี่กี้มีความสุขมากๆ
มีแรงกายแรงใจสู้กับงาน สุขภาพร่างกายแข็งแรง จากที่วาดรูปสวยโฮกๆอยู่แล้ว
ขอให้ยิ่งเทพๆขึ้นไป มีเรี่ยวมีแรงมาวาดรูปให้พี่ๆน้องๆยลโฉมเยอะๆเลยค่ะ
ขอให้คุณชายสัปป้าแห่งไร่สับปะรดอยู่ดีมีสุขทุกๆวันค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ คะ
ความจริงอยากเอาหน้าซุกหมอนด้วยความอับอายมาก
ย่องไปถามพี่เค้ามาเป็นเดือนว่าอยากอ่านคู่ไหน แต่เอ็งก็ปั่นไม่เสร็จ // สไลด์ตัวเอาหน้าแนบพื้น ขอโต๊ดดดด T_____T แต่คู่นี้ก็เป็นคู่ที่เลือกเอาไว้ตั้งแต่แรกจริงๆ
เพราะช่วงนั้นได้ฟังเพลงๆหนึ่งที่เพราะมากๆ คือเพลง Yuki no Hana ค่ะ สถาปนาเป็นชื่อฟิคเลย
แม้เรื่องมันจะไม่นุ่มละมุนเหมือนชื่อสักเท่าไหร่ก็เถอะ คือมันเพราะมาก
ฟังญี่ปุ่นว่าเพราะแล้วมาฟังฉบับ Eng ก็เพราะไม่แพ้กันเลยค่ะ
ในยูทูปมีcover เวอร์ชันภาษาไทยด้วย
ไอ้มิยะก็ไล่ฟังมันทุกภาษา แล้วก็ฟินมันทุกภาษาเบยยย TvT ให้อารมณ์คิดภาพคุณโชโกะใส่โค้ตสีขาวเดินย่ำไปตามละอองหิมะที่โปรยลงมา
ง่าส์ เป็นคนที่เหมาะกับฤดูหนาวอะไรเช่นนี้เคอะ! ทั้งเนื้อทั้งตัวจะขาวไปไหนเนี่ย
>w<
คู่คุณโคโชโกะตามรีเควสนั้นเป็นจิ้นและฟินแรกของไอ้มิยะที่ดูไซโคพาสเลย
เอาเป็นว่าเปิดมาปิ๊งเลยเหอะ เพราะคนหนึ่งขาว คนหนึ่งดำ มันดูคอนทราสต์กันมวก! แต่ทั้งๆที่อย่างนั้นกลับเป็นคนที่เข้าใจอีกฝ่ายได้ดีกว่าใครแถมยังเหมือนกันแบบสุดๆ
คาร์แร็กเตอร์มันเป๊ะและมีมิติมากค่ะ ทั้งตัวคุณโค และก็โชโกะเลย
ถ้าจะให้เปรียบ
สองคนนี้ในความรู้สึกของมิยะคือเหมือน กาสีขาว หงส์สีดำ
กาที่เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายกลับชุบย้อมตัวเองให้กลายเป็นสีขาวเพื่อดึงดูดสายตาคนมองให้เคารพเชื่อถือ
หงส์ที่เป็นตัวแทนแห่งความดีงามสูงส่งกลับมีตัวตนสีดำเพราะมีคราบของความเป็นอาชญากร
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เรื่องเรท
ที่เขียนว่า NC
นั้น ไม่ถึงขั้นมีฉากอย่างว่าหรอกค่ะ เหะ เหะ
แต่ฟิคเรื่องนี้ค่อนข้างอาชญากรรม เล่นปืนผาหน้าไม้เลือดสาด พระเอกเป็นเด็กมีปัญหา
นายเอกหยิ่งและบ้าอำนาจ ดูท่าจะไกลจากเรท PG ไปโขเลย
เพราะงั้นเลยจั่วหัวอย่างงี้ไว้แต่ไม่ได้กำหนดอายุ
เอาเป็นว่าลูกเล็กเด็กแดงผ่านมาเห็นก็ใช้วิจารณญาณนิดนึง
ส่วนพล็อตเอาไว้เล่าตอนสอง
ฮี่ๆ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
Miya
อยากอ่านต่อมากๆเลยค่ะ รีบๆมาต่อน๊าาา สนุกมากเลย >////< ฟินสุดๆเลยค่ะ (///-///)
ตอบลบ