หน้าเว็บ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

AU Fic Attack on Titan [Levi x Eren] Treasure : 01



S. AU Fic Attack on Titan [Levi  x Eren] Treasure
Romantic  action  Period Fantasy
NC (แบบอ่านได้ไม่จำกัดอายุ กรั่กๆ)  
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ เหตุการณ์และช่วงเวลาในฟิคเรื่องนี้เกิดจากประวัติศาสตร์จริงผสมผสานกับจินตนาการของผู้เขียน ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ


Treasure



ตอนที่1





          เสียงฝีเท้าม้าดังหนักแน่นเป็นจังหวะ ควบทะยานตัดสายลมในทุ่งหญ้าอย่างสง่างามด้วยพละกำลังอันไม่ธรรมดา แผงขนสั้นละเอียดปกคลุมกล้ามเนื้อหนั่นแน่นเป็นสีดำขลับ มันวิ่งเช่นนี้มาหลายชั่วยามแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหอบเหนื่อยแม้แต่น้อย มีเพียงเหงื่อกาฬที่ซึมชุ่มช่วยขับเน้นให้ทั้งร่างของอาชาตัวนี้ยิ่งเต็มเป็นด้วยความแข็งแกร่ง

            เช่นเดียวกับผู้ที่เป็นเจ้าของมัน บุรุษวัยสามสิบต้น รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่ทว่ากลับดูกร้าวแกร่ง เขาอยู่ในอาภรณ์สีดำสนิททั้งกาย ผ้าคลุมโบกสะบัดตามแรงลมคล้ายจะย้อมพื้นที่ที่พัดผ่านให้มืดราวรัตติกาล ดวงตาสีเถ้าถ่านนั้นคมกริบคล้ายไม่ใช่ดวงตามนุษย์ ใบหน้าคมคายรูปสลักไม่แสดงอารมณ์ใดยิ่งทำให้กลิ่นอายที่อาบรอบกายเขามีเพียงแต่ความดุดันโหดร้ายอยู่ทุกอณูดูราวกับเทพแห่งความตายก็ไม่ปาน

            แม้ม้าจะวิ่งอย่างโลดโผนเท่าใดแต่ถ้าสังเกตให้ดีแล้วมันกลับออมแรงเอาไว้ถึงสี่ส่วน เช่นเดียวกับบุรุษผู้เย็นชาน่าเกรงขามแต่การกระทำกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเมื่อมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้กุมบังเหียนกำลังโอบรอบเอวเล็กๆของเด็กชายวัยแปดขวบคนหนึ่งเอาไว้ด้วยท่าทีทะนุถนอมยิ่ง ส่วนเจ้าเด็กน้อยก็เอนหลังพิงกับอกเขา สูดกลิ่นดินกลิ่นหญ้าอย่างสบายใจและ...


            อ่านหนังสือ!


            ชายหนุ่มหลุบตามองเจ้าเด็กในอ้อมแขนแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เด็กประหลาดนี่มีอย่างที่ไหนเอาหนังสือขึ้นมาอ่านบนหลังม้าของเขาแล้วทำเหมือนกับว่าต่อให้ตายก็ไม่มีทางร่วงลงไปเสียอย่างนั้น คิดถึงตรงนี้แล้วคนบังคับม้าก็รู้สึกอ่อนใจ อยากจะแกล้งควบให้มันเร็วกว่านี้ก็ทำไม่ลง ได้แต่เกร็งกล้ามเนื้อแขนโอบกระชับร่างน้อยให้แน่นเข้าเมื่อม้าทะยานฝีเท้าลงเนิน

            พามาเที่ยวไกลขนาดนี้ ยังจะอ่านหนังสืออีกหรือ


            ...ไหนว่าจะคุยกันให้หายคิดถึงไง


          ชั่ววินาทีที่ความน้อยเนื้อต่ำใจแบบเด็กๆพุ่งทะลุเพดานอารมณ์ มือแกร่งก็กระชากสายจูงให้หยุดกะทันหันที่กลางทุ่งกว้าง เจ้าม้าตัวสูงใหญ่อารามตกใจยกขาหน้าขึ้นตะกายอากาศหวีดร้องเสียงแหลม เจ้าเด็กน้อยที่อยู่ในสมาธิจดจ่อกับเนื้อหาบนกระดาษสะดุ้งสุดตัวร้องเหวอเมื่อร่างกายเสียสมดุลลื่นไถลเทหลังไปตามแรงโน้มถ่วง หัวใจเต้นกระหน่ำแทบตีลังกา จนกระทั่งแผ่นหลังเล็กจ้อยนั้นปะทะกับแผงอกกว้างของใครบางคน อ้อมแขนทั้งสองโอบรอบร่างเขาแล้วดึงกระชับไว้แน่นหนาเสียจนจมอก

            สัมผัสอบอุ่น กลิ่นกายที่คุ้นเคย กับเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่นคงที่ดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน ออกจากหนังสือ ออกจากโลกส่วนตัวทุกอย่าง

            เหมือนโดนทวงสติว่าตอนนี้กำลังอยู่กับใคร

            ว่าแล้วเด็กน้อยก็มุ่ยหน้า หันกลับไปโวยวายใส่ผู้ใหญ่ขี้รังแก

            “ท่านอา! ท่านทำอะไรเนี่ย ข้าอ่านหนังสืออยู่นะ!

            “เจ้าจะอ่านทำไม เกิดตกลงไปจะทำอย่างไร” คำถามห้วนๆถามออกมาสองประโยคติดด้วยน้ำเสียงดุจัดทำให้เด็กน้อยย่นคอหนี แต่กลับยิ้มกว้างทะเล้น

            “ท่านอาไม่ปล่อยให้ข้าตกลงไปหรอกน่า ข้ามั่นใจ”

            เจ้าเด็กนี่...

            “แล้วอ่านอะไรนักหนา”

            “จะอะไรซะอีก พรุ่งนี้ข้ามีสอบข้อเขียนนี่ สงครามระหว่างจักรวรรดิอะคีเมนิคกับนครรัฐกรีก นี่นะข้าต้องท่องให้หมดทุกยุทธการ ทุกรูปขบวน ข้าอ่านถึงรูปขบวนฟาแลงซ์แล้ว กำลังเข้าถึงอารมณ์อย่างกับไปยืนถือโล่ถือหอกกับเขาเลย ท่านก็ทำข้าตกใจเสียก่อน” เด็กน้อยเบ้ปาก ดวงตาสีเขียวคู่โตค้อนขวับ บ่นอุบอิบ “ความรู้กระเด็นหายหมดเล่า นี่ถ้าข้าสอบตกนะ ท่านพ่อไม่ปรานีข้าแน่ ตะเพิดข้าไปอ่านตำราในถ้ำน้ำตก ที่นั่นทั้งหนาวทั้งอับชื้น ทีนี้ไม่ตายก็ไม่โต”

            ฟังเสียงเด็กวัยไม่ถึงสิบขวบตัดพ้อชีวิตแล้วคนเป็นผู้ใหญ่ถึงกับปวดหัวขึ้นมาดื้อๆ        

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่อ่านหนังสืออยู่บ้าน จะเสียเวลาออกมากับข้าทำไม” น้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบเป็นนิจของผู้เป็นอามีกระแสของความแง่งอนแฝงมาไม่น้อย แต่ด้วยความไร้เดียงสาของเด็กแปดขวบ...ไม่สิ ไม่ใช่ไร้เดียงสาแต่หัวสมองช้ากับเรื่องอื่นยกเว้นตำราพิชัยสงคราม ไอ้หนูนี่คงรู้สึกหรอก

เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ถามด้วยน้ำเสียงติดจะล้อ

“ถ้าข้าไม่ออกมาด้วย ท่านอายอมหรือ”

“ก็รอเอาไว้เจ้าสอบเสร็จก่อนก็ได้”...เขาไม่พูดง่ายๆหรอกว่า ไม่ยอมน่ะ

“แหม่ ทำเหมือนตัวเองว่างจัด” ศอกน้อยกระทุ้งเข้าที่ท้องแข็งเบาๆ ใบหน้าอ่อนวัยคลี่ยิ้มจางประหลาด ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยทอประกายความเฉียบคมด้วยสติปัญญาจนผู้มองอดขนลุกไม่ได้

“พรุ่งนี้ท่านต้องไปอาณาจักรแฟรงก์กลาง ลืมแล้วหรือไร”

ใช่ เขาไม่ลืม นั่นเป็นหน้าที่

ใบหน้าคมคายโน้มลง แนบศีรษะตนเขากับขมับอุ่นของคนในอ้อมแขน ลมหายใจร้อนๆเป่ารด หลับตาลงราวกำลังสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า ก่อนเสียงนุ่มทุ้มจะเอ่ยเอ่ยคำเดิมช้าๆชัดๆชิดริมหูบางใสของเด็กน้อย

“ชัยชนะต้องเป็นของจักรวรรดิ”

นับครั้งนี้แล้วน่าจะเป็นครั้งที่ร้อยกว่าได้ แต่เขาก็กลับพูดคำเดิมด้วยน้ำเสียงแบบเดิมความหนักของถ้อยวาจาเช่นเดิม กรอกลงไปคล้ายจะให้เป็นคำสาบานจดจารึกระหว่างเขาทั้งสอง เด็กตัวน้อยจะนิ่งไปสักครู่ก่อนจะหัวเราะเสียงใส หันกลับมามองหน้าเขา แล้วฉีกยิ้มจนแก้มฟู

“แน่นอนอยู่แล้ว ท่านอารีไวของข้าเก่งซะอย่าง!

รอยยิ้มของเด็กน้อยสว่างจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามบ่าย ชายหนุ่มมองภาพเบื้องหน้าอย่างพร่าเลือนจนมุมปากเขาต้องยกขึ้นจางๆ นัยน์ตาคู่คมทอดทอกระแสอ่อนโยน สีหน้าเช่นนี้นับว่าผิดวิสัยเจ้าตัวยิ่ง มีเพียงเด็กคนนี้เท่านั้นที่มีโอกาสได้เห็นมัน

เขาไม่รู้ ว่านักรบคนอื่นจะเชื่อว่ารอยยิ้มของเทพธิดาแห่งชัยชนะศักดิ์สิทธิ์เท่าใด

แต่สำหรับเขา เขาศรัทธาเพียงแค่รอยยิ้มของเด็กคนนี้เท่านั้น

“ท่านอา”

“อะไร”

“ท่านก็ยิ้มเป็นนี่”

คนสูงวัยกว่าขมวดคิ้ว “แล้วใครบอกว่าข้ายิ้มไม่เป็น”

“ชาวบ้าน” เด็กน้อยตอบทันที ว่าแล้วก็กลอกตาคิด “แม้แต่ท่านพี่มิคาสะก็บอกว่าท่านไม่เคยยิ้ม”

รีไวถอนหายใจกับคำอธิบาย กดดวงตาคมดุมองเจ้าเด็กดื้อในอ้อมแขน เสียงทุ้มต่ำฮึดฮัดขึ้นมาเพราะความไม่ชอบใจ

“เจ้าเชื่อข้าหรือว่าเชื่อชาวบ้าน”

“ไม่อ่ะ ข้าเชื่อตัวเอง”...อ้าว?

“ข้าเชื่อในสิ่งที่ข้าเห็น ท่านอายิ้มให้ข้าเห็น เพราะฉะนั้นข้าถึงเชื่อว่าท่านอายิ้มเป็น”

ให้ตายสิ...

“ข้าก็คนนะ เด็กน้อย” ...มนุษย์หากมีความสุข...ก็ต้องยิ้มแย้ม

“ท่านเป็นคนที่ไหนกัน!” เด็กน้อยแย้งวับ เขาเลิกคิ้ว

“ทีนี้ก็เชื่อตัวเองอีกหรือ”

“แน่นอน ไม่เชื่อตัวเอง ข้าจะกล้าพูดหรือ ว่าท่านไม่ใช่คน เพราะอย่างนี้แหล่ะ ท่านอาของข้าถึงได้สุดยอดที่สุด!

เห็นเด็กน้อยละเมอเพ้อพกเขาก็ไม่อยากเถียงมัน เขาย้อนกลับมาเรื่องเดิม น้ำเสียงยังคงขุ่น

“ตกลงจะเอาเช่นไร กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยไหม วันหน้าถ้าไม่ว่างก็บอกข้าสิ”

“ไม่เอา ข้าจะปฏิเสธน้ำใจของท่านอาได้อย่างไร ท่านเพิ่งกลับมาจากศึกแมกยาร์ที่เลคฟิลด์ เสร็จศึกก็ไม่กลับบ้านกลับช่องวิ่งโร่มาหาข้าถึงบ้านทั้งที่ยังขี่ม้าศึก หากข้าไล่ตะเพิดท่าน สวรรค์มิสาปแช่งโทษฐานรังแกผู้อาวุโสรึ! โอ๊ย!” คนเป็นอาทนไม่ไหวดึงแก้มเด็กน้อยช่างจ้อนั้นไปหนึ่งที เรื่องนี้อย่างให้คนอื่นได้รู้เลย ภาพลักษณ์เขาได้ป่นปี้แน่หากได้รู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิเอลเดียนั้นพอเสร็จศึกสงครามต้องมาหาเด็กผู้ชายคนหนึ่งถึงบ้านทุกครั้งด้วยเหตุที่ว่า...คิดถึงจนแทบทนไม่ไหว

แต่เขาไม่เคยพูดให้เอเลนได้ยินหรอกนะ คำนี้น่ะ ทุกครั้งจะปล่อยให้อ้อมกอดแน่นๆรวบเด็กน้อยของเขาเอาไว้กับอกเป็นตัวบอกทุกอย่าง แต่ก็อย่างที่พูดไป ถ้าไม่ใช่เรื่องตำราพิชัยสงครามกลยุทธ์นักรบสปาร์ตัน เอเลนไม่มีทางเข้าใจ ยังไม่เข้าใจคำพูด ไม่เข้าใจสายตา ไม่เข้าใจความหมายของอ้อมกอด เป็นเด็กที่ซื่อบริสุทธิ์จริงๆ

เขาก็ได้แต่หวัง...ว่าให้เจ้าหนูนี่รีบๆโตหน่อย

คนเป็นเด็กลูบแก้มป้อย ช้อนดวงตากลมโตมองเสี้ยวใบหน้าคมคายของคนที่นั่งซ้อนหลังตนแล้วอมยิ้ม ซ้ำกระตุกชายเสื้อยิกๆเป็นเชิงงอนง้อ

“ท่านอา ท่านอย่าโกรธข้าน่า ข้าล้อเล่น ที่จริงแล้วข้าอยากมาขี่ม้ากับท่านนะ โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านกลับมาจากสนามรบ”

ชายหนุ่มคิดตามแล้วชะงักไป ใจเกิดความสงสัยขึ้นมาเช่นเดียวกัน ทุกครั้งหลังจากที่เขาเสร็จภารกิจรบ เขาก็มักจะถูกเจ้าเด็กคนนี้อ้อนให้พาไปขี่ม้า แล้วทุกครั้งเอเลนจะเลือกสถานที่ มักเป็นทุ่งกว้างสงบเงียบ ไม่ใช่ตลาดจอแจ หรือริมชายหาดอย่างที่เด็กวัยนี้มักชมชอบไปกัน

“เพราะเหตุใด” ในที่สุดเขาก็ถามออกไป แต่แทนที่จะได้ยินคำตอบ เด็กน้อยในอ้อมแขนกลับเอนกายลงพิงกับอกเขา ตะแคงหัวทุยๆนั้นเข้าซุกราวกับลูกนกที่หาไออุ่น ศีรษะครึ่งหนึ่งแนบกับแผ่นอกเขาจนไม่มีช่องว่าง ดวงตาสีขี้เถ้าเบิกกว้าง ลมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ มือไม้ที่ธรรมดาแล้วใช้การได้คล่องแคล่วแข็งแรงคล้ายจะเป็นอัมพาตเสียดื้อๆ

“เด็กน้อย?

“ก็เพราะตรงนี้ได้ยินเสียงชัดดี” คำตอบที่ส่งผ่านมาทำให้รีไวนิ่งอึ้งไป หลุบตาลงมองเจ้าตัวจ้อยที่ยังคงหลับตาพริ้มแนบหูกับอกของเขา นั่นสินะ รีไวเพิ่งจะคิดได้ แม้ว่าเขาจะเก่งกาจกว่าคนทั่วไปมากนัก แต่ก็ไม่ได้เป็นอมตะ หน้าที่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้พร้อมพรากลมหายใจของตนเองไปได้ทุกเมื่อ แล้วถ้าหากวันนั้นมาถึง เขาก็คงจะยินยอมรับมันได้ เพียงแต่เด็กคนนี้ คนที่อยู่ในอ้อมแขนนี่ คนที่ติดเขาเสียยิ่งกว่าครอบครัวแท้ๆของตัวเอง...จะยอมรับมันได้ไหม

เพราะอย่างนั้นเพื่อความสบายใจเอเลนถึงได้รบเร้าให้เขาพามาขี่ม้า พิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเขายังมีชีวิตอยู่โดยการนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เขาที่สุด และฟังเสียงสัญญาณการดำรงชีพที่มันเต้นเป็นจังหวะอยู่ภายในร่าง

หึ ก็มีมุมที่น่ารักไม่เลวนี่นา เจ้าเด็กดื้อ...

“เสียงหัวใจ?


“เปล่า เสียงปอด”
...อ้าว?

“สมรภูมิที่ผ่านมาเป็นป่าดิบชื้น ท่านรู้ไหม ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นปอดบวมจะแย่ แถมท่านอายังดื้ออย่างกับวัวแบบนี้คงไม่ยอมไปให้หมอตรวจล่ะสิ ข้าถึงได้ล่อท่านออกมาขี่ม้าแล้วเงี่ยหูฟังเสียงอากาศที่ผ่านเข้าออกปอดของท่านอยู่นี่อย่างไร! ท่านรู้ไหม ถ้าท่านเป็นปอดบวมนะ ปอดท่านจะดังกรอบแกรบ ถึงท่านจะร่างกายแข็งแรง แต่เกิดติดเชื้อซ้ำซ้อนขึ้นมามันก็อันตราย!

“เช่นนั้นหรือ” รีไวรู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่น แล้วก็มีเพียงขบฟันเพิ่มไปด้วย “แล้วสรุปปอดข้ายังดีอยู่หรือไม่เล่า”

“ลมหายใจผ่านเข้าออกสะดวก สบายหายห่วงขอรับ!” เด็กน้อยตอบเสียงใสซ้ำยังเคาะหน้าอกเขาด้วยเป็นการยืนยัน “แต่ว่าท้องของท่านกลับไม่สู้ดีเท่าไหร่ ข้าได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของลำไส้ที่ผิดปกติ ข้าขอวินิจฉัยเบื้องต้นว่าท่านอาจจะติดพยาธิ”

พยาธิ!?

“ท่านอา...” เอเลนลากเสียงด้วยความเอ็ดหนาระอาใจ ส่งเสียงในลำคอจึ๊กจั๊กนิ้วชี้เล็กๆกระดิกไปมาเหมือนผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็กน้อย “ข้าเตือนท่านแล้วอย่างไรว่าป่าดิบชื้นนี่มันเป็นแหล่งพยาธิชุกชุม ก่อไฟก็ไม่ค่อยจะติด อาหารก็ปรุงสุกๆดิบๆ มันถึงได้ออกลูกออกหลานเริงร่าเต็มไส้ท่านแบบนี้ กลับบ้านไปข้าจะเอายาถ่ายพยาธิให้ รับประทานให้ครบอย่างเคร่งครัด เข้าใจไหมขอรับ”

“...”

“ข้าถามว่าเข้าใจหรือไม่ท่านอา!

“เข้าใจแล้ว”


นี่เป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่เหมือนจะเป็นการพักผ่อนอันแสนสบายในวันที่ท้องฟ้าโล่งโปร่งของอาหลานคู่หนึ่ง จากนั้นคนเป็นอาจะพาเด็กน้อยให้ตรงเวลาอาหารเย็น อยู่ทักทายพ่อแม่เด็กสักครู่ยามและขอตัวกลับพร้อมกับยาถ่ายพยาธิหลายแขนงที่ทางบ้านของเด็กน้อยให้ไปโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่แดงเดียวถึงแม้ว่าชายหนุ่มผู้ป่วยจะยืนยันก็เถิดว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่ง เคมีสภาพในระบบทางเดินอาหารหฤโหดกว่ามนุษย์เดินดินทั่วไปนัก ไม่นานเหล่าปรสิตตัวจ้อยก็คงตายสิ้นโดยไม่ต้องพึ่งพากระสัยยาแต่อย่างใด แต่สุดท้ายก็โดนเด็กแปดขวบดุมาอีกหนึ่งคำรบ

กว่าน้ำย่อยท่านจะฆ่ามันตายก็อีกตั้งสามวัน ยาของตระกูลข้าช่วยท่านได้ภายในครึ่งชั่วยาม ถ้าท่านไม่กินยา ท่านอย่าหวังเลยว่าท่านจะชนะศึกแฟรงก์กลาง ได้นอนซีดอยู่ในกระโจมแน่!’

หลังจากนั้นเด็กน้อยก็ทราบดีว่าท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิเอลเดียนั้นกินยาอย่างเคร่งครัด เช้ามืดวันรุ่งขึ้นเขาถึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่คุ้นเคยทั้งๆที่ยังนอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียงนอน รับรู้ถึงเสียงโลหะกระทบกันแผ่วเบาเป็นเครื่องหมายว่าท่านอาของเขาอยู่ในชุดเกราะครบครัน รับรู้ถึงกลิ่นอายกร้าวแกร่งของนักรบตะวันตกโบราณเต็มยศที่ย่างเท้าเข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบคล้ายจะไม่ต้องการรบกวนนิทราแสนหวาน จากนั้นก็รับรู้ถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวกว่าคนปกติและสัมผัสหนักอุ่นบนเนินหน้าผาก ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกๆครั้งราวกับว่าเป็นธรรมเนียมก่อนออกรบของชายหนุ่มไปเสียแล้ว

“ขอชัยชนะให้แก่ข้า” เมื่อพูดประโยคนี้ เสียงทุ้มต่ำนุ่มลึกนั้นมีมนต์ขลังยิ่งกว่าคราใด

เด็กน้อยยิ้มตอบรับทั้งที่ยังหลับตา พึมพำออกมาราวละเมอ

Victoriosa Draco

เป็นมนต์ภาษาโบราณบทหนึ่ง เมื่อกล่าวจบไม่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่รีไวกลับศรัทธามันและเทิดทูนไว้ยิ่งกว่าชีวิตตน เขาบรรจงประทับจุมพิตที่หน้าผากเด็กน้อยอีกครั้ง แล้วผละออกไปโดยทิ้งกลิ่นอายความมุ่งมั่นเอาชัยไว้ให้สัมผัส

มนต์นั้นประสิทธิ์ประสาทผลในอีกไม่กี่เดือนต่อมา จักรวรรดิเอลเดียมีชัยชนะเหนืออาณาจักรแฟรงก์ แผ่ขยายอาณานิคมไพศาลชื่อเสียงเกียรติยศเกรียงไกรราวกับจะกลืนกินทุกพื้นที่ของยุโรปกลาง เพียงแต่ไม่น่าเชื่อว่าการขยายดินแดนอย่างรวดเร็วชั่วเวลาไม่กี่ปีนั้นขับเคลื่อนโดยแกนนำของคนเพียงตระกูลเดียว ตระกูลที่บ้างเชื่อว่าเป็นตระกูลเทพสถิตดลบันดาลให้ผู้สืบสายเลือดนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในแผ่นดิน มีสติปัญญาเฉียบแหลม ชำนาญการรบ สยบทุกสมรภูมิไม่ว่าศึกทางบก เวหา หรือนาวี พละกำลังที่เหนือผู้ใดเป็นดั่งโล่แห่งจักรวรรดิ ดำรงรักษาอาณาเขตพื้นที่นี้มานานนับสหัสวรรษ

แต่บ้าง...ก็ถูกเรียกว่าตระกูลที่ถูกปิศาจสิง ความเฉียบขาดไร้ปราณีของพวกเขานั้นเกินกว่าจิตใจของมนุษย์ โหดเหี้ยมและเลือดเย็นกับศัตรู เฉยชาจนอาจเรียกได้ว่าไร้หัวใจ กลิ่นอายที่อาบไล้คนในตระกูลนั้นมีเพียงกลิ่นของความกระหายเลือดเข้มข้น จนแม้กระทั่งคนในจักรวรรดิเองยังหวาดกลัว มิมีใครกล้าพูดคุยหรือแม้แต่จ้องตากับพวกเขาแม้เพียงคนเดียว

นั่นคือตัวตนของตระกูลนักรบที่แกร่งที่สุดในจักรวรรดิ

ตระกูลแอ็คเคอร์แมน

โดยเฉพาะผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน วีรบุรุษที่ถูกยกย่องว่าเป็นวิญญาณจุติของเทพสงคราม แม่ทัพผู้ไร้พ่ายที่พันปีจะมีสักคน

รีไว แอ็คเคอร์แมน










            เอี๊ยะ!

            เสียงร้องของเหยี่ยวตัวหนึ่งดังก้องขณะที่บินโฉบเข้ามาแล้วร่อนลงกับแขนของเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่ยืนรอมัน กรงเล็บแหลมคมขยุ้มเข้ากับปลอกแขนนั้นอย่างนุ่มนวลสมที่ถูกฝึกมาอย่างดี เอเลนยิ้มกว้างพร้อมแกะข้อความออกมาจากขาแข็งแรงของเจ้าเหยี่ยว นิ้วเรียวเกาหัวมันที่กำลังไซร้ออดอ้อนแทนคำชมแล้วสะบัดมืออีกครั้งให้เจ้าเหยี่ยวโผบิน

            เด็กหนุ่มแกะกระดาษม้วน อ่านข้อความเพียงประโยคเดียวที่เขียนอยู่กึ่งกลางด้วยลายมือเฉียบคมแกร่งกร้าว เพียงแค่เห็นก็ทราบได้ว่าตัวอักษรนี้แทนนิสัยผู้เขียนจนหมดจนสิ้น

            ขอโทษด้วย ยังกลับไม่ได้

            เด็กหนุ่มมีสีหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายเย็นชา แต่อุ้งมือนั้นขยำกระดาษจนพริบตาเดียวเหลือเพียงก้อนกลมๆ เอเลนเริ่มหัวเราะเหอะๆในลำคอ มุมปากกระตุกยิกๆ จนสุดท้ายไม่ไหวตะโกนมันออกมาลั่นดาดฟ้าหอคอยของคฤหาสน์ตระกูลเยเกอร์!

            “นี่มันสิบสองปีเข้าไปแล้วนะ ท่านมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนหา! ท่านอา!!

          ไม่ผิดเพี้ยน! เป็นเวลากว่าสิบสองปี สิบสองปีเข้าไปแล้ว ที่คนแก่บ้างานบางคนไม่กลับสู่นครหลวงจักรวรรดิ ครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสพบหน้าท่านอาที่เคารพรักนั้นไม่ใช่เมื่อใด ก็เป็นเมื่อก่อนที่ท่านจะไปรบกับแฟรงก์กลาง หลังจากนั้น รีไว แอ็คเคอร์แมนกับกองทัพหลวงไม่เคยกลับคืนสู่มาตุภูมิอีก ส่วนภารกิจรบนั้นรึ มีเพียงหนังสือที่ส่งกลับมาทูลถวายให้กษัตริย์ฟริทซ์ทราบว่าได้รับชัยทุกสมรภูมิ ที่ไม่ได้เคลื่อนทัพคืนจักรวรรดิเพราะต้องการตั้งป้อมปราการอยู่ชายแดน เหตุเพราะกลัวจะมีศัตรูคิดโจมตีจักรวรรดิอีกครั้ง

            ด้วยเพราะเป็นแอ็คเคอร์แมน วีรบุรุษผู้เป็นเสาหลักของบ้านเมืองทำถึงเพียงนี้แล้ว ผู้เป็นกษัตริย์ที่นั่งเฝ้าบัลลังก์จะคิดคัดค้านสิ่งใดได้ รับทราบอนุมัติซ้ำยังออกพระโอษฐ์เองว่า เอาเถิด ท่านนักรบผู้ประเสริฐ ท่านประสงค์สิ่งใดท่านก็ทำ ส่วนขุนนางข้าราชบริพารนั้นเล่าจะมีปากมีเสียงใด ลำพังจะสบตาท่านแม่ทัพผู้นั้นเพียงชั่ววูบยังหวาดกลัวเสียจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จึงได้แต่พยักหน้าสรรเสริญบูชา เชื่อทุกลมปากท่านนักรบผู้ประเสริฐนั่น

            แต่ เอเลน เยเกอร์คนนี้ไม่มีทางเชื่อ!

นี่ท่านเห็นข้าอายุเท่าใดถึงได้เขียนจดหมายโป้ปดมดเท็จมาหาข้า ประทานอภัยเถอะ! แรกๆมันก็พอจะฟังขึ้น แต่เวลาล่วงมาป่านฉะนี้แล้วต่อให้เป็นข้าตอนแปดขวบ ข้าก็ไม่มีทางเชื่อ! หายไปสิบสองปีนี่มันเรียกว่าสาบสูญชัดๆ!

            เอเลนเดินลงบันไดลงมาด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก ท่านอาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ศึกใหญ่ รับมือยากเพียงไหน ไปนานปีย่อมมีพักรบแล้วกลับมาบ้าน การตั้งทัพรบกันแถบชายแดนนั้นข้อจำกัดมีมากมาย ทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปทุกฤดู เสบียง การแพทย์และหยูกยา อย่างมากที่สุดไม่เกินห้าหกปีก็ต้องมีทหารทยอยกลับมารักษาตัวหรือขอเสบียงบ้าง ไม่มีส่งข่าว ไม่บอกพิกัด บอกแค่ว่ายังกลับไปไม่ได้ ซ้ำบางครั้งยังขู่อีกว่าห้ามตามหา ถ้าไม่เชื่อฟังจะโดนดุ

            เอเลนถึงกับเลิกคิ้ว

            ท่านจะดุข้าเช่นไรข้าก็อยากจะรู้ ตั้งแต่ข้าเกิดมาแค่โดนท่านงอนตุ๊บป่องไม่พูดด้วยเกินครึ่งชั่วยามก็มหัศจรรย์พันลึกแล้ว

            ใช่ ท่านอาใจดีกับเขามาก มากเสียจนบางทีเขาก็ลืมไปเสียสนิทว่าแท้จริงแล้วท่านยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเพียงใด

            เขาไม่ทราบว่าเขารู้จักท่านอาตอนไหน เพราะตั้งแต่จำความได้ท่านอาก็เข้าออกบ้านเขาเสียจนเหมือนบ้านตนเอง ที่เรียกว่าท่านอาก็เพราะความคุ้นเคยราวคนในครอบครัว ถึงจะอายุน้อยกว่าพ่อเขามาก แต่ก็อาวุโสเกินกว่าจะเรียกพี่ได้ ยิ่งเจ้าตัวชอบทำตัวเคร่งขรึมเขาก็เลยเรียกว่าท่านอาได้อย่างไม่กระดาก ผิดกับน้องสาวแท้ๆที่ดูจะหลงวัยกับพี่ชายพอสมควร พี่มิคาสะอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี แต่นิสัยนั่นถอดแบบรีไวมาไม่ผิด แม้จะมีใบหน้าที่สวยคม แต่เธอรั้งตำแหน่งถึงรองแม่ทัพและผู้ฝึกสอนทหารของกองทัพหลวงที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุร้าย

            เขามั่นใจว่าใช้คำไม่ผิด ท่านพี่มิคาสะดุร้ายจริงๆ เขาเห็นมาแล้วกับตา

ตระกูลเยเกอร์กับตระกูลแอ็คเคอร์แมนนั้นสนิทกันทั้งๆที่ดูแล้วไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยแม้แต่น้อย เยเกอร์คือสายเลือดนักปราชญ์แห่งแผ่นดิน ทั้งจักรวรรดิเอลเดียอันศักดิ์สิทธิ์หรือเผ่าใหญ่ทั้งสี่ไม่มีใครที่จะแตกฉานสรรพสิ่งเทียบเคียงตระกูลเยเกอร์จนกระทั่งจอมปราชญ์คริชา พ่อบังเกิดเกล้าของเขาคืออัครเสนาบดีที่กษัตริย์ฟริทซ์ไว้วางใจมากที่สุด คฤหาสน์แห่งเยเกอร์มีหนังสือนับหมื่นเล่ม ห้องทดลองอีกหลายสิบ เรือนกระจกและแหล่งอนุบาลสัตว์ หากบอกว่าศาสตร์ทั้งหมดที่จักรวรรดิเอลเดียมีนั้นอยู่ที่เยเกอร์ ก็ไม่ใช่ประโยคที่ผิดอันใดนัก

พวกเขารอบรู้...เสียจนมีผู้ขนานนามว่า พ่อมด

เอเลนไม่นึกตลกกับฉายานั่น เพราะเยเกอร์คือผู้สืบสายเลือดจอมเวทย์เสียจริงๆ เรื่องนี้เขายินยอม และยอมรับมันได้ตั้งแต่อายุห้าขวบ หลักฐานก็คือห้องหนังสือชั้นใต้ดินที่ใหญ่ยิ่งกว่าห้องสมุดประจำตระกูล ที่แห่งนั้นบรรจุไว้ด้วยคัมภีร์อักขระโบราณ รูปวาดพิลึกกึกกือ ห้องทดลองและห้องปรุงยา พ่อไม่ค่อยได้เปิดบ่อยนัก พ่อบอกว่าเวลาล่วงจนมาจนพวกผู้ใช้เวทย์มนต์ต่อสู้กันได้ทยอยลดน้อยลงไปทีละตระกูลสองตระกูล สาเหตุไม่ใช่เรื่องยากนัก นั่นคือการใช้เวทย์ในทางที่ผิด พวกเขาจึงถูกทวงเอาอำนาจคืนจากปิศาจผู้ทำสัญญาไปพร้อมกับชีวิต เพราะฉะนั้นในปัจจุบันพ่อมดจัดว่าเป็นอาชีพที่ไม่เป็นที่นิยมนัก ทำตัวเป็นปราชญ์ยังทำคุณให้แผ่นดินได้อีกมาก หนังสือเวทย์มนต์พวกนี้เลยกลายเป็นหนังสือนิทานอ่านก่อนนอนของเอเลนไปเสีย

แล้วถามว่าตอนนี้นั้นเยเกอร์สามารถร่ายมนต์ เสกวัตถุ สาปสิ่งของได้สมกับเป็นสายเลือดของพ่อมดไหม ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านปู่ ท่านย่าและท่านพี่ซีคทำได้อย่างแน่นอน เพียงแต่พวกเขาไม่ค่อยจะใช้สักเท่าไหร่นัก ส่วนตัวเอเลน เยเกอร์ ผู้สืบสายเลือดคนสุดท้องของตระกูลนั้นหรือ

เพียงแค่ทำให้วัตถุลอย เขายังทำไม่ได้เลย...

เป็นคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง!

เพราะฉะนั้นแม้เอเลนจะอ่านตำราเวทย์จนจำคาถาได้ครบทุกบท แต่เขาก็ไม่เคยใช้มันได้ ถึงกระนั้นคนในตระกูลทุกคนกลับไม่เคยเห็นเรื่องนี้เป็นจุดด่างพร้อยแต่อย่างใด พวกท่านยังคงรับเขาเป็นลูกเป็นหลาน ดูแลด้วยความรักไม่เฉดหัวทิ้ง และไม่มีปาฏิหาริย์เหมือนดั่งเทพนิยายด้วยว่าแท้จริงแล้วเขามันเสือซ่อนเล็บ ประเภทพลังยังไม่กำเนิดอะไรประมาณนั้น แต่ดันเป็นเสือเล็บกุดตั้งแต่เกิด ท่านพ่อถึงกับเคยเบิกเนตรเพ่งญาณหาจุดกำเนิดพลังเวทย์ในตัวเขา หาอยู่ค่อนคืนท่านก็ปาดเหงื่อแล้วบอกว่าขุมพลังเขานั้นมันโบ๋!

            ก็เพราะอย่างนั้น เขาถึงตั้งใจอุดรูรั่วของตนเองเสีย คนเราใครจะดูถูกได้ถ้าหากมีวิชาเสียอย่าง หนังสือทุกเล่ม คัมภีร์ทุกม้วนในคฤหาสน์แห่งนี้ ไม่มีเล่มไหนที่เอเลน เยเกอร์ยังไม่เคยอ่าน เขาอ่านพวกมันได้ทั้งวันทั้งคืนจนกลายเป็นพวกหนอนหนังสือ เข้าออกเรือนกระจกจนเป็นเหมือนห้องส่วนตัว นั่นเพราะสนใจในศาสตร์สมุนไพรและพืชยาเป็นพิเศษ รวมถึงสัตว์ในอาคารอนุบาล ทั้งหมดนั้นเป็นสัตว์มายาในตำนาน สัญลักษณ์ของความดุร้ายแข็งแกร่งคู่บารมีพ่อมดผู้ทรงอิทธิฤทธิ์แห่งเอลเดีย


            ...มังกรสิบสายพันธุ์...


            สัตว์เวทย์ประจำตระกูลเยเกอร์


            เพราะฉะนั้นจะมีใครรู้เรื่องมังกร ควบคุมมังกรไปได้ดีกว่าตระกูลเยเกอร์นั้นไม่มี ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เบาะแสท่านอา ต่อให้ขี่มังกรออกร่อนตามหาทั่วทั้งเอลเดีย เขาก็จะทำ!

            “ท่านพี่! ข้าขอยืมตัวแซร์อิซ” เอเลนพุ่งถลาเข้าไปในห้องหนังสือที่เขาคิดว่าพี่ชายตนเองน่าจะกำลังช่วยสะสางงานของพ่ออยู่ เพียงแต่ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป ซีคไม่ได้อยู่ตามลำพัง พ่อของเขาก็อยู่ด้วย

            “เจ้าจะให้แซร์อิซพาไปไหน ถ้าเป็นเรื่องที่จะไปตามหาลอร์ดแอ็คเคอร์แมน พี่คงไม่อนุญาต” ซีคว่าดักทางอย่างชัดเจน มุมปากเขามีรอยยิ้มจางๆก่อนจะก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารต่อ เอเลนเหลือกตาเป่าลมออกจากปาก เขาพอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากแซร์อิซไม่ใช่มังกรลม เจ้าของสถิติบินเร็วที่สุดในตระกูลซ้ำยังใจดีเป็นที่หนึ่ง เขาคงไม่มาขอร้องพี่ชายตนเองหรอก

            เพราะแซร์อิซ คือสัตว์ตำนานในพันธะสัญญาของซีค ถ้าเขาเดินดุ่มๆไปเรียกมันออกจากคอกมันคงไล่ให้เขากลับมาหาซีคอีกทีแน่ เพราะถึงแม้มันจะใจดี สุขุมแค่ไหน แต่นิสัยที่สำคัญที่สุดคือซื่อสัตย์ มันไม่เคยทำอะไรออกนอกลู่นอกทางคำสั่งซีคสักครั้ง

            เอเลนหันไปหาอีกคน

            “ท่านพ่อ ท่านอากับท่านพี่มิคาสะไม่กลับบ้านมาสิบสองปีแล้ว ท่านไม่คิดว่ามันผิดปกติไปหน่อยหรือ”

            “เขาก็ส่งกลับหมายมาแจ้งแล้วนี่ว่ายังกลับไม่ได้” คริชาก็ไม่ยี่หระ “ก็หรือ...ถ้าเจ้าเป็นห่วงเขาหนักก็เข้าวังไปหากษัตริย์ ทุกจดหมายที่ลอร์ดแอ็คเคอร์แมนส่งมาถวายต้องมีการประทับตราประจำตระกูลของเขา แอ็คเคอร์แมนจะใช้เลือดต่างหมึกเพื่อยืนยันตัวตนว่าไม่ใช่จดหมายปลอมแปลง ที่จริงเจ้าเคยดื้อไปขอสกัดเลือดเขาจากกระดาษมาตรวจแล้วนี่ ก็ยังสบายดีไม่เจ็บป่วยอะไรมิใช่รึ”

            “มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าสุขภาพของเขาแล้วขอรับ” เอเลนว่าขึ้นอย่างจริงจัง “ท่านพ่อทราบไม่ใช่หรือว่าการที่แม่ทัพผู้เก่งกาจไม่กลับเอลเดียถึงสิบสองปีมันหมายความว่าเช่นไร ไม่มีใครคิดหรอกว่าเขาจะบาดเจ็บหรือพลาดท่าถูกศัตรูจับไปกักขัง แต่ถ้าเขาไม่แสดงตัวเลยนั่นมันอาจหมายถึงเขากำลังกบดานและก่อกบฏ”

            เอเลนกดเสียงต่ำลง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขากังวลตั้งแต่ได้รับจดหมายมาโดยตลอด ใช่ แน่ล่ะ ขึ้นชื่อว่าลอร์ดแอ็คเคอร์แมนชายผู้แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ ถึงคนๆนั้นจะเป็นทั้งโล่ทั้งหอกของจักรวรรดิมานานปี แต่ไม่มีใครที่สั่งการเขาได้แม้แต่กษัตริย์ฟริทซ์ กองทัพแบล็กเทียแม็ตนั้นเย่อหยิ่งและเย็นชาพอๆกับความโหดเหี้ยม ไม่มีใครทราบว่าตระกูลนั้นเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิเช่นไร มีค่าพอให้ภักดีหรือไม่ ราวกับว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้นั้นอาศัยเพียงเพราะตนพอใจเท่านั้น

            หากจะเปรียบ...ก็ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่ไร้คนกุมบังเหียน

            ห้องเข้าสู่ความเงียบ คริชาและซีคมองหน้ากัน แต่เอเลนไม่ปล่อยให้ทั้งสองคนได้อ้างอะไรกับเขาอีก

            “ท่านพ่อ ท่านพี่ สิ่งที่มีคุณอนันต์ย่อมมีโทษมหันต์ ถึงจะไม่มีใครกล้าสงสัยแอ็คเคอร์แมน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขาอย่างสุดหัวใจเช่นกัน นั่นคือบาปของผู้ที่แข็งแกร่งเกินไป ลงแบบนี้ท้ายที่สุดพวกเขาจะถูกใส่ร้าย”

            คริชาฟังแล้วพลันมีสีหน้ามืดครึ้ม

            “นั่นคือความคิดเจ้าเองหรือ เอเลน”

            “ไม่ใช่ขอรับ มันเป็นความคิดชาวบ้าน” เด็กหนุ่มตอบเสียงขรึม แล้วยิ้มทะเล้นพร้อมยักคิ้วแผล็บ “ซึ่งท่านทั้งสองก็รู้ว่าข้าไม่เคยเชื่อชาวบ้าน ข้าเชื่อแต่ตัวเอง”

            ทันใดนั้นบรรยากาศหนักอึ้งก็สลายลงพลัน ซีคกับคริชาหัวเราะร่วนตบโต๊ะกันปังๆราวกับว่าโล่งใจอะไรกันหนักหนา

            “ท่านพ่อ ไม่ขำนะขอรับ พี่ด้วยซีค!

            “เจ้านั่นแหล่ะ เรื่องไม่ขำเช่นนี้ก็อย่าได้พูดอีก กับพ่อกับพี่น่ะพอได้ แต่ห้ามให้ลอร์ดแอ็คเคอร์แมนได้ยิน เข้าใจหรือไม่” ซีคส่ายหน้า ทำท่าอิหลักอิเหลื่อแล้วพึมพำเสียงเบา “ไม่อย่างนั้นได้เห็นชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในเอลเดียร้องไห้จริงๆแน่”

            ลองโดนเด็กน้อยที่ตนเองเอ็นดูมาแต่อ้อนแต่ออกไม่เชื่อใจ ต่อให้ใจแข็งแค่ไหน คงได้สลายเป็นเสี่ยง

            “แต่อย่างไรเจ้าไม่ควรไป” คริชายังไม่ใจอ่อน “หากลอร์ดแอ็คเคอร์แมนเคยห้ามเจ้าออกตามหา นั่นก็เพราะมันอันตรายกับเจ้า เขารู้จักเจ้าดีพอๆกับที่พ่อรู้ เจ้าอาจมีวิชาติดตัวมากมาย แต่มันไม่เพียงพอที่จะเอาตัวรอดนอกเมืองหลวง เข้าใจคำพ่อหรือไม่”

            “ข้างนอกนั้นมีพวกใช้เวทย์มนต์หรือ” เอเลนหรี่ตาถามทันที เพียงชั่ววินาทีก็เบิกโพลง ถลาเข้าไปหาพ่อกับพี่ชายจนแทบนอนนาบลงไปกับโต๊ะไม้ “ถ้าเช่นนั้นท่านอาก็กำลังมีปัญหา! เขากำลังไปพัวพันกับผู้ใช้มนตราเช่นนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”

            ซีคกับคริชาลอบส่งสายตาหากันอย่างลำบากใจจะตอบ บางทีพวกเขาก็รู้สึกกลัวเอเลนขึ้นมาตงิดๆ เพราะความไม่มีเวทย์มนต์ เอเลนจึงรักการศึกษาเรียนรู้จากหนังสือเหมือนมนุษย์ทั่วไป เด็กคนนี้เรียนด้วยตัวเอง สังเกตสิ่งรอบกายด้วยตัวเอง และค้นพบศาสตร์ต่างๆด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่มีพลังอย่างพ่อมด แต่เอเลนก็คล้ายจะอ่านใจคนได้จากบริบทรอบข้างภายในเวลาอันรวดเร็ว

            “ก็...ที่พี่กับพ่อคิดมันก็ราวๆนั้น”

            “แล้วยังใจเย็นกันอยู่ได้!” เอเลนร้องแว้ด

            “มันไม่ใช่ว่าใจเย็นนะเอเลน ที่พ่อกับพี่คิดก็แค่สมมติฐานตามสถานการณ์ ลอร์ดแอ็คเคอร์แมนไม่ติดต่อใครทั้งสิ้น เราไม่มีข้อมูลอะไร เราจำเป็นต้องรอบคอบ”

            “ถ้าไม่มีข้อมูล เราก็หาสิขอรับ” เด็กหนุ่มตอบกลับทันที รอยยิ้มกว้างนั้นสว่างไสวเหมือนกับตอนที่เจ้าตัวมักคิดอะไรออกขึ้นมา ไม่รอช้าและไม่รอคำอนุญาต เอเลนหมุนตัวกลับแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป แต่ไม่วายหันกลับมาพูดกับคริชาและซีคด้วยน้ำเสียงร่าเริง เพียงแต่ดวงตากลมสีน้ำตาลนั่น จริงจังแหลมคมจนสะกดผู้มอง

            “ข้าต้องช่วยเขา อันตรายแค่ไหนก็ต้องไป...เพราะทั้งโลกนี้ ไม่มีใครกล้าเชื่อใจแอ็คเคอร์แมนได้เท่าเยเกอร์อีกแล้ว”

            จากนั้นซีคกับคริชาก็คิดได้ ว่าเขาจะไม่เห็นแก้วตาดวงใจของตระกูลไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว ทั้งคู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยที่ซีคไม่ลืมส่งกระแสจิตไปบอกแซร์อิซที่นอนอยู่ในคอกว่าถ้าเอเลนโผล่หน้าไปหาให้แกล้งทำเป็นหลับเสีย ห้ามตามใจพาออกไปข้างนอกเด็ดขาด เพราะถ้าเมื่อใดที่มังกรตัวหนึ่งออกบินเหนือน่านฟ้าเอลเดีย ทั้งร้อยต้องมาจากเยเกอร์ ลอร์ดแอ็คเคอร์แมนต้องรู้แน่ว่ามีเด็กบางคนเริ่มอยู่ไม่สุข หนีออกจากบ้านเพื่อตามหาตนเอง ถ้าวินาทีนั้นมาถึง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะสู้กับสายตาเปี่ยมด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไร

            พวกเขารักเอเลน รักดุจแก้วตาดวงใจ โดยเฉพาะตอนนี้เอเลนไม่ได้มีพลังพิเศษอย่างที่พวกเขามี พวกเขายิ่งทะนุถนอมเด็กคนนั้น

            แต่ไม่รู้ทำไม รักเท่าไหร่ อุ้มชูเท่าไหร่ ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับที่คนๆนั้นให้เอเลนได้

            เขาคนนั้นเฝ้ารักและหวงแหนเอเลนมาโดยตลอดยี่สิบปี ทะนุถนอมศรัทธายิ่งกว่าสิ่งมีค่าใด


            .....ราวกับว่าเป็น สมบัติ


          “พ่อ ข้าว่าเราควรเขียนจดหมายหาลอร์ดแอ็คเคอร์แมน ให้เขารู้เองข้าว่ามันไม่ดีแน่”

            “ก็ได้ แต่ลงลายมือชื่อเจ้า”

            “พ่อ!

            งานนี้ตัวใครตัวมันเถอะ!












TBC...


มิยะขอเม้าท์

สวัสดีค่ะ สวัสดีทุกคนที่เข้ามา ฮ่าๆๆๆ เหมือนไม่ได้อัพฟิคนานแฮะ // นานมากเลยต่างหากว้อย! แหะ  ต้องขอประทานอภัยจริงๆที่ห่างหายไป ด้วยเหตุที่ว่าการเรียนโหดร้ายกับข้าพเจ้าเหลือเกิน แถมชั้นปีสูงขึ้นยังมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นด้วย งือ ขอโทษจ้า เอาเป็นว่าเปิดต้นปี 2017 เค้าก็ขอส่งไหใหม่มาพร้อมกับพูดว่า



สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่กวาง >w<



สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่สาวคนเก่งของเก๊า ขอให้มีความสุขยิ่งๆขึ้นไป มีแรงมีทรัพย์?โม่ยลูกชายทั้งหลาย ประสบความสำเร็จในการงาน สุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นมี้ที่น่ารักของลูกๆเช่นนี้ตลอดไปนะคะ ขออภัยหากฟิคดูสุกเอาเผากินสักเล็กน้อย สารภาพไม่อายเลยว่าจบตอนแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่รับประกันความรักเช่นเดิม เอร๊ย! >///<

มาถึงฟิคบ้าง

พอพี่กวางรีเควสรีเอมา มิยะเลยตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้จะเอาให้เลี้ยงต้อยยิ่งกว่าเดิม! ฮ่าๆๆๆๆ ยิ่งกว่าช้างหลงโขลง ยิ่งกว่าโขลงหลงไพร น้ำมันพรายไม่ต้อง หลงแท้หลงว่าจริงๆ แล้วคือแบบนึกอยากแต่งแฟนตาซีแต่ไม่ถึงกับแฟนตาซีร้อยเปอร์เซ็นต์จ๋าขนาดดึงดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ ยิงแสงท่องคาถาโจมตีกันขนาดนั้น ยังคงเน้นความรู้สึกของตัวละครและให้มันดำเนินเรื่องตามหลักความเป็นจริงเสียเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ หากมีคอแฟนตาซีเสียอรรถรสไปบ้างเก๊าขออภัย ยังยืนยันว่าเรื่องนี้มันโรแมนติก! แต่ดันเติมแต่งเทพนิยายเข้าไปหน่อยๆแค่นั้นเองค่ะ

ส่วนถามว่าซีคแท้จริงแล้วเป็นใคร อาณาจักรเอลเดียมายังไง สปอยล์ไททันตอนใหม่ล้วนๆเลยจ้ะ

คือจริงๆแล้วความคิดชั่ววูบที่อยากให้ครอบครัวหนูเลนเลี้ยงมังกรเพราะ...เห็นมังกรใน Game of throne แล้วใจมันสั่น ฮือ! คือมันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลย มังกรแม่งมีอยู่ในหนังแฟนตาซีเกือบทุกเรื่อง แต่ทำไมพอตรูเห็นไอ้วายร้ายตัวเขื่องพ่นไฟเผาเรือเป็นลำ แต่กลับมาออดอ้อนโฉมตรูร่างบางอย่างแดนารีส มันน่าร๊ากกกกกกกกกกก

เลยคิดว่าลองมังกรสักเรื่องก็ไม่เลว >w<
คิดว่าคาแร็กเตอร์คนที่ดุร้ายกับคนทั้งโลก แต่ดันแพ้คนๆเดียวนี่มันก๊าวจริง!

ไม่รู้ตอนที่สองจะได้เข็นออกมาเมื่อไหร่ (ยอมรับเถอะมิยะ เอ็งแต่งฟิคสั้นไม่ได้แล้ว T_T) แต่อย่างไรก็ดีใจที่ได้เปิดเรื่องนี้เป็นของขวัญให้พี่กวางนะก๊ะ
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน
Miya


           

           
                                                                                                                               

5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ18 มกราคม 2560 เวลา 00:32

    ทำไมเอเลนทำอาเงิบบ่อยแบบนี้ สงสารอา ไม่เอาไม่ร้องนะท่านอานะะะ����������

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อิเด็กเรื่องนี้มันหน้ามึน ฮ่าๆๆๆ😂 เชื่อว่าเดี๋ยวกว่าจะโตสมใจท่านอา ท่านอาจะโดนอีกหลายฉึก คึ!//ปลอบใจท่านอาด้วยคนนน

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ4 กรกฎาคม 2562 เวลา 05:58

    อยากให้มาต่อจังเลยค่ะ

    ตอบลบ
  3. 4ปีแล้ว...กลับมาต่อเถอะนะคะ เรื่องไหมก็ได้ เพียงแค่อยากรู้ว่าไม่ได้โดยเท ฮือออออ

    ตอบลบ