หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Au.Fic Toriko [Toriko x Komatsu] Himawari ความอบอุ่นของดวงตะวัน : 06



Au.Fic Toriko [Toriko x Komatsu] Himawari  ความอบอุ่นของดวงตะวัน
Period Romantic Drama
PG
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ความสัมพันธ์ของช่วงเวลาและสถานที่ในฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการผสมผสานของผู้เขียน ไม่มีความเป็นจริงในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ



ตอนที่ 6





ร่างสูงโปร่งขององค์ชายผู้เคยถูกขนานนามว่าประพฤติตนได้เหมาะสมกับหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ที่สุดนั้นไม่สมควรเลยที่จะต้องเดินโดยล้อมรอบด้วยทหารสี่นาย ด้านหน้านำเขาอยู่สอง ด้านหลังติดตามประกบอีกสอง มองดูคล้ายกรงคุมขังจนสตาร์จูนยังอดรู้สึกอาดูรไม่ได้ ใบหน้าคมคายปรากฏรอยยิ้มจางปลงตกในชะตาตนเอง ยิ่งสายตาของข้าราชบริพารมองตามขบวนมาเขายิ่งรู้สึกว่ามันสมแก่น้ำหน้านัก สตาร์เอ๋ย สตาร์ เจ้าราวกับหมาที่คิดอหังการกางเขี้ยวเล็บฟัดกัดกับมังกร ต่อให้เจ้าเอาชนะมาได้ แต่สวรรค์ก็ต้องลงโทษเจ้าที่บังอาจหมิ่นของสูงอยู่วันยังค่ำ

บารมีนั้นช่างประหลาดนัก จะว่าหนักก็หนักดั่งผืนพสุธา จะว่าเบาก็เบาดั่งปุยนุ่น เมื่อถึงเวลาที่จำต้องหลุดลอย ก็จากไปโดยง่ายดาย ยามนี้เขาไม่ได้มีสถานะดั่งเจ้าชายอันดับสองผู้สูงศักดิ์ หากแต่เปรียบได้กับคนชั้นเลวผู้หนึ่งที่ต้องอาญาจนมิดเกล้า

ท้องพระโรงของตำหนักหลวงนี้นั้นหนาวเหน็บกว่าคราวใด เขามองตามแผ่นหลังกว้างของพระจักรพรรดิที่เดินนำเขาไกลออกไปเรื่อยๆจนถึงแท่นสูงที่ท่านเคยนำเขาในวัยเด็กขึ้นนั่งบนพระเพลา แต่ยามนี้ช่างแตกต่างนักเมื่อเขาได้เพียงยืนอยู่นิ่งกลางทางเดินเบื้องพระพักตร์ สถานที่โอ่โถงใหญ่กว้างมีเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่อยู่ราวสิบท่าน จากการแต่งกายคือฝ่ายโจ สตาร์จูนมิได้หวาดกลัวในคนพวกนั้น หากแต่ความรู้สึกบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นจุกอยู่ที่คอทำให้ร่างกายสั่นผวาขึ้นมาก็คือสายพระเนตรอันเย็นชาของผู้เป็นบิดา

“องค์ชาย โปรดคุกเข่าลงฟังพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ” คำสั่งนายเสนาบดีทำให้สตาร์จูนรู้สึกกาย องค์ชายอันดับสองเม้มโอษฐ์แน่น ร่างสูงสง่าค่อยๆย่อองค์ลงช้าๆจนกระทั่งพระชานุต้องพื้น ดวงตาที่เคยทอประกายความกล้าหาญเสมอยามนี้หลุบต่ำ เขาไม่อาจสู้สายตาเหินห่างเช่นนั้นของเสด็จพ่อได้ ตำหนิตัวเองนักว่าราวกับเด็กไม่รู้จักโต เมื่อตอนสี่ขวบปีเขาเคยเบือนหน้าหลบไม่มองเสด็จพ่อตอนอุ้มแสดงท่าทีเอ็นดูรัชทายาทโทริโกะที่วังตะวันออกเช่นไร ตอนนี้เขาก็ยังแสดงกริยาเช่นนั้น

เขาอาจรับโทษทัณฑ์ที่ชักดาบทาบพระศอขององค์รัชทายาทได้ หากแต่อย่างไรก็ยังคงรับกับท่าทางขององค์จักรพรรดิที่กระทำกับเขาคล้ายกับบุคคลอื่น ราวกับไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขไม่ได้

“องค์จักรพรรดิเพคะ!!” ทันใดก็มีเสียงตึงตังอยู่ที่หน้าทวารบานใหญ่ของท้องพระโรง กอปรกับเสียงเอะอะของทหารฟังได้ศัพท์ประมาณห้ามให้เข้าไปหากแต่เป็นคำราชาศัพท์แสดงความเกรงใจยิ่ง จนในที่สุดปรากฏร่างพระสนมเอกถลันเข้ามาโดยลืมระงับกิริยาทุกอย่าง น้ำตานางนองใบหน้าสวยสะคราญเห็นแล้วน่าเวทนา ผมเผ้ายาวถึงบั้นเอวที่เคยสางให้เรียบร้อยอยู่เสมอยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง มือบอบบางของนางกำแน่นที่ชายกิโมโนตนซ้ำยังยกสูงให้พ้นข้อเท้าตัวเองแสดงว่าเพิ่งเร่งรีบวิ่งมาจากตำหนักของตนทันทีที่ได้ทราบข่าวบุตรชายอันเป็นที่รักถูกทหารคุมตัวมาที่นี่เพื่อรอรับลงอาญา

“สตาร์...” นางครางเสียงเบาปานจะขาดใจ ส่ายพระพักตร์ช้าๆเมื่อเห็นร่างลูกชายนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางคณะผู้พิพากษา ส่วนพระสวามีทำหน้าเครียดขึ้งจึงรู้ว่าเรื่องที่นางภาวนาให้มันเป็นเรื่องโป้ปดตลอดทางนั้นกลับกลายเป็นความจริงได้อย่างโหดร้าย น้ำตาคนเป็นแม่ไหลรินเป็นสาย ทิ้งร่างทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

“พระมารดา!” เด็กหนุ่มเห็นผู้ให้กำเนิดทรุดไปดังนั้นรีบชันเข่าลุกขึ้นหมายจะไปพยุงก็ต้องหยุดชะงักพลันเมื่อนายทหารสองนายยืนขวางปิดทาง สตาร์จูนกำหมัดแน่นจนสั่นระริก หากเป็นยามปกติเขาทราบอยู่แล้วว่านายทหารพวกนี้ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดขัดใจ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ตอกย้ำให้เขารู้ว่าตนต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ก้าวออกไปจากตรงนี้

“กลับไปประจำที่พระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายอันดับสอง พระองค์ไม่สามารถลุกออกไปไหนได้จนกว่าการว่าฎีกาจะจบลง” สตาร์จูนยิ้มขื่นกับถ้อยคำนั้น ลอบเหลือบตามองเสด็จพ่อตนที่ถึงแม้ว่าท่านจะมีโคโกวข้างกาย มีตำแหน่งภรรยานางสนมอีกมากมายแต่ท่านก็ทะนุถนอมบำรุงรักใคร่พระมารดาของเขาไม่ยิ่งหย่อนกว่าผู้ใด ไม่เคยแม้แต่จะทำให้ขุ่นข้องหมองใจ ยามใดเสด็จตำหนักจะประทานขนมหรือน้ำจัณฑ์เลิศรสไม่ขาด ทอดมองโอบกอดด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สามีคนหนึ่งจะกระทำต่อหญิงคนรักอย่างสุดหัวใจที่มี แล้วเหตุใดยามนี้ท่านจึงนิ่งเฉย มองภรรยาตนร่ำไห้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน เพราะฉะนั้นหากเขาไม่เข้าไปปลอบโยนท่านก็จะมีผู้ใดอีกเล่า จะรอจนกระทั่งพระมารดาเขาต้องกรีดร้องตีอกชกหัวจนสติไม่สมประดีไปเลยหรือไร

“นี่มิใช่คำสั่ง แต่ข้าขอวิงวอนพวกท่าน” เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ตัดสินใจทิ้งเกียรติยศค้อมศีรษะให้กับนายทหารสอง น้ำเสียงที่เคยนิ่งเรียบสั่งการอยู่เป็นนิจแปรเปลี่ยนเป็นกระแสขอร้องจนนายทหารพากันสูดลมหายใจ ไม่ทราบจะกระทำตัวอย่างไรเมื่อได้รับการคำนับจากฟ้าชาย “หากข้าคือเจ้าชายอันดับสองที่ต้องครุคดีนั้น พระอาญาหนักอึ้งไม่พ้นเกล้าจนต้องคุกเข่ารับไว้ ข้าจะไม่หลีกหนีแม้เพียงครึ่งก้าว แต่ที่ข้าอาจหาญลุกขึ้นมาก็เพราะอาศัยนามเพียงสตาร์จูน เด็กชายคนหนึ่งที่เวทนาแม่ของตนกลัวว่าท่านจะเสียใจจนสติแตกซ่านไป ข้าขอเข้าไปโอบประคอง พูดคุยกับแม่สักสองสามประโยคและกล่าวส่งท่านกลับพำนัก จากนั้นข้าจะมานั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม พระอาญาจะยาวเป็นแสนโกฐคำข้าก็จะรับฟังทั้งหมดโดยไม่อุทธรณ์จนพยางค์สุดท้าย”

มิใช่เพียงนายทหารสองท่านนั้น เหล่าเสนาบดีพากันขนลุกวาบกับคำชี้แจงที่เปี่ยมไปด้วยความกตัญญูยิ่ง ทุกคำตรัสขององค์ชายหาได้มีคำใดที่เป็นคำราชาศัพท์สมพระยศ หากแต่คือการแสดงออกอย่างซื่อสามัญของลูกที่ห่วงใยแม่ อันเป็นความน่าชื่นชมอย่างหาไม่ได้อีกแล้ว แต่อย่างไรชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ก็ไม่อาจเปิดทางให้อยู่ดี พาลส่งสายตาสอบถามไปยังองค์เหนือหัวผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ พระจักรพรรดิถอนพระปัสสาสะเบาแผ่ว ตรัสไปสั้นๆ

“ปล่อยองค์ชายไป” จากนั้นเบือนสายตาไปยังบุตรตน กำชับเสียงเข้ม “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะฟังคำร้องขอเอาแต่ใจของเจ้า รักษาเวลาซะ”

สตาร์จูนโค้งตัวขอบพระทัย เขารีบรุดเข้าไปหาหญิงโฉมงามเพียงคนเดียวที่เขารักเทิดทูน ร่างสูงคุกเข่าลงต่อหน้า ทอดมองใบหน้าเปื้อนน้ำตานางแล้วรู้สึกบิดมวนในใจจนเจ็บแปลบแทบอยากหลั่งน้ำตาแทน หากแต่ผู้เป็นบุตรซ้ำยังเป็นบุตรชายที่ท่านภาคภูมิใจมาน้ำตาไหลต่อหน้า ท่านคงรังแต่จะเจ็บปวดยิ่งขึ้นแล้ว เขายิ้มออกมา ยื่นมือทั้งสองข้างเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้านวลอย่างนุ่มนวล นุ่มนวลให้สมกับครานั้นที่ฝ่ามือท่านที่ลูบปลอบประโลมเขาในวันแต่งตั้งองค์รัชทายาทที่วังตะวันออก

“พระมารดา หยุดกรรแสงเถิด กรรแสงมากๆพระมารดาของข้าจะไม่สิริโฉมอย่างเก่า” เสียงนุ่มทุ้มปลอบอย่างอ่อนโยน แต่นางสั่นศีรษะยกมือขึ้นกอบกุมฝ่ามือใหญ่ลูกชายให้แนบกับปรางแก้ม ดวงใจพลันอุ่นวาบจนน้ำตาไหลอีกหลายสาย เท่านั้นนางก็รู้กายรีบไล่สายตาสำรวจตามเนื้อตัวบุตรด้วยกลัวว่าจะมีรอยบาดรอยฟันให้ตกเลือดที่ใด นางได้ยินว่าบุตรนางเงื้อดาบประลองกับเจ้ารัชทายาทอย่างดุเดือด ดาบนั้นมิใช่ดาบไม้แต่คือดาบมีคมสามารถปาดเนื้อเถือเอาเลือดกันได้จริงๆ

“เจ้าเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่ มีบาดแผลหรือเปล่า บอกแม่ แม่จะพาเจ้ากลับตำหนักใส่ยาเดี๋ยวนี้”

“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ข้ายังสบายดีทุกอย่าง” องค์ชายสตาร์จูนว่า ฝืนยิ้มไปอีกทีแม้ใจจะเจ็บปานใด “อีกประการข้ายังไปไหนไม่ได้ ข้าสัญญาต่อหน้าพระพักตร์ว่าจะให้ท่านอบรมจนถึงค่ำมืดเลย พระมารดากลับไปรอข้าที่ตำหนักก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวข้า...เดี๋ยวข้าจะรีบตามพระองค์กลับไป คาดว่าวันนี้กองห้องเครื่องจะทำโอชะสุเกะของโปรดของพระมารดาแน่แล้ว”

“เจ้านี่ แม่ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะไม่ต้องมากล่าวเรื่องใหญ่เป็นเล็กหลอกล่อปดแม่ เจ้าทำความผิดไว้หนักสถานใดไยแม่จะไม่รู้” นางกลืนก้อนสะอื้น ฝืนข่มความกลัว หันกายให้ตรงกับเบื้องพระพักตร์แล้วถวายคำนับกับพื้นอ่อนช้อยงดงาม หากแต่ดวงตาที่มองนั้นแน่วแน่ชัดเจนตรงไปตรงมา เป็นบุรุษมีสายตาเยี่ยงนี้นับว่าเป็นบุรุษผู้ซื่อสัตย์ยิ่ง หากเป็นอิสตรีก็นับว่าคือสตรีผู้มีใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ

“องค์จักรพรรดิเพคะ หม่อมฉันขอประพฤติตนบังอาจสักครั้ง แต่องค์ชายสตาร์จูนนั้นยังเยาว์นัก ด้วยความเป็นเด็กรุ่นเลือดร้อน อาจทำอะไรไปโดยที่ไม่ทันใคร่ครวญไตร่ตรองโดยถี่ถ้วน แต่ด้วยเป็นเลือดในอุทร แม่อย่างหม่อมฉันล้วนทราบดีว่าเด็กคนนี้ไม่มีเจตนาร้ายคิดคดทรยศต่อพระองค์และแผ่นดิน ขอพระองค์โปรดเมตตาละเว้นโทษสถานหนักกับเขาเถิดเพคะ...หรือถ้า หรือถ้าพระองค์ไม่อาจละเว้นได้ ก็จงอย่าลังเลเพคะ ได้โปรดมาลงที่หม่อมฉันแทน หม่อมฉันยินยอมรับผิดแทนลูกทุกอย่างเพคะ”

“พระมารดา!” สตาร์จูนร้องลั่น ส่งสายตาไปที่พระบิดาตน อ้อนวอนว่าโปรดอย่าฟังคำพระมารดาเลย

“หยุดซะพระสนม” สุรเสียงทุ้มห้าวตัดรอนคำขอของนางอย่างไม่ไยดี พระเนตรของท่านแข็งกร้าวนัก ตรงนี้ไม่ใช่ที่ๆท่านจะทำตนเป็นสามีหรือพ่อที่อ่อนโยน หากแต่คือพระเจ้าแผ่นดินที่เด็ดขาด ใครผิดท่านก็ต้องว่าตามผิด “อาญานั้นใครทำใครก่อ ผู้นั้นต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ใครไม่เห็น แต่สวรรค์นั้นเห็น เจ้ายอมเป็นคนหูตามืดบอดดึงทึ้งความผิดลูกเจ้ามาที่ตนได้ แต่เจ้าทำให้สวรรค์หูตามืดบอดไปกับเจ้าไม่ได้ พอที เจ้าขัดขวางการดำเนินการพิพากษามากพอแล้ว เนียวโบ! มาพาพระสนมกลับตำหนัก”

สิ้นเสียงบัญชา เนียวโบหรือนางต้นห้องของพระสนมที่อยู่ด้านนอกก็ถูกปล่อยตัวเข้ามา หญิงสาวสองท่านนั้นพยายามแกะมือนายหญิงของตนออกจากแขนบุตรชายด้วยสีหน้าเจ็บปวดยิ่ง ฝ่ายพระสนมเมื่อเห็นว่าคำขอร้องของนางมิได้ผลพาลร้องไห้น้ำตานอง สะอื้นหนักตัวโยนจนสตาร์จูนต้องกล้ำกลืนฝืนทนมองพระมารดาค่อยๆปล่อยมือจากเขาอย่างยากลำบาก เนียวโบทูลอยู่ข้างหูไม่ขาดว่า พระสนมกลับตำหนักกับหม่อมฉันนะเพคะ พระสนมโปรดหยุดกรรแสงเถิดเพคะจนท้ายที่สุดนางหมดเรี่ยวแรง จึงถูกโอบประคองออกไปจากท้องพระโรงที่สุด หากแต่เสียงร่ำไห้ ถ้อยคำวิงวอนยังดังออกไปตลอดทาง องค์จักรพรรดิได้โปรดเมตตา’ ‘องค์จักรพรรดิอย่าตัดสินโทษประหารลูกนะเพคะ ดังสลับไปมาเช่นนี้เป็นที่อาดูรยิ่ง

องค์ชายสตาร์จูนกัดพระโอษฐ์แน่น หลับตาข่มใจลุกขึ้นเดินกลับมาตรงกลางท้องพระโรง แต่ละย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ตอนนั้นที่เขามุ่งคิดเพียงแต่จะสั่งสอนน้องชายจอมเกียจคร้านถือดี ต้องโทษสถานใดยินยอมรับไม่บิดพลิ้ว แต่ครานี้เขานึกเสียใจกับการกระทำขึ้นมาส่วนหนึ่ง เนื่องด้วยเขาทำให้มารดาทุกข์ทรมานใจจนพระอัสสุชลหลั่งไหลหลายสาย บาปกรรมครั้งนี้คาดว่าจะติดตัวไปจนสิ้นชีวิต

“กระหม่อมสตาร์จูนพร้อมรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างที่ตนก่อไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงลงอาญาให้สมกับความผิด อยู่เป็นอยู่ ตายเป็นตายพ่ะย่ะค่ะ” ว่าจบแล้วองค์ชายก็ก้มพระพักตร์ด้วยความเจียมตัวและเจียมใจ ฝ่ายสำนักโจก็เบือนสายตามองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเป็นระยะๆ พระเนตรของท่านนั้นแม้จะแข็งกร้าวแต่ก็แฝงไปด้วยการคิดอ่านวุ่นวายราวกับสงบใจตัดสินเด็ดขาดไม่ได้

            “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเลือดเย็น อ่านอาญาลงโทษผู้คนโดยไม่ไถ่ถามเลยเช่นนั้นหรือ” องค์จักรพรรดิตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พระองค์ขยับวรกายเล็กน้อย ทอดมองบุตรชายที่ไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดได้แต่ก้มหน้าคล้ายยินยอมศิโรราบเช่นนี้นับว่าผิดวิสัยของสตาร์จูนอยู่มาก ท่านกลอกเนตรวูบหนึ่งมองเหล่าเสนาอำมาตย์ทุกท่านในท้องพระโรงด้วยรอยประหลาด ก่อนจะบัญชา “ต่อไปข้าจะสอบสวนเจ้า จงรายงานมาตามสัตย์จริงอย่าได้คิดปกปิด”

            “รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”

            “เรื่องที่เจ้าชักดาบประลองกับรัชทายาทโดยเปิดเผย ฝ่ายใดได้เริ่มก่อน”

          “เป็นกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายตอบด้วยเสียงดังฟังชัดเจน “เป็นกระหม่อมที่อาจหาญเอาคมดาบทาบพระศอก่อนจากนั้นเจ้ารัชทายาทจึงตรัสขอดาบจากว่าที่ราชองครักษ์ซีบร้าเราจึงวาดดาบสู้กันอยู่หลายกระบวนท่า กระหม่อมยอมรับว่าคราแรกนั้นกระทำไปเพราะโทสะ แต่มิได้มีเจตนาทำร้ายเจ้ารัชทายาทให้บาดเจ็บจริงๆ” พลันองค์ชายสตาร์จูนรีบค้อมหลังลงเป็นท่าทีคำนับอย่างหนึ่ง หน้าผากติดพื้น “องค์จักรพรรดิ พระองค์จะไม่ทรงเชื่อลิ้นคนมีคดีติดตัวอย่างกระหม่อมนั้นหาได้เป็นอะไรไม่ หากแต่โปรดทรงเชื่อพระสนมเอก หญิงผู้รักและซื่อสัตย์ต่อฝ่าบาทมาทั้งชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่พระนางตรัสล้วนเป็นเรื่องจริง เรื่องความจงรักภักดีที่ข้ามีให้ท่านกับแผ่นดินนั้นข้ากล้าแม้สาบานต่อหน้าท่านผู้ถือว่าเป็นเชื้อสายของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ได้โปรดเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

            “เจ้าว่าเจ้าจงรักภักดีกับข้าและแผ่นดิน” จักรพรรดิทวน พระองค์กลอกตาไปรอบท้องพระโรงอีกวูบ ตรัสถามอีกทีละคำราวกับจะย้ำให้คนฟังได้เข้าใจชัดเจน “แล้วกับเจ้ารัชทายาทเล่า เจ้าคิดทรยศพระองค์หรือไม่”

            สตาร์จูนได้ฟังคำตรัสนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมองพระบิดาในทันที พยายามสบพระเนตรท่านกลับไปหากแต่เขาไม่พานพบถึงแววตาใคร่รู้หรือคาดคั้นนัก แต่ถึงท่านไม่เอาความกับคำถามนั้นมากมายแต่ในหัวของเขาก็คิดไม่ตกว่าจะตอบเช่นไรจึงจะถูกต้อง หากจะว่าภักดีเขาก็ไม่อาจพูดได้ด้วยเมื่อสักครู่ยังให้จิตใฝ่ต่ำชนิดหนึ่งครอบงำเกือบมีความคิดทำร้ายโทริโกะให้ถึงแก่ชีวิตจริงๆ แต่ถ้าหากจะกล่าวได้ว่าเขามุ่งร้ายคิดไม่ซื่ออย่างเต็มปากเต็มคำก็ไม่อาจหาเหตุใดมาสนับสนุนได้แน่ชัด

            เจ้าชายอันดับสองมิเคยมีใจริษยาน้องต่างมารดาที่บารมีสูงกว่า สิ่งเดียวที่เป็นเรื่องขุ่นข้องหมองใจคือเรื่องที่โทริโกะไม่ใช้โอกาสที่ตนมีแสวงหาความรู้ร่ำเรียนเท่านั้น และเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นคราวนี้ก็เป็นการตักเตือนอย่างที่พี่ชายคนหนึ่งคิดกระทำโดยปรารถนาดี หากแต่เรื่องแบบนี้กล่าวไปรังแต่จะเป็นข้ออ้างให้ตนพ้นผิด ในวังหน้าต่างมีหูประตูมีตาพวกหูเบาได้ฟังไม่ทันคิดอ่านเอาไปนินทาว่าร้ายอาจทำให้พระมารดาเขาทุกข์ใจยิ่งกว่าเก่า

            จักรพรรดิอิจิริวทอดพระเนตรเห็นบุตรชายตนเอาแต่หมอบนิ่งไม่กล่าวอันใดจึงถอนพระปัสสาสะตัดความ

            “เอาเถิด หากมันตอบยากนักก็ไม่ต้องตอบ ถ้าอย่างนั้นข้าขอเปลี่ยนคำถาม เจ้าว่าเจ้าร้องท้าองค์รัชทายาทไปด้วยโทสะ เจ้าบังเกิดโทสะได้เพราะเหตุใด”

            “พระอาญามิพ้นเกล้า ตอนนั้นกระหม่อมกำลังจะไปที่หอสมุด พบเจ้ารัชทายาทกับสหายเพิ่งเดินออกมาจากวังตะวันออก สนทนากันด้วยเรื่องที่ท่านไม่ประสงค์อยากร่ำเรียนจึงได้หลบหนี ข้าเห็นเป็นเรื่องไม่สมควรจึงเข้าไปห้ามปราม เนื่องด้วยข้าและรัชทายาทยังคงเป็นผู้เยาว์เก็บงำอารมณ์ไม่ได้ดีนักจึงเกิดปากเสียง เลยเถิดเป็นการประลองพ่ะย่ะค่ะ” ความเงียบบังเกิดขึ้นอีกครา เป็นองค์จักรพรรดิที่แค่นเสียงหัวเราะหนึ่งที ทอดมองบุตรคนโตตนด้วยรอยประหลาดอ่านยาก แต่สตาร์จูนก็ทราบดีว่านั่นไม่ใช่ความพึงพอพระทัยเป็นแน่

            “ไม่อาจรู้ว่าสวรรค์โปรดหรือชังข้ากันหนอ ส่งบุตรชายมาให้ข้าก็มากมาย แต่กลับมีนิสัยต่างกันราวฟ้าเหว ไม่ต้องไปมองไปถึงองค์ชายเล็กๆหรอก แค่ชมเจ้ารัชทายาทกับเจ้าสตาร์จูนนี่ก็แจ้งใจ คนหนึ่งเที่ยวเล่นเถลไถล แต่อีกคนสิขยันขันแข็งฝึกปรือฝีมือทั้งบู๊บุ๋นไม่เว้นวาง เห็นความผิดพลาดก็ทนไม่ได้ถึงขั้นต้องเข้าไปตักเตือนแม้รู้ว่าตนจะต้องอาญาร้ายแรง” จบแล้วก็แค่นเสียงหัวเราะอีกที รอยยิ้มของพระองค์ลบเลือนจนสิ้น กลับกลายเป็นความเย็นชาดุดันแทนที่ “เรื่องแบบนี้มิใช่ธุระกงการที่เจ้าจะยุ่ง แต่เป็นภาระหน้าที่ของข้า คราวหลังอย่าได้ยื่นมือมาสอดอีก”

            “เสด็จพ่อ!” เมื่อความน้อยเนื้อต่ำใจบังเกิดเจ้าชายอันดับสองลืมระงับกริยาทุกอย่าง ตะโกนเรียกองค์จักรพรรดิอย่างที่ไม่เคยเรียกต่อหน้าธารกำนัลโดยเฉพาะในเวลาที่ท่านว่าราชการให้ท้องพระโรง ด้วยที่นี่มีเพียงพระเจ้าแผ่นดินทำหน้าที่ปกครองคน หาใช่ที่ๆจะดำรงสถานะเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด เหล่าเสนาบดีพากันเหลือกตา ทูลกระซิบต่อเขาว่าให้สำรวมวาจา แต่เขาไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว

            “เรื่องของเจ้ารัชทายาทนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับกระหม่อมนั้นเป็นเรื่องถูกต้องที่กระหม่อมจะยอมรับโดยดุษณี แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คงจะเกี่ยวกับกระหม่อมโดยตรง กระหม่อมรับทราบมาโดยบังเอิญว่าเสด็จพ่อหาอาจารย์ผู้สอนวิชาพืชสมุนไพรให้กับเจ้ารัชทายาทได้แล้ว แต่เจ้ารัชทายาทกลับไม่ต้องการที่จะร่ำเรียน” สตาร์จูนกลั้นใจกล่าวไปแม้พระพักตร์ของบิดาจะถมึงทึงขึ้น ปากเม้มแน่น สูดลมหายใจแล้วว่าต่อ

“กระหม่อมเคยทูลเสด็จพ่อไปครั้งหนึ่ง ทราบดีว่าเป็นการมิบังควร หากแต่จะขอเป็นฝ่ายศึกษาศาสตร์นี้แทนเจ้ารัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตาอนุญาตเถิดพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงทูลขออย่างอาจหาญเหล่าข้าราชบริพารตกใจกันจนเปล่งเสียงฮือฮาอื้ออึงทั่วท้องพระโรง หากแต่เจ้าชายสตาร์จูนมิมีทีท่าว่าจะถอนคำพูดของตนแม้เพียงครึ่งคำแม้ทราบว่าที่พูดนั้นจะเป็นเรื่องไม่สมควรยิ่ง

            ต่อให้เป็นนอกรั้วนอกวังตามขนบธรรมเนียมของแผ่นดินอาทิตย์อุทัย ของสิ่งนั้นถูกมอบให้คนนั้นฉันใด ก็ย่อมต้องเป็นของคนนั้นฉันนั้น อย่าได้ก้าวก่ายสมบัติของกันเป็นอันขาด แม้การร่ำเรียนจะมิใช่สิ่งของ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มอบหมายโดยชัดเจนคล้ายกับกำหนดหน้าที่ให้ทำก็ว่าได้ ยิ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินผู้มีวาจาและการกระทำอันศักดิ์สิทธิ์หนักอึ้งกว่าพสุธาเป็นผู้ตรัสและมอบให้แก่เจ้ารัชทายาทอันมีฐานันดรศักดิ์สูงกว่า เจ้าชายทั่วไปอย่างสตาร์จูนมิมีสิทธิ์ไปละเมิดได้แม้แต่เพียงครึ่งคำ

            จักรพรรดิอิจิริวกริ้วจนขบพระทนต์ดังกรอด ท่านข่มอารมณ์จนเลือดลมตีมวนพระพักตร์เปลี่ยนสีซับโลหิตแดงฉาน ตรัสเล็ดลอดไรฟันออกมา “หยุดปากเจ้าเสียองค์ชาย ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆเจ้าจะมากล่าวเรื่องนี้”

            “จะกล่าวที่ไหนมันต่างกันอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” คนฟังพากันเหลือกตาเมื่อคำย้อนกลับนั้นกล่าวโต้ทันที เจ้าชายสตาร์จูนคลี่ยิ้มเย็นชาสมเพชให้กับชะตาชีวิตตนเอง สติสัมปชัญญะควบคุมตัวเองลดถอย ราวกับเด็กหนุ่มเลือดร้อนคิดอยากพูดก็พูด อยากทำก็ทำคนหนึ่ง “ตอนนั้นกระหม่อมทูลขอในที่รโหฐานฝ่าบาทก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธ ยามนี้เป็นท้องพระโรงต่อหน้าเสนามากมายฝ่าบาทก็ดำริที่จะปัดมันให้พ้นองค์อีก เพราะฉะนั้นคาดว่ากระหม่อมจะขอที่ไหน เวลาใด แต่ถ้าหากคนขอยังเป็นกระหม่อม ฝ่าบาทคงไม่มีวันเมตตาอนุญาตให้มันเรียนเป็นแน่!

            “สตาร์จูน!!” สุรเสียงห้าวดุดันตวาดก้องกัมปนาทไปทั่วท้องพระโรงบังเกิดเป็นสิ่งที่น่าอกสั่นขวัญแขวนประการหนึ่งสำหรับผู้ไม่เคยพบเห็น เช่นองค์ชายองค์โตผู้เกิดมาสิบห้าขวบปีและไม่เคยกระทำสิ่งใดให้เป็นที่ขัดเคืองพระทัยนั้นเป็นต้น เด็กหนุ่มกลืนก้อนสะอื้นและความน้อยใจลงคอ หมอบกราบซบหน้ากับพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ กล่าวเสียงแผ่วขอพระราชทานอภัยโทษ

            “ทหาร! โบยเจ้าชายสตาร์จูนห้าสิบไม้โดยไม่หยุดพัก และห้ามให้องค์ชายเสด็จออกที่ใดเป็นเวลาสิบห้าวัน!

            เสียงรับอย่างแข็งขันจากนายทหารสองนายที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับไม้โบย ฝ่ายองค์ชายเองก็ไม่รีรอค้อมหลังลงปล่อยให้ไม้แรกฟาดลงมาอย่างแรงไม่ออมมือ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วหลับตาแน่นกัดริมฝีปากระบายความเจ็บแสบที่แล่นวาบคล้ายกระดูกบริเวณนั้นจะแตกเป็นเสี่ยง ตามติดด้วยไม้ที่สอง สาม ต่อไปเรื่อยๆจนจะครบตามพระราชทัณฑ์ พระอัสสุชลอุ่นระอุหยดรินลงมาหนึ่งสายไม่อาจห้าม สตาร์จูนนึกคิด นี่คงไม่ใช่เพราะการถูกฟาดตี เพราะถ้าอย่างนั้นเขาคงจะเจ็บแต่กาย ไม่เจ็บระบมข้างในใจคล้ายว่ามันแหลกสลายจนไม่อาจประกอบใหม่ได้ขนาดนี้

หากเปรียบใจคนดังกำแพง เขายินยอมให้พระราชวังแห่งนี้หล่อหลอมเขาจนเหมือนกับหินแกร่งที่แน่นหนา แต่หารู้ไม่ว่าผู้สร้างก็เปรียบเหมือนผู้ทำลายในคราวเดียวกัน เพราะนอกจากตำแหน่งองค์ชายแล้วเขายังคงมีอีกตำแหน่งที่ต้องยึดถือ นั่นคือการเป็นลูก เป็นลูกที่เพียรจะเชื่อฟังคำสั่งท่านทุกอย่าง เพียรจะรักษาเอาไว้ซึ่งเกียรติของท่าน เพียรที่จะดูแลปรนนิบัติท่านอย่างลูกคนหนึ่ง ความรู้สึกที่มันปลูกฝังหยั่งรากลึกในจิตใจนี้แต่ไม่อาจแสดงออกได้ เขาจะต้องไปกล่าวโทษผู้ใด ต้องประณามกับผู้ใดหรือ

            บิดากับมารดาผู้มอบความอ่อนโยนมากไป หรือเป็นตัวเขาเองที่ด้อยวาสนาจนกระทั่งจะแสดงความกตัญญูต่อท่านก็ยังไม่อาจทำให้ท่านเอื้อมมือมารับได้
           








            ฝ่ายพระสนมเอกเมื่อกลับตำหนักมาพร้อมเนียวโบแล้วไม่อาจวางพระทัยพักผ่อนดื่มน้ำเสวยอาหารได้ นางยังคงนั่งคอยอยู่ชานตำหนัก ทอดพระเนตรผ่านสวนหินที่จัดวิจิตรตระการไปที่ทางเข้า ชะเง้อมองทีก็ขมวดพระขนงที ดวงตาบวมแดงติดจะคลอน้ำอยู่แม้เนียวโบจะนำผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบนางก็ไม่ยอม ในห้วงความคิดจินตนาการไปสะระตะว่าบุตรอันเป็นที่รักของนางต้องได้รับทัณฑ์สถานใด การหมิ่นเกียรติทั้งยังวาดคมดาบเข้าหารัชทายาทนั้นอาจต้องโทษถึงคุมขัง หากเป็นเช่นนั้นนางจะต้องรอกี่เดือนกี่ปีลูกนางจึงจะได้คืนอิสรภาพ หรือถ้าต้องโทษขับไล่นางก็ยินยอมพร้อมใจที่จะสละยศพระสนมออกไปกับลูก แม้นท้ายถึงท้ายที่สุดกลายเป็นทัณฑ์สถานหนักที่สุด ต้องประหารให้ตกตาย นางก็จะขอทำอัตวินิบาตกรรมตามบุตรชายไปภพหน้าไม่รอรี

            “พระสนม! พระสนมเพคะ องค์ชายเสด็จกลับมาแล้วเพคะ” เงะโรนางหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาทูลอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี นางน้ำตาคลอไม่ต่างจากนายหญิงตน เนียวโบคนสนิทสองนางรีบพยุงพระกรให้พระสนมได้ลุกขึ้นโดยง่าย ต้อนรับร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามา นางร้องเรียกชื่อบุตร เช่นเดียวกับที่คนเป็นรู้ครางรับแผ่วเบาว่า พระมารดาก่อนจะทรุดกายลงแทบเท้า หมอบกราบคำนับท่าน

            “ข้าขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ข้าทำให้พระมารดาเป็นห่วงจนทุกข์ทรมานใจ บาปครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก”

            พระสนมค่อยๆย่อกายลงยื่นมือเข้าประคองไหล่กว้างของบุตรชายให้ตั้งกายขึ้นก่อนจะประคองสองแก้ม พาลเห็นหน้าบุตรน้ำตานางได้รินไหลอีกครา ใบหน้าองค์ชายน้อยนั้นซีดนัก ฉลององค์ที่สวมกลับมาก็หาใช่ชุดเดิมไม่ แล้วจากที่นางสังเกตท่วงท่าการยืนนั่งแล้ว องค์ชายสตาร์จูนมิคล่องกายอย่างเก่า นางเม้มโอษฐ์แน่น ทราบโดยกระจ่างว่าแท้จริงแล้วบุตรชายอันเป็นที่รักต้องโดนลงโทษแบบใด

            “เจ้าคงเจ็บมาก” นางรำพึงเสียงแผ่ว “แต่ก็เป็นพระกรุณาธิคุณยิ่งแล้ว หากท่านไม่สั่งให้เจ้ารักษาห้ามเลือด เปลี่ยนฉลององค์ใหม่ก่อนกลับตำหนักมาพบแม่ แม่คงทนรับสภาพเจ้าไม่ไหวเป็นแน่”

            “ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดิทรงห่วงใยจิตใจพระมารดายิ่งนัก หากพระองค์ไม่มีพระบัญชาข้าก็จะทูลขอ” สตาร์จูนเอื้อมมือกอบกุมพระหัตถ์อย่างอ่อนโยน ทอดเสียงนุ่มทุ้มปลอบประโลม “พระมารดา...บุตรของท่านเกิดเป็นชายซ้ำยังเกิดในราชวงศ์อันมีศักดิ์ ความเจ็บปวดเพราะถูกโบยนั้นนับเป็นเรื่องเล็กน้อย หากเท่านี้ทนไม่ได้ ต่อไปเบื้องหน้าจะทนต่อความเจ็บปวดที่ต้องแลกมาเพื่อความผาสุกของประชาชนได้หรือไม่ อีกประการ ข้านั้นกระทำตนสุ่มเสี่ยงต่อการถูกเรียกว่ากบฏบ้านเมือง ต่อให้มีเจตนาดีร้ายประการใดก็ได้หันคมดาบใส่รัชทายาทนั้นเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว ความจริงต้องถูกลงโทษคุมขังแรมปีเฝ้าดูพฤติกรรม แต่กลับแค่ถูกโบยซ้ำยังได้รับการปล่อยตัวมาได้เห็นพระพักตร์พระมารดา ถือเป็นความโชคดีอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว พระมารดาอย่าได้เป็นห่วงอีกเลย”

            พระสนมนิ่งคิดตามไปด้วยสีหน้าเวทนาหากแต่สุดท้ายยินยอมเห็นด้วยกับบุตร แต่นางก็ไม่ยอมลงให้ไปทุกประการ ดวงหน้างามยังคงติดเศร้าเมื่อมองข้ามไปยังแผ่นหลังกว้าง

            “แต่เจ้าคงโดนโบยหลายไม้นักถึงได้ดูเจ็บปวดขนาดนี้ มานี่เถิด แม่จะใส่ยาให้” สตาร์จูนลอบเบิกตากว้าง แสดงสีหน้าลำบากใจอย่างปิดไม่มิด ประการหนึ่งที่เสด็จพ่ออุตส่าห์สั่งให้นางกำนัลเอาชุดใหม่มาให้เขาเปลี่ยนซ้ำยังห้ามเลือดใส่ยามาหนึ่งขนานก็เพื่อปกปิดบาดแผลให้พระมารดาคลายพระทัยเศร้าหมองหรอก แต่ถ้าพระมารดาจะมาเลิกเสื้อเขาใส่ยาให้เองก็ต้องเห็นบาดแผล แล้วแบบนี้มันจะมีประโยชน์อะไร

            โดนไปห้าสิบไม้ แผลย่อมฉกรรจ์ไม่เบา ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นยังเป็นหลักฐานบ่งบอกได้ แล้วเขาจะกล้าเอาให้พระมารดาดูได้หรือ!

            “คือพระมารดา ข้า...ข้าใส่ยาเองได้ อีกประการข้าก็โตแล้ว ไม่กล้าปลดอาภรณ์ต่อหน้าหญิงงามอย่างพระมารดาหรอก” ว่าจบก็ยิ้มหวานเอาใจ พระสนมมองหน้าตาแป้นแล้นไม่รู้กาละถึงขมวดพระขนงดุปรามฟาดฝ่ามือบางเบาๆที่ต้นแขน นางถอนปัสสาสะอย่างเหนื่อยหน่าย

            “บอกว่าตัวเองโตแล้วได้อย่างไร โตแต่ตัวสิไม่ว่า ไปวิวาทกับเจ้ารัชทายาทโดยขาดสติแบบนั้นยังเรียกว่าโตแล้วได้อีกหรือ” พระสนมเอ่ยเสียงขุ่นดุว่ายืดยาว ทอดมองบุตรชายด้วยสายตาจริงจัง “สตาร์จูน...ถือว่าแม่ขอ เจ้าอย่าได้ทำอย่างนี้อีก เจ้าเป็นคนเถรตรง บุคลิกเช่นนี้นับเป็นดาบสองคมนัก อุปมาดั่งไม้ยืนต้นลำตัวตรงไม่คดงอ หากต้นไม้นั้นรู้จักที่เจริญของตน และเจียมสถานะมันจะไม่ไประรานผู้ใด เมื่อเติบใหญ่สูงตระหง่านเทียมฟ้าได้อย่างมั่นคงและสง่างาม แผ่กิ่งก้านร่มใบเป็นที่พักพิงแต่บุคคลอื่นได้...แต่สิ่งที่เจ้าทำวันนี้นับว่าเหมือนต้นไม้ที่ทอดตัวขวาง ซ้ำสิ่งที่เจ้าไปขวางนั้นหาใช่ลำธารเล็กๆไหลรินไม่ หากแต่คือคลื่นสูงของมหาสมุทรใหญ่ เมื่อนั้นท่อนไม้ตรงย่อมหักลงง่ายกว่าท่อนไม้คดแน่แล้ว สุดท้ายคนที่จะลำบากจะเป็นตัวเจ้าเอง...เชื่อแม่”

 สตาร์จูนฟังคำสั่งสอนแล้วขบคิด อารมณ์ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในคล้ายตีตื้นขึ้นมาอีกครา เขานับถือน้ำใจของพระมารดานัก พระมารดาเป็นหญิงแต่กลับมีพระทัยเด็ดเดี่ยว ท่านยอมรับและอยู่กับขนบธรรมเนียมในวังมาโดยตลอด ตำแหน่งของท่านนั้นแม้จะเป็นถึงฮิ แต่ท่านก็เตรียมใจอยู่เสมอหากสักวันองค์จักรพรรดิจะหานางห้ามใหม่ขึ้นทดแทน ท่านไม่ปริปากบ่นแม้จะไม่ได้พบองค์จักรพรรดิแม้ผ่านไปแรมเดือน เพราะเตรียมใจและพอใจกับที่อยู่ของตนตั้งแต่ต้นจึงทำให้พระมารดาดำรงพระยศได้อย่างงดงามในรั้ววังอันเต็มไปด้วยเรื่องราวน่ากลัวซับซ้อนนี้

“พระมารดาไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มีใจคิดชิงตำแหน่งมาจากรัชทายาทโทริโกะหรอก” เขาชี้แจงราบเรียบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่งยิ่งแสดงถึงความจริงที่คิดอยู่ในใจ “เพียงแต่ข้าเห็นว่ามหาสมุทรใหญ่ของพระมารดา คลื่นลมสงบเกินไปต่างหาก รังแต่จะกลายเป็นทะเลปิด ภายนอกนั้นเป็นอย่างไรไม่คิดใคร่รู้ ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าว่าแต่เภทภัยจากนอกแผ่นดินเลยพ่ะย่ะค่ะ แค่เรื่องราวภายในนี่...”

“สตาร์...แม่เพิ่งเตือนไปหยกๆทำไมเจ้าไม่ฟังนะ เรื่องแบบนี้พูดออกมาได้ที่ไหนกัน” พระสนมเอ็ด นางเอื้อมไปจับฝ่ามือใหญ่ของบุตรมาลูบแผ่วเบา “เจ้าอย่าได้มองคนแต่ภายนอก ถ้าหากเจ้ารัชทายาทประพฤติตนดั่งทะเลปิดจริง แม่ว่าพระองค์ก็ย่อมต้องเป็นน้ำนิ่งไหลลึก องค์จักรพรรดิหูตากว้างไกลนัก พระองค์ดำริเรื่องใดอยู่ไม่มีผู้ใดรู้หรอก บางทีอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เจ้าเข้าใจรัชทายาทผิดๆนี้อยู่ก็ได้”

สตาร์จูนยังไม่สามารถเชื่ออะไรได้ถ้าหากยังไม่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เขารับฟังเอาไว้เพียงครึ่งเดียวรับคำมารดาโดยคิดเอาไว้ว่าให้ท่านสบายใจเป็นสำคัญ ทันใดนั้นมีนางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามา นางค่อนข้างสูงอายุอยู่ในชุดรัดกุมเรียบร้อยเดินตรงเข้ามา ถวายคำนับแก่พวกเขา ในมือถือกล่องไม้แกะสลักอันวิจิตรกล่องหนึ่ง

“หม่อมฉันเป็นนางข้าหลวงจากสิบสองกองงานฝ่ายในแห่งวังหลัง ตำแหน่งหัวหน้ากองโอสถเพคะ” หญิงชราแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม ยื่นส่งกล่องในมือให้ “นี่เป็นยาพระราชทานจากองค์จักรพรรดิให้นำมามอบให้องค์ชายเพคะ”

พระสนมรับคำแล้วนำกล่องนั้นมาให้เนียวโบเปิดดูพบตลับยาโลหะตลับหนึ่งวางนิ่งอยู่ นางหมุนฝาเปิด ข้างในเป็นสมุนไพรถูกบดผสมรวมกับขี้ผึ้งจนกลายเป็นเนื้อนวลละเอียด มีกลิ่นหอมโล่ง อันน่าจะเป็นยาแก้ฟกช้ำขนานหนึ่ง

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง” พระสนมว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน หากแต่นางมีริ้วรอยสงสัยจางๆปรากฏบนพระพักตร์ “ทว่าโอสถนี้ข้าเพิ่งให้ต้นห้องไปขอเบิกมาเร็วๆนี้เอง ไม่น่าลำบากเจ้าเดินนำมาให้จากวังหลังเลย”

“มิได้เพคะพระสนม” หัวหน้ากองโอสถโค้งระงับ “นี่เป็นพระบัญชาขององค์จักรพรรดิให้หม่อมฉันมาจัดส่งให้ถึงพระหัตถ์เพคะ เพิ่งรับสั่งมาเมื่อสักครู่นี้”

เท่านั้นก็ไม่มีใครซักถามใครอีก พระสนมยิ้มรับรู้ก่อนจะอนุญาตให้นางข้าหลวงนั้นกลับไปได้ สตาร์จูนเร่งขอยาจากมือเนียวโบเก็บใส่กล่องอย่างเก่าแล้วทูลราตรีสวัสดิ์แก่ผู้เป็นแม่ เขาก้าวเท้าเข้าห้องบรรทมตนให้ไวที่สุดเท่าที่สังขารจะเอื้ออำนวยด้วยความที่ไม่อยากให้ท่านตั้งตัวแล้วจับเขาเลิกเสื้อผ้าใส่ยาให้เป็นเด็กน้อยจริงๆ สตาร์จูนเป่าลมออกจากปากหนึ่งทีเมื่อปิดประตูเลื่อนชั้นสุดท้าย จุดตะเกียงให้พอสว่างที่โต๊ะเตี้ยใช้อ่านตำราประจำ เขาเปิดกล่องยานั้นอีกครั้ง เมื่อสักครู่พระมารดากับเหล่าเนียวโบคงสนใจแต่ตลับยาจึงไม่มีใครทันสังเกตถึงกระดาษหนึ่งพับที่ใส่เข้ามาด้วยอยู่ก้นกล่อง

            ดวงตาคู่คมไหวระริกวูบหนึ่งต้องเปลวไฟในตะเกียงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดบางประการ ไพล่คิดไปว่าเสด็จพ่อเขานั้นไม่มีทางคิดเป็นห่วงเขา ยานี่คงเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง เสด็จพ่อรู้จักพระมารดาของเขาดีว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบเพียงไร ไม่ว่าจะข้าวของเครื่องใช้หยูกยานั้นนางจะคอยดูแลมิให้ของเหล่านั้นพร่องไปแม้แต่อย่างเดียว เสด็จพ่อทรงทราบอยู่แล้วแน่ว่าตำหนักนี้มียาแก้ฟกช้ำ ทว่าที่ยังพระราชทานมาอีกคงจะเป็นเพราะด้วยต้องส่งจดหมายฉบับนี้เสียมากกว่า

            สตาร์จูนคลี่อ่านเนื้อความเขียนจากหมึกดำเป็นลายมืออันคุ้นตา เขากลอกดวงตาไปทีละบรรทัดอย่างเชื่องช้าคล้ายจะซึมซับตัวอักษรพวกนั้นเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจ จวบจนถึงตอนจบลงชื่อพร้อมกับตราประทับแห่งกษัตริย์นั้นเจ้าชายสตาร์จูนก็แจ้งประจักษ์ว่าทุกประโยคทุกพยางค์ที่ตนได้อ่านไปนั้น มิใช่จดหมายจากพ่อถึงลูก

            หากแต่เป็นพระราชโองการลับจากพระมหากษัตริย์ถึงเจ้าชายองค์หนึ่ง...








            หลังจากที่ถูกลงทัณฑ์วันผันผ่านไปนั้นไม่ทำให้สตาร์จูนรู้สึกเว้นว่างมากนัก จะว่าร่างกายเขาแข็งแรงหรือได้โอสถอย่างดีไม่อาจทราบเพียงแค่สองสามวันก็กลับมาลุกนั่งเดินเหินได้ตามปกติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านหนังสือหรือไม่ก็รับแขก สายข่าวในวังหูตากว้างไกล ซ้ำยังกระพือเรื่องราวได้รวดเร็ว เมื่อรู้ว่าอาการของเขาทุเลาลงแล้วก็พากันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด ทั้งขุนนาง เสนาบดีผู้ใกล้ชิดเสด็จพ่อบางท่าน พระสนมตำหนักอื่นพร้อมบุตรธิดา หรือแม้กระทั่งโคโกว หากแต่เขาไม่เห็นเจ้ารัชทายาทเสด็จด้วย สตาร์จูนแค่นหัวเราะหนึ่งที ต้องบอกว่าเจ้ารัชทายาทเสด็จสิถึงจะแปลก

            พระมารดาของเขานั้นแย้มยิ้มยินดียกน้ำชาจัดวากาชิหลากหลายชนิดมารับรองต้อนรับ แต่ละท่านล้วนกล่าวขวัญให้กำลังใจเป็นถ้อยคำยืดเยื้อจนเขาฟังแล้วอดรำคาญเล็กน้อยไม่ได้ ลอบจดจำบุคคลที่เข้าเยี่ยมแต่ละวันนั้นให้แม่นยำ จนครบกำหนดสิบห้าวันสิบห้าคืนที่ถูกกักบริเวณ

            สตาร์จูนเตรียมม้าหนึ่งตัวขึ้นควบออกไปนอกวังอย่างเปิดเผยด้วยเหตุผลพักนี้เขารู้สึกว้าวุ่น อยู่ในรั้ววังนิ่งๆรังแต่จะคิดเรื่องเก่าๆให้หงุดหงิดใจก็เลยคิดอยากออกไปสูดอากาศสบายๆข้างนอกบ้าง เขาบอกกับพระมารดาไปแบบนี้ ครานี้ไม่ได้ถึงกับปลอมตัวเหมือนคราแรก เสื้อผ้าที่เขาใส่นั้นไม่ได้เรียกว่าธรรมดาอย่างเก่า แต่ก็ไม่ถึงกับใส่ฉลององค์บ่งพระยศ เป็นเครื่องแต่งกายอย่างคุณชายมั่งมีคนหนึ่ง

            องค์ชายร่างสูงสง่าสอบถามอะไรบางอย่างกับพ่อค้าคนหนึ่งในตลาด เขาได้รับแผนที่วาดมือคร่าวๆพร้อมกับคำอธิบายอย่างฉาดฉานเป็นเครื่องบ่งบอกอย่างดีว่าสถานที่ที่เขาถามนั้นเป็นที่ๆใครก็รู้จัก เขาบังคับม้าให้มันควบเหยาะๆไปตามทาง สักพักก็ถึง เป็นร้านอาหารอยู่ในรั้วอันกว้างขวาง สวนหน้าร้านจัดเป็นไม้พุ่มและบุปผามงคลอย่างลงตัว ข้างรั้วปลูกด้วยซากุระ ปูพื้นด้วยหินกลมมนสีขาวราวกับช่วยเพิ่มแสงให้สถานที่แห่งนี้สว่างสะดุดตา ตัวเรือนส่วนที่เป็นร้านนั้นมีทั้งแบบเปิดโล่งให้ลูกค้ารับประทานชมบรรยากาศ หรือข้างในเป็นโต๊ะนั่งเตี้ยๆกับพื้นก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบพร้อมกับเบาะนั่ง ดูเป็นร้านที่โอ่อ่าอันอาจเรียกได้ว่าเป็นภัตตาคารสำหรับคหบดี เพียงแต่น่าประหลาดนักว่าเมื่อทอดมองไปเห็นสามัญชนในเสื้อแสงอันธรรมดานั่งร่วมวงรับประทานอาหารกันเฮฮาอยู่ไม่น้อย

            ที่นี่คือร้านของอดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะ แม่ครัวอันดับหนึ่งของแผ่นดินอาทิตย์อุทัยที่ตัดสินใจเกษียณตนเองออกจากวังได้ร่วมสิบกว่าปีแล้ว ก่อนที่เขาจะจำความได้เสียอีก ทราบโดยคร่าวๆว่า ร้านนี้เป็นร้านที่นางดำรงกิจการตั้งแต่ก่อนเป็นฮิมาวาริ หากแต่ฝากให้ลูกศิษย์ลูกหาดูแลระหว่างที่ไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวังพักใหญ่ๆ เขาเคยมีโอกาสพบหน้าก็ต่อเมื่อองค์จักรพรรดิเรียกหาสองสามหน นางจะชอบทำขนมไปฝากเขา รสมือของหญิงชราผู้นี้เป็นหนึ่งไม่มีสองโดยแท้จริง อีกทั้งยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้ลิ้มลอง

            นับว่าเป็นโชคอันดีของเขาที่เจ้าของร้านยืนอยู่แถวนั้น หญิงชราร่างเล็กไว้ผมมวยย่างมาหาเขาช้าๆ นางหรี่ตาลงมองหน้าเขาอยู่สักพักก่อนที่จะเผยยิ้มออกมาโค้งทักทายเรียบง่ายก่อนที่จะเชิญเขาเข้าไปในที่รับรองอันเป็นมุมที่ค่อนข้างรักษาความสงบส่วนตัวอยู่บ้าง นางนั่งลงตรงข้ามกับเขา รินน้ำชาให้ก่อนจะเรียกสาวใช้ให้ยกโอชิรุโกะมาหนึ่งถ้วย จากนั้นป้องปากกระซิบอะไรบางอย่างเล็กน้อย แต่สตาร์จูนไม่ใคร่ใส่ใจ

            “ลมอะไรหอบพระองค์มาถึงนี่เพคะองค์ชาย” เซ็ตสึโนะถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ตกใจมากมายนักหากแต่ควบคุมเสียงให้เบากว่าปกติอยู่มาก นางรู้ว่าบางทีที่เขาออกมานี่ไม่ใช่การมาอย่างเป็นทางการ ไม่ควรจะเปิดเผยมากมาย สตาร์จูนจิบน้ำชาหนึ่งอึก หัวเราะเบาๆ โบกพระหัตถ์ไปมา

            “ข้าไม่มีลับลมคมในอะไรหรอกยายเซ็ตสึ มาที่นี่ก็แค่อยากมาทานขนมของยายแล้วถือโอกาสพักผ่อนก็เท่านั้น”

            “ถ้าเช่นนั้นก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่เพคะ” หญิงชรายิ้มกว้าง “คาดว่าเรื่องทุกข์กายทุกข์ใจของพระองค์ยังไม่จางไปนัก มันยังคงแสดงออกอยู่บ้างโดยแววตาและกริยาท่านั่ง”

            ฟังหญิงชราว่าแล้วสตาร์จูนหัวเราะหึๆ เรียกได้ว่าสมกับเป็นผู้ที่ดูแลเคยดูแลเจ้าฟ้าชายอย่างใกล้ชิด มิใช่เรื่องฝีมือการทำอาหารเท่านั้น แต่ประสาทสัมผัสนั้นย่อมต้องเฉียบคมว่องไว ซึ่งยายเซ็ตสึก็ยังเป็นเลิศเสมอแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

            “วังกว้างใหญ่ ข้าอยู่มาแต่เล็กไม่เคยรู้สึกแต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจทีละน้อยแล้วว่าที่แท้มันน่าเคว้งคว้างบ้างอย่างไร บางทีอยู่ข้างนอกอย่างยายเซ็ตสึน่าจะมีความสุขกว่า”

            หญิงชราแย้มยิ้มกับข้อคิดเห็นของเด็กหนุ่ม ค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วทูล “ขอประทายอภัยเพคะ แต่หม่อมฉันขอบังอาจกราบทูลในฐานะของผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน หากพระองค์จะทรงหมายถึงการประทับอยู่ในวังเป็นเรื่องคับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก พระองค์อาจชมดูว่าที่นี่สะดวกสบาย อิสรเสรี ถึงยังคงมีการแบ่งแยกทั้งชนชั้นวรรณะตำแหน่งยศศักดิ์กันอยู่บ้างแต่ก็คงไม่เข้มงวดเท่าระเบียบประเพณีในรั้ววังเป็นแน่ อยู่ที่นี่ผู้คนไม่รู้จักท่าน ท่านไม่รู้จักใคร ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์อย่างเท่าเทียม นั่นอาจจริงในบางประการเพคะ แต่องค์ชาย...นอกรั้ววังยิ่งโหดร้ายกว่านั้น” สตาร์จูนเลิกคิ้วทันทีกับคำบอกกล่าว หากแต่เซ็ตสึโนะกลับยังไม่คลายรอยยิ้ม นางรินชาอีกจอก กล่าวต่อเรียบเรื่อย

            “พระองค์ตรัสว่าวังนั้นกว้างใหญ่ หากแต่ข้างนอกนี้กว้างใหญ่กว่าหลายเท่านัก อะไรล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งโชคลาภและเภทภัย แสวงโชคแต่เพียงผู้เดียวนั้นอาจจะสุข หากแต่ประสบทุกข์ตามลำพังนั้นนับว่าสาหัสยิ่งเพคะ ถึงเวลานั้นพระองค์จะเอื้อมมือหาใคร”

            องค์ชายอันดับสองแห่งแผ่นดินฟังคำหญิงชราแล้วดำริตามพาลสะเทือนในใจอยู่หลายขณะ ที่นางพูดล้วนถูกต้อง อาจเป็นเขาที่ยังมีใจอคติกับเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่บ้างจึงนึกชิงชังวิถีชีวิตในวังขึ้นมาจนไม่อาจระงับคำพูด องค์ชายอันดับสองค้อมพระเศียรเล็กน้อยยินยอมรับฟังในคำสอนของผู้อาวุโส ไม่ทันได้สนทนาต่อสาวใช้ได้นำโอชิรุโกะมาถวายเบื้องหน้า สตาร์จูนชมขนมหวานอยู่สักครู่ เหลือบตามองหญิงชราด้วยความสุขุมหากแต่แฝงไปด้วยกระแสกระตือรือร้นอย่างเด็กๆ

            “ข้าขอถอนคำพูดอยู่บ้าง ในตอนแรกข้ายินดีที่ยายหนีความวุ่นวายในรั้ววังมาสืบกิจการร้านอาหาร แต่ตอนนี้รู้สึกเสียดายอยู่หลายส่วน เพราะยายออกจากวัง ข้าถึงพลาดโอกาสรับประทานโอชิรุโกะของโปรดทุกวัน” เซ็ตสึโนะได้ฟังแล้วนางหัวเราะเบาๆอย่างนึกเอ็นดูก่อนทูลเชิญองค์ชายเสวย ครานั้นดวงตาคู่คมกลอกไปมากับหน้าตาขนมอีกครั้ง โอชิรุโกะถ้วยนี้นั้นทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว น้ำซุปถั่วอะซึกิสีแดงเข้มไม่ข้นไปไม่เหลวไปพร้อมกับโมจิปั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยม เพียงแค่สัมผัสด้วยปลายช้อนก็รับรู้ถึงความนุ่มหยุ่นชวนกัดเคี้ยว ย่อมบอกถึงความพิถีพิถันตั้งแต่ทุบข้าวแล้ว เด็กหนุ่มร้อง หืมขึ้นมาเบาๆเมื่อสัมผัสไอบางๆแผ่ออกจากถ้วยกระเบื้อง มันเป็นไอเย็น ที่แท้เป็นพระองค์ไม่นึกแปลกใจแต่แรก ทั้งไอน้ำที่เกาะอยู่เหนือซุปก็เกิดจากความเย็นทั้งสิ้น

            “ข้าเคยกินแต่แบบร้อน” องค์ชายพึมพำ ดวงตายังคงกลอกไปรอบถ้วยขนมด้วยแววตาใคร่รู้ “ที่แท้มันสามารถทำเป็นของหวานแบบเย็นได้ด้วยหรือ”

            แม่ครัวอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางยิ้มรับ ในดวงตามีประกายความภาคภูมิใจบางอย่าง นางตอบด้วยความยินดี “เป็นเช่นนั้นเพคะ โอชิรุโกะแบบเย็นนี้จำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิถือว่าเตรียมยากกว่าแบบร้อนอยู่ระดับหนึ่ง อีกทั้งยังต้องระวังเรื่องแป้ง จะทำให้เหนียวพอดีอย่างร้อนนั้นย่อมไม่ได้ อุณหภูมิที่ต่ำจะทำให้แป้งนั้นเกาะตัวกันเป็นก้อนแข็ง เสียรสชาติได้เพคะ” สตาร์จูนผงกศีรษะหลายทีรับรู้ก่อนจะคว้าช้อนตักซุปถั่วแดงเข้าปาก รสหวานพอดีตามธรรมชาติของถั่วอะซึกิผสานกับความหอมของน้ำตาลแต่งเติมอีกเล็กน้อยช่างลงตัว เขาตักอีกหลายคำ เป็นไปตามที่อดีตฮิมาวาริบอกทุกประการ เนื้อแป้งโมจินั้นเหนียวนุ่ม ซ้ำเขายังได้กลิ่นชาเขียวอวลมาจางๆ คงเป็นเพราะตัวเนื้อขนมโมจินั้นได้อบกลิ่นใบชามา ถือว่าทั้งรส กลิ่น สัมผัสเย็นชื่นใจ ทำให้เขาผ่อนคลายไม่น้อย

            “ที่ว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดนั้นท่าจะเป็นเรื่องจริง ฝีมือของท่านยังล้ำเลิศไม่เปลี่ยน อันที่จริงข้าว่ามันอร่อยขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ” องค์ชายอันดับสองตรัสชม หญิงชรายิ้มกว้างค้อมรับ นางหัวเราะอยู่หลายที ดวงตาเป็นประกายระยับ

            “องค์ชาย ขออภัยเพคะ แต่ผู้ที่ทำโอชิรุโกะเย็นถ้วยนี้มิใช่หม่อมฉันหรอกเพคะ”

            สตาร์จูนร้องอ้าวขึ้นด้วยความแปลกใจ ก้มมองถ้วยขนมสลับกับหญิงชราอีกครั้ง ขนมนี้รสชาติดีไม่เหมือนใคร ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันในการเตรียม ต้องถือว่าเป็นคนครัวที่มีฝีมือสูงเลยทีเดียว สตาร์จูนนึกสนุกกลอกตาคิดแล้วสอบถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นฝีมือศิษย์เอกของท่านหรือ”

“องค์ชาย หม่อมฉันมีศิษย์ก็จริง แต่นางก็ยังเยาว์วัยนัก ทั้งยังเรียนวิชาจากหม่อมฉันไม่ถึงครึ่ง นางย่อมไม่กล้าทำสิ่งที่ประหลาดพิสดารต่างไปจากที่หม่อมฉันสอน ทูลองค์ชายตามตรงเพคะ โอชิรุโกะแบบเย็นซ้ำยังนำแป้งไปอบใบชาเช่นนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน นับว่าเป็นถ้วยแรกของร้านเพคะ” เซ็ตสึโนะหัวเราะคิกคัก “หม่อมฉันได้กระซิบบอกสาวใช้ไปว่าพระองค์ทรงมีอาการเหน็ดเหนื่อยซ้ำยังเพิ่งถูกเคี่ยวกรำจนพระทัยมัวหมอง นี่คงเป็นความคิดของผู้ปรุงที่มีความประสงค์จะบรรเทาความทุกข์กายใจขององค์ชายแล้วเพคะ”

สตาร์จูนรับฟังพลันเกิดความแปลกประหลาดใจจนนั่งนิ่ง จะว่าแปลกใจอย่างเดียวก็ไม่ถูกเมื่อดวงใจรู้สึกถึงความอบอุ่นซาบซ่านแม้จะยังไม่รู้อะไรแน่ชัดนัก เป็นความรู้สึกดีอย่างอย่างไม่ถูกจนต้องระบายออกมาเป็นรอยยิ้ม ออกปากเอ่ยกับหญิงชราด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยน “ยายเซ็ตสึ ข้ายอมแล้ว ได้โปรดท่านบอกข้ามาเถิดว่าใครเป็นผู้ทำโอชิรุโกะถ้วยนี้...ข้าอยากรู้จัก”

“เป็นหลานของหม่อมฉันเองเพคะ” เซ็ตสึโนะตอบโดยไม่ปิดบัง สตาร์จูนพยักหน้ารับรู้ยิ้มกว้างอีก รอยยิ้มนั้นเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมใหญ่หลวง

“ดีจริง ท่านได้หลานที่ดีอย่างยิ่งเลยท่านยาย ชายชาตินักรบเป็นหน้าเป็นตาของบรรพบุรุษได้ด้วยสืบสานลัทธิบูชิโดฉันใด สตรีอ่อนหวานผู้มีเสน่ห์ปลายจวักอันละเอียดลออก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของเหย้าเรือนฉันนั้น คาดว่าในอนาคตถึงวัยที่ต้องออกเรือนคงเป็นศรีแก่ตระกูลที่นางตบแต่งเข้า” อดีตฮิมาวาริสูงวัยชะงักไปเล็กน้อยกับกระแสรับสั่งสรรเสริญนั้น ทบทวนคำพูดตนแล้วก็เห็นถึงข้อบกพร่องจึงกล่าวตอบออกไป

“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันในฐานะคนเป็นย่ารู้สึกปลาบปลื้มใจ แต่ขอบังอาจเอ่ยแก้บางอย่าง” นางหัวเราะอยู่หลายคำ “หลานของหม่อมฉันนั้นคงจะไปแต่งเป็นสะใภ้เข้าตระกูลใดคงไม่ได้เป็นแน่ ให้เขาหาหญิงที่ดีมาเป็นศรีภรรยายังคงพอเป็นไปได้อยู่บ้างเพคะ”

องค์ชายดันดับสองได้ฟังพลันรู้สึกมึนงง พระเนตรเบิกกว้างจบต้นชนปลายเองในความคิดแล้วสรุปความออกมาได้เองในที่สุดว่าเขาเข้าใจเพศสภาพของผู้ปรุงโอชิรุโกะนั้นผิดไป เท่านั้นก็เป็นอีกครั้งที่องค์ชายผู้เคร่งครัดแบบแผนไม่ทราบว่าจะกล่าวเช่นไรดี กลอกตาหลบหญิงอาวุโสเบื้องหน้าอย่างวุ่นวาย นึกสนเท่ห์โลกภายนอกเป็นทบทวี เขาเติบโตมาในวัง รับรู้เพียงว่าสิบสองกองงานฝ่ายในแห่งวังหลังนั้นมีแต่หญิงทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่ากองห้องเครื่องก็ต้องเป็นหญิงล้วนเช่นกัน รสชาติอาหารที่เคยลิ้มลองมานั้นเลิศเลอละมุนละไม เครื่องเสวยตกแต่งงดงามอลังการสมควรแล้วที่จะเป็นงานของหญิงผู้ละเอียดอ่อนกว่าชาย แต่กระนั้นเขาก็พอไตร่ตรองได้ว่าทั้งแผ่นดินให้มีแต่แม่ครัวคงกระไรอยู่ จะต้องมีพ่อครัวอยู่บ้าง แต่ปริมาณก็คงสักหยิบมือหนึ่ง จะมีบุรุษคนใดจะยินยอมสมัครใจละทิ้งอุปนิสัยทระนงองอาจนั้นมาจับตะหลิวทัพพี ขลุกตัวอยู่แต่ในครัว ด้วยยุคสมัยนี้ บ้านเมืองยังต้องระวังศึกภายในและภายนอก ทั้งลัทธิซามูไรยังคงเข้มข้น หากใครได้ฝึกปรือได้ถือครองเพลงดาบสักสำนักนั้นนับเป็นความภาคภูมิใจแก่ตนและตระกูล ยากดีมีจนอย่างไรก็ต้องหาโอกาสส่งบุตรชายตนไปร่ำไปเรียนกันตั้งแต่เยาว์วัย

นับว่าอดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะเลี้ยงดูหลานชายได้ผิดแผกจนน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง อีกประการขึ้นชื่อว่าเป็นหลาน นั่นนับว่าคงจะยังเด็กอยู่ไม่น้อย ดีไม่ดีอาจจะเยาว์วัยกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ตัวแค่นั้นกลับปรุงอาหารได้เยี่ยมยอดขนาดนี้ ถูกฝึกมาตั้งแต่กี่ขวบกัน  สตาร์จูนหัวเราะกับตัวเองในใจ เขาเคยนึกตราหน้าเจ้ารัชทายาทว่าเป็นกบในกะลา โลกภายนอกเป็นเช่นไรไม่เคยพบเห็น แต่ตัวเขาเองก็นับว่าพ้นกะลาแล้วเสียเมื่อไหร่ จากเจ้าเด็กน้อยชมชอบศาสตร์สมุนไพรนั่นก็มาหลานท่านยายเซ็ตสึนี่ 

เสด็จพ่อ แผ่นดินนี้กว้างใหญ่เสียจริง ประชาชนตัวน้อยๆของพระองค์ก็ใช่ธรรมดาสามัญเสียเมื่อไหร่ แปลกประหลาดน่าสนใจทั้งสิ้น

น่าสนใจ...เสียจนอยากจะพบหน้า

ราวกับว่าหญิงชราเซ็ตสึโนะเดาความต้องการขององค์ชายอันดับสองออก นางหัวเราะในลำคอแล้วเอ่ยแจ้งไปตามตรง “น่าเสียดายว่าช่วงที่หม่อมฉันรับรององค์ชายอยู่นี้ เด็กคนนั้นก็ต้องง่วนอยู่กับงานในครัวส่วนของหม่อมฉันด้วย เขาอยู่ในเครื่องแบบไม่เรียบร้อยนัก เสื้อผ้าหน้าผมติดกลิ่นอาหาร คาดว่าคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะมาเข้าเฝ้าเพคะ”

สตาร์จูนฟังแล้วทั้งอึ้งทั้งผงะ รีบตอบน้ำเสียงติดๆขัดๆเพราะความกระอักกระอ่วนใจ

“ข้า...ข้าก็ไม่ได้รบเร้าท่าน นี่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด...ไม่ ไม่ต้องก็ได้” เขาหลบตาหญิงชราอีกระลอกอย่างไม่อาจห้าม แสร้งจิบชาทำอย่างอื่นไปเพื่อกลบเกลื่อนท่าทางผิดวิสัย รอยยิ้มของอดีตฮิมาวาริไม่เลือนหาย นางจับจ้ององค์ชายอันดับสองของแผ่นดินอยู่พักหนึ่ง พูดคุยกันมาหลายคำ ท่านทราบแล้วว่าองค์ชายผู้เคร่งครัดระเบียบประเพณีองค์นี้แท้จริงแล้วก็คือเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง มีความรู้สึกดังเช่นปุถุชนสามัญ หากแต่แสดงออกไม่ได้ พอครั้นจะแสดงออกถึงได้ดูออกง่ายเช่นนี้ นางคิดแล้วเกิดความเอ็นดูอย่างหนึ่ง จึงทูลออกไป

“วันนี้ร้านของหม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่องค์ชายทรงมาเยี่ยมเยียน เพื่อตอบแทนหม่อมฉันมีเรื่องจะเล่าถวายให้พระองค์สดับรับฟัง หากพระองค์ทรงเชื่อก็ขอให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพระองค์ในเร็ววัน แต่ถ้าหากไม่เชื่อก็โปรดอภัยให้กับหญิงชราฟั่นเฟือนผู้หนึ่งและถือเรื่องนี้เป็นนิทานปรัมปราให้ผ่อนคลายอารมณ์เพคะ”

“เรื่องอะไรหรือ”

“เป็นเรื่องของ ฮิมาวาริเพคะ” คำนั้นดึงดูดความสนใจของเจ้าชายอันดับสองยิ่งนัก เรื่องนี้เขาทราบที่มาที่ไปเพียงเล็กน้อย ราวกับว่าเป็นตำแหน่งที่คล้ายสำคัญคล้ายชืดจาง ทั้งอยู่ในรั้วในวังมาร่วมสิบห้าปียังไม่มีใครเอ่ยปากถึงนามฮิมาวารินี้โดยชัดเจน เจ้าชายไม่กล่าวอันใด ยืดตัวตรงรับฟังอย่างดี เซ็ตสึโนะจึงเล่าต่อ

“ฮิมาวารินั้นทั่วทั้งแผ่นดินจะมีอยู่ได้เพียงหนึ่งหรือสองคน มิใช่ตำแหน่ง มิใช่ยศถา หากแต่คือสิ่งยึดเหนี่ยวอันสูงค่าที่สุดของพวกเราคนทำครัวให้เป็นจุดยืนอันสูงสุดของผู้ประกอบวิชาชีพอันเป็นที่ฝากท้องของผู้อื่น มิใช่ประกอบอาหารได้โอชาที่สุดจึงจะได้เป็น มิใช่ว่ารู้เรื่องส่วนผสมเครื่องเทศแตกฉานที่สุดจึงจะเหมาะสม รวมถึงผู้ที่มีวิธีปรุงได้วิจิตรพิสดารที่สุดก็ย่อมไม่ใช่” สิ้นสุดประโยคนี้ของหญิงชรา สตาร์จูนจึงขมวดคิ้ว บอกออกไปด้วยความมั่นใจระดับหนึ่ง

“แต่ข้าทราบมาว่าฮิมาวารินั้นต้องแข่งกันประกอบอาหารและผ่านบททดสอบมากมายจนกว่าจะได้ผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งและสอง ซึ่งถือเป็นฮิมาวาริของเจ้ารัชทายาทและองค์ชายผู้มีฐานันดรศักดิ์รองลงมาหนึ่งพระองค์ เป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่นับว่าคนครัวสองคนนั้นคือคนครัวที่เพียบพร้อมที่สุดในแผ่นดินหรอกหรือ”

“เรื่องการแข่งขันนั่นเป็นความจริงเพคะ” เซ็ตสึโนะตอบด้วยรอยยิ้ม “หากแต่ว่าจนปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้มีเกณฑ์เขียนระบุอย่างชัดเจนว่าต้องปรุงอาหารอย่างไรจึงจะได้อันดับหนึ่ง ต้องแต่งเครื่องเสวยงดงามเพียงไหนจึงจะชนะ ต่อให้ค้นทั้งกองงานอักษรก็ไม่อาจพบหลักการตัดสินฮิมาวาริแม้แต่ข้อเดียว”

“เป็นไปไม่ได้” องค์ชายอันดับสองค้านอย่างไม่เข้าใจ แต่ไหนแต่ไรเขาทราบว่าประเพณีต่างๆที่จัดขึ้นในรั้วในวังต่อให้เล็กใหญ่ก็ต้องมีที่มาที่ไป มีการระบุกฎระเบียบข้อบังคับชัดเจน แล้วจะให้เขาเชื่อเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร “ฮิมาวาริคนนั้นคือคนที่ต้องอยู่ข้างกายเจ้าฟ้าชายคนสำคัญ...”

“ใช่เพคะ เพราะต้องอยู่เคียงข้างองค์ชาย ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นที่พึ่งของพระองค์ ทำให้พระองค์สุขสราญทุกครั้งที่ได้เสวย ทำให้พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรงกระทั่งทรงเข้าบรรทมได้อย่างผ่อนคลาย องค์ชายสตาร์จูนลองตรองดูว่าคนที่จะทำให้พระองค์ได้ขนาดนี้ แท้ที่จริงแล้วคือคนแบบใด” หญิงชราว่า นางยิ้มอย่างใจดี ทอดกระแสเสียงคล้ายรำลึกถึงอดีตอันมีค่า “ขอแค่องค์ชายพึงพอใจ ไว้วางใจที่จะให้คนผู้นั้นเป็นที่พักพิงของพระองค์ นั่นย่อมคือฮิมาวาริเพคะ หม่อมฉันขอยกตัวอย่าง เมื่อสักครู่นี้ที่พระองค์ตรัสว่าโอชิรุโกะถ้วยนี้อร่อยกว่าที่หม่อมฉันเคยทำถวายให้ ถ้าหากหลานชายของหม่อมฉันมาได้ยิน เขาต้องส่ายหน้าโบกมือเป็นระวิง หน้าซีดเผือด แก้ตัวยกใหญ่แน่แล้ว ซึ่งหม่อมฉันก็ต้องทูลตามสัตย์จริงว่าด้วยวัยของเด็กเพียงสิบเอ็ดปีจะมีประสบการณ์การทำอาหารสูงกว่าหม่อมฉันที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ขนมนี้ก็ยังถูกโอษฐ์ของพระองค์มากกว่า นั่นล่ะเพคะคือคำตอบ”

สตาร์จูนรับฟังถ้อยคำอธิบายแล้วได้แต่นิ่งงันเงียบฟัง รู้สึกเห็นด้วยบ้างแต่ก็ยังแคลงใจอยู่บ้าง หากแต่สิ่งที่ยายเซ็ตสึยกตัวอย่างขึ้นมาเขาไม่คิดเถียงแม้แต่คำเดียว

“องค์ชาย ทีนี้หม่อมฉันขอย้อนกลับไปแต่ต้นที่เราได้สนทนากัน หม่อมฉันสัมผัสได้ว่าพระองค์รู้สึกลำบากไม่น้อยกับชีวิตในวังตอนนี้ มีบ้างที่อาจเคว้งคว้าง เหนื่อยยาก ต้องการคนปลุกปลอบและเข้าใจ ถ้าหากทรงดำรงพระยศเป็นองค์ชายอันดับสองต่อไป พระองค์ย่อมได้พบกับคนผู้นั้น คนผู้ที่จะรับใช้พระองค์ด้วยดวงใจทั้งหมดที่มี เช่นเดียวกับที่พระองค์ใช้พระทัยเลือกสรรเขามา และถ้าต่อจากนั้นพระองค์คิดละทิ้งอิสริยยศเมื่อใด คนผู้นั้นก็จะละทิ้งวังหลวงออกมากับพระองค์ด้วย ประสบชะตากรรมเช่นไรจะคอยสอดส่องดูแลและจะเป็นคนที่ให้พระองค์เอื้อมพระหัตถ์หาได้ทุกเมื่อ จะกลายเป็นเพื่อนร่วมเป็นตายคนหนึ่งในแผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้”

เซ็ตสึโนะค้อมกายเชื่องช้าสง่างามหนึ่งครั้ง สำทับลงไปด้วยเสียงทรงพลังกังวาน

“นั่นคือฮิมาวาริเพคะ”










องค์ชายอันดับสองไม่กลับวังด้วยเหตุผลหลากหลายประการ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาออกจากวัง แต่ก็ต้องค้างอ้างแรมเป็นครั้งแรกเสียแล้ว เขานึกห่วงพระมารดาอยู่บ้าง แต่นางเป็นเพียงแค่หญิงมืออ่อนหัวอ่อนแต่ไม่ใช่ไม่ทราบสถานการณ์จนไม่คิดรับรู้สิ่งใด หากมีผู้อธิบายคิดว่าคงทำให้นางเบาใจได้ ซึ่งก็คงจะเป็นองค์จักรพรรดิเอง

สตาร์จูนเดินไปตามถนนของชุมชน เข้ายามสองแล้วบางร้านค้าคลุมผ้าปิดบานประตูแต่บางร้านนั้นเพิ่งได้เริ่มรับแขก อันเป็นช่วงเวลาท่องราตรีของเหล่าผู้คนเจ้าสำราญ ร่างสูงสง่าแวะเข้าโรงน้ำชาขนาดกลางทว่าตกแต่งได้หรูหราแห่งหนึ่ง สถานที่เริงรมย์เช่นนี้ไม่ใช่เขานึกรังเกียจรังงอนอะไรขึ้นมา แม้ไม่เคยเข้ามาก่อนแต่ก็รับรู้มาตั้งแต่เข้าสู่ช่วงเป็นเด็กรุ่นว่าส่วนใหญ่บุรุษทั้งสมรสและโสดมักแสวงหาความสุขยามวิกาลกันเช่นนี้

องค์ชายอันดับสองคลี่ยิ้มคล้ายประชดประชันหนึ่งที พลางก้มมองตัวเอง ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอาภรณ์ของขัตติยวงศ์ ไม่มีเครื่องประดับยศสักอย่าง ถ้าอย่างนั้นจะเข้าโรงน้ำชาบ้างตามประสาบุรุษสักคราคงไม่แปลกอะไร

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าพ้นม่าน ความแตกต่างของบรรยากาศนั้นราวกับเปลี่ยนโลกได้ แสงไฟสลัวเป็นสีออกแดง กลิ่นกำยานหอมฟุ้งคล้ายจะปั่นป่วนประสาทการรับกลิ่นให้เคลิบเคลิ้มใหลหลง ผสมผสานกับเสียงดนตรีประโคมจากปลายนิ้วเกอิชาผู้งามล้ำเป็นทำนองผะแผ่วแว่วหวานแฝงกระแสเย้ายวนยิ่งย้อมสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสรวงสวรรค์บนดิน

มาม่าซังเห็นองค์ชายอันดับสองแต่งตัวเหมือนคุณชายของผู้มีอันจะกินจึงรีบเดินฉุยฉายออกมาต้อนรับด้วยน้ำเสียงหวานหยด ซักถามอย่างคล่องแคล่วว่าเขาต้องการสิ่งใด ทั้งดนตรี การร่ายรำ การละเล่น ชา หรือน้ำเมา เกอิชาในอาณัติเธอล้วนจัดบริการให้ได้เป็นอย่างดี แต่เขากลับปฏิเสธมันทั้งหมด กุเรื่องไปว่าเขาเป็นมือปราบของทางการ ขอโต๊ะนั่งมุมหนึ่งเงียบๆที่สามารถขบคิดสะสางงานได้ อาหารอะไรไม่ต้อง ขอน้ำเปล่าหนึ่งเหยือกกับถ้วยสองใบก็พอ

มาม่าซังประหลาดใจกับคำกล่าวนั้น นางรับแขกมาตั้งแต่ยังวัยแรกแย้มจนบัดนี้เป็นสาวใหญ่ นี่นับเป็นเด็กหนุ่มหน้าอ่อนดูแล้วคงไม่ใช่วัยที่จะท่องราตรีเท่าใดนักผนวกกับดาบชั้นดีที่ข้างเอวทำให้นางพอจะทราบว่าชายผู้นี้ไม่ได้เข้าโรงน้ำชาด้วยความต้องการทั่วไป นางรีบจัดหาที่ให้ ยิ้มแย้มเย้าแหย่ตามวิสัยเหมือนไม่มีอะไรผิดแผก จัดหาน้ำท่าให้แล้วไม่เข้ามาตอแยอีก

สตาร์จูนจิบน้ำได้ไม่ทันหมดจอกก็ปรากฏร่างชายสูงวัยผู้หนึ่งเข้ามานั่งตรงข้ามกับเขา ชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดขุนนาง ผมดำขาวปะปนกันรวบขึ้นพันด้วยแถบผ้าไหมแน่นหนา หนวดเคราดกครึ้ม ดวงตาคู่นั้นคมกริบ ฉาบไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจอยู่ไม่น้อย หากแต่มองอีกมุมก็นับว่าเป็นเครื่องบ่งบอกว่าชายผู้นี้คือคนฉลาดเจ้าเล่ห์

“ท่านออกมาทำอะไรในที่แบบนี้รึ ชิเงะมัตสึ” องค์ชายอันดับสองตรัสถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แฝงไปด้วยความเยือกเย็นอยู่เจือจาง ชิเงะมัตสึ ยามนี้ดำรงเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย หนึ่งในสี่ตำแหน่งของสำนักคามิผู้ใกล้ชิดองค์จักรพรรดิมากที่สุด สตาร์จูนรินน้ำในเหยือกใส่อีกจอกที่เตรียมไว้ ยื่นให้กับขุนนางอาวุโสอย่างไม่ถือตัว “ตามข้ามาเหนื่อยๆ ข้าว่าท่านควรดื่มน้ำดื่มท่า มีอะไรอยากบอกข้าก็ค่อยๆพูดไป”

ชิเงะมัตสึหัวเราะออกมาไม่ดังไม่เบานัก นัยน์ตาคล้ายจิ้งจอกนั่นพราวระยับ ลดเสียงลง “ทรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทำให้ข้าประหยัดคำพูดได้หลายประโยคเลยทีเดียว แต่ข้าไม่คาดคิดว่าองค์ชายผู้ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมจะกล้าเดินเข้าโรงน้ำชา พระองค์ทำให้พระสนมเป็นห่วงแน่แล้ว”

มุมโอษฐ์ขององค์ชายกระตุกเป็นรอยยิ้มพร้อมส่งเสียง หึหนึ่งที โบกพระหัตถ์ปฏิเสธ

“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยไม่ประสานะท่านเสนาบดี อีกไม่กี่ปีก็ต้องตบแต่งสะใภ้ให้พระมารดา หรือไม่ก็ต้องได้ฮิมาวาริมาดูแลใกล้ชิดข้างกาย ไม่ใช่องค์ชายน้อยที่ต้องทนอดอู้อยู่ในตำหนักไปจนตายได้ ท่านก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ย่อมเข้าใจสัญชาตญาณความปรารถนาลึกๆของบุรุษดีมิใช่หรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมเข้าใจ” ชิเงะมัตสึค้อมรับด้วยท่าทีเคารพนบนอบ หากแต่ดวงตากลับทอดทอด้วยความเย็นยะเยือก “สุรานารี เพลงดาบที่กล้าแกร่ง ลาภยศและอำนาจ นี่คือของหอมหวานที่สันดานแห่งบุรุษไม่อาจหลีกหนีได้ ต้องไขว่คว้ามาไว้ในครอบครอง เพื่อของเหล่านี้ต่อให้ต้องหลั่งเลือดสักกี่หยดก็ไม่เสียดาย ไม่ว่าจะชนชั้นทาสต่ำต้อย หรือสูงส่งเช่นโอรสพระอาทิตย์ก็ย่อมกระเหี้ยนกระหือรือไม่ต่างกัน”

“ท่านคิดจะพูดอะไร” องค์ชายอันดับสองตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ในขณะคนอาวุโสกว่ายังคงยิ้มแย้มกล่าวเปรยราวกับไม่รีบร้อนอันใด

“เรื่องเมื่อสิบห้าวันก่อนนั้นกระหม่อมรู้สึกสะเทือนใจยิ่ง หากแต่เห็นพระองค์คืนพระวรกายสมบูรณ์แข็งแรงได้กระหม่อมก็เบาใจ แต่เหตุการณ์คราวนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่โตไม่น้อยในพระราชวังอันสุขสงบมาเนิ่นนานจึงทำให้มีคนกล่าวขานพระองค์ในหลายแง่ต่างๆนานา บ้างก็ว่าพระองค์ทรงทำเกินกว่าเหตุไม่เกรงอาญาแผ่นดิน หมิ่นทายาทแห่งสวรรค์ บ้างก็ว่าพระองค์ทรงทำดีแล้ว เจ้ารัชทายาทจะได้หลาบจำสำนึกตนไม่ประพฤติเหลวไหลอีก”

“คนประเภทแรกคงจะเป็นเหล่าอำมาตย์ชราหัวโบราณห่วงว่าบัลลังก์ของเจ้ารัชทายาทโทริโกะจะสั่นคลอน ส่วนบุคคลประเภทที่สองคงจะเป็นเหล่าราชครูที่ต้องหัวปั่นเพราะความดื้อรั้นของเจ้ารัชทายาทมามาก” สตาร์จูนหัวเราะหึคล้ายขบขันในความคิดของตนเองเพียงแต่ดวงตาคู่คมสีดำขลับราวปีกกาไม่ได้ยิ้มไปด้วย จับจ้องชิเงะมัตสึแล้วเอ่ยถามออกแผ่วเบาทว่าแต่ละคำชัดเจนหนักแน่น “แล้วท่านเล่า ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านจัดอยู่ในคนประเภทไหนกัน”

สิ้นสุดคำถามริมฝีปากของชายวัยกลางคนยกเป็นรอยยิ้มครั้งหนึ่ง ผสมผสานไปด้วยความพึงพอใจ สาแก่ใจและสนุกสนาน ชิเงะมัตสึพยักหน้าสองสามที มือไม้ไม่จับสิ่งใดกลับประสานกันแล้ววางบนโต๊ะ ท่วงท่าเปลี่ยน บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยน เขาดูแคลนการตอบสนองต่อเรื่องราวขององค์ชายผู้เถรตรงคนนี้เกินไป ที่แท้จริงแล้วเด็กคนนี้คิดไปไกลถึงเพียงไหน ชิเงะมัตสึก็ไม่อาจคาดเดา หากแต่ความคิดกับความรู้สึกนั้นมันแยกส่วน เก็บความคิดได้มิดเพียงไหน แต่ความรู้สึกกลับแสดงออกมาทางแววตานั้นหมด ไม่ใช่คนนิสัยอย่างสตาร์จูนเป็นผู้ที่มองออกง่ายเพียงนั้น ก็เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายเองที่เชี่ยวชาญการสังเกตคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

“กระหม่อมไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนทั้งสองประเภท กระหม่อมไม่หวั่นเกรงที่จะมีเรื่องต่อยตีกันในหมู่เด็กผู้ชายวัยเยาว์ และไม่ยินดีที่พระองค์คิดปรารถนาดีอย่างพระเชษฐามีต่อพระอนุชา สิ่งที่จะสั่นคลอนความรู้สึกของกระหม่อมได้มีเพียงอย่างเดียว...นั่นก็คือการผลัดเปลี่ยนบัลลังก์”

สิ้นคำพูดของชายอาวุโสสตาร์จูนนั่งนิ่งราวกับมีคนนำน้ำเย็นมาราดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ชิเงะมัตสึกล่าวแก่เขาไม่มีปิดบัง ไม่มีความเกรงกลัว เช่นเดียวกันกับเจ้าชายอันดับสองที่รับฟังเรื่องราวอย่างไม่ตระหนกตกใจจนเกินไปเช่นกัน เขาเป็นผู้บอกกับตนเองว่าในรั้วในวังนั้นมีหลากหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมควร เรื่องนี้ก็ไม่ต่างอันใด ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่เพิ่งเกิด ดังนั้นจะว่าสตาร์จูนได้คาดการณ์มาบ้างก็คงจะได้

“ท่านไม่ไว้วางใจเจ้ารัชทายาทอย่างนั้นรึ”

“องค์ชายช่างเป็นคนเถรตรง อภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ คำถามนั้นกระหม่อมไม่อาจเอื้อมที่จะตอบ” ชิเงะมัตสึว่าด้วยรอยยิ้ม องค์ชายอันดับสองเลิกพระขนงขึ้น ครางรับในลำคอ มั่นใจไปอีกหลายส่วน ชักตีความลมปากของเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้ชาญฉลาดได้ ประโยคเมื่อสักครู่เหมือนเป็นการแสดงออกท่าทีไม่อยากหมิ่นเบื้องสูง ทว่าน้ำเสียงและแววตา ชายสูงวัยผู้นี้ยอมรับกับเขาอย่างเต็มปากเต็มคำ

จะว่าไม่ได้ เจ้ารัชทายาทโทริโกะก็มีนิสัยเสียอย่างนั้น อายุอานามแม้จะสิบเอ็ดขวบปีแต่ก็ถือว่าโตจนรู้ความอยู่มากแล้ว สมควรจะจับงานการได้บ้างสักอย่าง แม้เขาจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังความคิดอ่านของโทริโกะ แต่ไม่อาจบอกว่าไม่รู้ความคิดของเหล่าเสนาบดี ชิเงะมัตสึเป็นขุนนางชั้นสูงที่กล้ามาเปิดอกสนทนากับเขาเช่นนี้ คาดว่าคนถือหางคงมีอีกเป็นพะเรอเกวียน

“ท่านอย่าเพิ่งด่วนคิดด่วนทำไป...จนกว่าจะผลัดแผ่นดินมีเวลาอีกนานโขที่จะอบรมเจ้ารัชทายาทให้เอาอ่าวขึ้นมา” สตาร์จูนเสนอไปด้วยท่าทีเรียบเฉยไม่กระโตกกระตากราวกับว่ากำลังหารือกันด้วยเรื่องธรรมดา ฝ่ายเสนาบดีหัวเราะหนึ่งที แฝงความประชดประชันร้ายกาจ

“องค์ชาย ท่านประทับอยู่ในตำหนัก หอสมุด ไม่ก็ลานฝึกดาบ สำหรับเจ้าฟ้าชายที่มีวิถีชีวิตเป็นระเบียบแบบแผนนี้กาลเวลาที่ผันผ่านไปแต่ละวันคงจะยาวนานอยู่กระมัง หากแต่สำหรับคนทำงาน ยิ่งผู้ที่เป็นหูเป็นตาเป็นแขนและขาให้กับองค์จักรพรรดินั้นเห็นต่างไปอยู่มากทีเดียว เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น”

สตาร์จูนขมวดคิ้ว ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจผสมหวาดระแวง “ท่านว่าอะไรนะ”

“เสด็จปู่ของท่าน องค์จักรพรรดิองค์ก่อนนั้นแตกฉานปรีชายิ่งในทุกๆด้าน พระองค์รวบรวมชายแดนหัวเมืองต่างๆให้เข้ากับเมืองหลวงเราได้สำเร็จ เพียงแต่ระยะเวลาไม่ถึงศตวรรษนี้ยังไม่พอที่จะเป็นพิสูจน์การหล่อหลอมได้สนิท ยิ่งตอนนี้เมืองท่าสำคัญที่กำลังรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจด้วยเป็นท่าเรือใหญ่ การฝึกทหารเข้มแข็งและมีสำนักประสิทธิ์ประสาทวิชาอยู่มากอย่างแคว้นซะสึมะนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการเอาใจออกห่างเมืองหลวงเรา” ชิเงะมัตสึกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคล้ายสุนัขจิ้งจอกคราวนี้ไม่กลิ้งกลอกหลอกลวง กดมององค์ชายอันดับสองคล้ายจะย้ำเตือน “พระองค์ทรงเข้าพระทัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ...สถานการณ์เช่นนี้จะดีจะร้ายนั้นเกิดรวดเร็วเพียงแค่พลิกฝ่ามือ เราจำเป็นต้องมีองค์เหนือหัวที่เข้มแข็ง...”

“แล้วท่านเห็นข้าเข้มแข็งเช่นนั้นหรือ” องค์ชายอันดับสองแทรก มุมปากขยับหยักเป็นรอยยิ้มดูแคลน เขาแค่นหัวเราะเบาๆ กลิ้งจอกในมือ “ที่ท่านกับข้าดื่มด้วยกันอยู่นี้เป็นเพียงน้ำเปล่าธรรมดาๆ ไม่ใช่สุราใดๆ ข้าไม่ได้มีอาการมึนเมาให้ท่านใช้วิธีกล่าวอ้อมค้อมไปมาสรรเสริญให้ข้าคิดเข้าข้างตนเองจนถลำลึกไปกับพวกท่าน” สตาร์จูนเหลือบตาขึ้นมอง นัยน์ตานั้นแข็งกร้าวข่มขู่จนผู้ถูกมองรับรู้ถึงความเย็นที่หลังคอวูบหนึ่ง

“สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นร้ายแรงเพียงไหนท่านย่อมรู้ดีกว่าข้าเสียอีก แล้วเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ท่านควรจะตรองก่อนที่จะกล่าวกับใคร โดยเฉพาะกับคนเช่นข้า...ข้าไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ท่านคาดหวังไว้หรอกท่านเสนาบดี ถ้าหากข้าเป็นคนทะเยอทะยานแสวงหาความเข้มแข็งเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ข้าคงไม่ยั้งดาบบั่นพระเศียรเจ้ารัชทายาทไปแล้ว ทุกวันนี้ข้าคงไม่ใช่องค์ชายแต่กลายเป็นกบฏแผ่นดินที่ร้ายกาจผู้หนึ่ง ซึ่งข้าก็ได้กล่าวคำสัตย์สาบานต่อหน้าพระพักตร์ในวันที่รับโทษแล้วว่าข้าไม่วันที่จะเป็นเช่นนั้น”

“องค์ชาย...”

“วันนี้เราเลิกรากันแต่เพียงเท่านี้เถอะท่านชิเงะมัตสึ ข้าจะทำเป็นว่าข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ท่านยังไม่ได้ทำอะไรแก่ข้า ไม่ได้ทำอะไรกับความมั่นคงของแผ่นดิน ข้าจะยังไม่เอาความ”

“ท่านฝึกดาบจนชำนาญเก่งกล้า” คำเปรยของเสนาบดีอันไม่เกี่ยวกับเรื่องราวทำให้องค์ชายอันดับสองชะงักพลัน จากว่าที่จะลุกเดินออกไปกลับทำไม่ได้ เขานั่งอยู่กับที่ ขมวดคิ้วแน่นเมื่อชายสูงวัยเริ่มคลี่ยิ้ม “เพราะอาวุธนั้นไร้ดวงตา...ผู้ที่ฝึกดาบนั้นจะมีประสาทสัมผัสว่องไวกับผู้อื่นและต้องเฝ้าดูใจตนได้ดีกว่าผู้อื่นด้วยไม่ให้ความกระหายเลือดเข้าครอบงำจนทำให้สูญสิ้นตัวตน เปลี่ยนมนุสสากลายเป็นเครื่องมือสังหาร แต่เหตุใดองค์ชายผู้ปราดเปรื่องจึงยังตามหัวใจของตนเองไม่ทันกันหนอ”

สตาร์จูนหน้าตึงไปทันตา เด็กหนุ่มข่มอารมณ์ไว้ด้วยการเม้มริมฝีปาก จ้องคนตรงหน้าไม่กะพริบคล้ายสัตว์ล่าเนื้อที่จ้องสัตว์ล่าเนื้อด้วยกัน และกลัวจะโดนแว้งกัดทันทีที่ละสายตา

“องค์ชาย ที่กระหม่อมบังอาจเข้ามานั่งเก้าอี้ระดับเดียวกับพระองค์ตอนนี้นั้น กระหม่อมหาได้รวบรวมความกล้าหรือข่มความประหม่าแต่อย่างใดไม่เพราะกระหม่อมมั่นใจว่าสายตาของกระหม่อมยังไม่ฝ้าฟาง กระหม่อมมิได้สังเกตพระองค์เพียงแค่ช่วงสิบห้าวันที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย หากแต่สังเกตพระองค์มาทั้งพระชนม์ชีพสิบห้าชันษา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว น้ำเสียงฟังปลอดโปร่งทว่าเต็มไปด้วยไอของความกดดันจนทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะนั้นหนักอึ้ง

“พระองค์หลอกลวงใครก็ได้ในแผ่นดินนี้ไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิ โป้ปดผู้ใดก็ได้แม้แต่สวรรค์ แต่พระองค์ทรงปิดบังใจตนเองไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ อย่านึกว่ากระหม่อมไม่เห็น ว่าท่านส่งสายตาแบบใดเมื่อมองดูเจ้ารัชทายาท พระหัตถ์ที่กำด้ามดาบนั้นต้องระงับจิตฝ่ายมารจนสั่นสะท้านเพียงไร ยามนี้พระองค์อาจนึกว่ามันไม่สาหัส แต่ถ้าหากปล่อยไปนานเข้า มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ความริษยาเกลียดชังยิ่งเพิ่มพูน พระองค์ก็จะทรงรู้ใจตัวเองในที่สุดว่าแท้จริงแล้วดาบของพระองค์ประสงค์จะดื่มเลือดของใครมากที่สุด”

“ชิเงะมัตสึ!

“กลัวหรือพ่ะย่ะค่ะ” ชายชราหรี่ตาลงไถ่ถาม “สายพระเนตรของพระองค์ที่มองกระหม่อมนี้กำลังข่มความกลัวไว้หลายประการเลยทีเดียว ถ้าหากพระองค์ทรงรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก กระหม่อมเข้ามาพูดคุยกับพระองค์ด้วยการนี้ กระหม่อมจะเป็นโล่กำบังให้พระองค์เอง พระองค์ปรารถนาจะให้ผู้ใดอยู่ กระหม่อมก็จะให้ผู้นั้นอยู่ ปรารถนาจะให้ผู้ใดตาย ผู้นั้นก็จะตาย ขอเพียงบอกกระหม่อมมาคำเดียว สิ่งใดที่พระองค์ไม่มีกระหม่อมก็จะทำให้มีขึ้นมา ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่พระองค์ประสงค์มาทั้งชีวิต”

สตาร์จูนไม่ตอบอะไร เขาลอบกลอกตาเล็กน้อยกับคำว่า สิ่งที่ประสงค์มาทั้งชีวิตเสนาบดีฝ่ายซ้ายช่างยื่นข้อเสนอต่อรองได้หอมหวาน เสียแต่ว่าไม่ศึกษาดีๆหน่อย เพราะสิ่งๆนั้นมันหายไปตั้งแต่สิบห้าวันก่อนแล้ว

สตาร์จูนระงับอารมณ์ส่วนตัว ครุ่นคิดอีกระลอก แก้ความเข้าใจผิดของตนเองที่เขาบอกว่าชิเงะมัตสึยังไม่ได้เริ่มทำอะไรตอนนี้ชายอาวุโสเบื้องหน้าเขามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ คิดแล้วร่างทั้งร่างก็หนาวยะเยือก เขาไม่เคยคาดฝันว่าภายใต้การปกครองที่เมตตาของเสด็จพ่อ จะมีผู้ที่คิดสวนทางกับพระองค์อยู่ใกล้ใต้จมูกเพียงนี้ องค์ชายอันดับสองหายใจเข้าออกแต่ละครั้งให้ลึกกว่าปกติเพื่อปรับอารมณ์ ถามลองเชิงออกอีกประโยค

“แล้วถ้าหากข้าไม่อาจสนองต่ออุดมการณ์ของท่านได้เล่า”

“พระองค์ก็ต้องนับว่ากลืนพระเขฬะตนเสียแล้ว เพิ่งตรัสกับกระหม่อมอยู่หยกๆว่าตนไม่ใช่เด็กไม่ประสา แต่ถ้าหากพระองค์ถามประโยคนี้กับกระหม่อม นั่นนับว่าเป็นเด็กน้อยไม่ประสา” ดวงตาเจ้าเล่ห์ของชายอาวุโสฉาบไปด้วยความอำมหิตขึ้นมาหนึ่งวูบ สตาร์จูนรับรู้แล้วยังรู้สึกร่างกายขยับไปลำบากไปชั่วครู่ จนกระทั่งเป็นฝ่ายเสนาบดีฝ่ายซ้ายเองที่คลี่คลายท่าทีข่มขู่อันเยียบเย็น กลับมาเป็นบรรยากาศเรียบเฉยปลอดโปร่งดังปกติ

“ตอบรับเถิดพ่ะย่ะค่ะ อุดมการณ์กระหม่อมกับพระองค์นั้นหาได้แตกต่างกันไม่ พระองค์กล่าวออกในท้องพระโรงอย่างห้าวหาญว่าจะจงรักภักดีกับแผ่นดิน นั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่กระหม่อมยึดถืออยู่ในใจมาโดยตลอดเช่นกัน ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ”

สตาร์จูนฟังแล้วไม่แสดงท่าทีใดก่อนจะคลี่ยิ้มจาง เขาโน้มกายเข้าใกล้คู่สนทนาอีกเล็กน้อย เท้าคางมองเสนาบดีอาวุโสด้วยแววตาที่นิ่งสนิท

“ข้าขอบใจท่านชิเงะมัตสึสำหรับข้อเสนอตรงไปตรงมา” เสียงทุ้มต่ำว่าด้วยกระแสอำนาจจนทรงพลัง “ข้าแจ้งใจแล้วว่าเป้าหมายของข้าและท่านนั้นคือสิ่งเดียวกัน หากแต่แต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายอันดับสองผู้นี้ไม่ทราบจริงๆว่าตนปรารถนาสิ่งใดจนต้องฆ่าผู้อื่นให้ตกตายเพื่อแย่งชิงมา ข้าคงจะเป็นเด็กไม่ประสาอย่างที่ท่านคิดจริงๆซ้ำยังเป็นเด็กดื้อด้านที่ยึดมั่นในหนทางตนและคงไม่คิดเดินกลับออกมาร่วมทางไปกับท่าน”

ว่าแล้วร่างสูงสง่าก็ลุกยืนขึ้น ดวงตาเรียวคมหลุบมองขุนนางที่นั่งอยู่ด้วยแววอ่านยาก สำทับไปอีก

“ดูไปสักพักเถิด ถ้าหากเราเป็นพันธมิตรทางความคิดกันจริง เราคงไปเจอกันที่ปลายทาง วันนี้ก็ล่วงเวลามามากแล้ว ข้าว่าท่านควรกลับวัง เป็นถึงหูตาแขนขาขององค์จักรพรรดิไม่ควรบกพร่องในหน้าที่อย่างการขาดการประชุม รักษาสุขภาพด้วย...เสนาบดีฝ่ายซ้าย”

ว่าจบเด็กหนุ่มก็เดินจากไปด้วยท่าทีผึ่งผายไม่หันกลับมาแม้แต่ปลายหางตา ชิเงะมัตสึชมดูอาการเหล่านั้นด้วยความไม่เดือดร้อน มองจอกในมือก่อนกระดกดื่มจนหมด น้ำเปล่าไร้รสชาติยามนี้คลับคล้ายว่ามันขมปร่า ความรุ่มร้อนบางประการอึดอัดอยู่ในอกหากแต่ก็ไหลเวียนอย่างเงียบงันไม่ปะทุ มีเพียงเสียงพึมพำเบาๆทว่าฟังแล้วราวกับเสียงคำราม

“เด็กน้อยไม่ประสาเอ๋ย เด็กน้อยไม่ประสา นอกจากเจ้าจะดื้อด้านแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้ายังโง่งมอีกด้วย”









ครั้นองค์ชายอันดับสองเดินออกจากโรงน้ำชา ดึกดื่นค่อนคืนพระจันทร์เริ่มคล้อย หมู่ดาวลับหาย กลายเป็นราตรีที่เงียบสงัดและมืดสนิท หากทว่าผู้ฝึกวิชาดาบมาจนช่ำชองระดับหนึ่งอย่างสตาร์จูนกลับไม่เห็นว่ามันต่างจากตอนกลางวัน ประสาทสัมผัสทั้งหมดยังคงตอบสนองได้ว่องไว จิตสังหารเข้มข้นพุ่งตรงมาจนรู้สึกเย็นไขสันหลัง ดวงตาคมปรายมองข้ามไหล่ของตนเองไปเล็กน้อยก่อนที่จะเลี้ยวเข้าที่ตรอกแคบๆ แนบตัวกับเพิงไม้ไผ่ของบ้านหลังหนึ่ง พลันปรากฏร่างของนักฆ่าชุดดำจนกลืนไปกับราตรีโผล่พ้นที่หัวมุม ดวงตาอำมหิตนั้นสบกับเขาพร้อมกับชักดาบออกอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่อาจเร็วไปกว่าองค์ชายอันดับสองไปได้

เสียงโลหะกระทบกันอย่างรุนแรงด้วยความเลือดเย็น สตาร์จูนกัดฟันกรอดรับเพลงดาบดุดันรุนแรงอีกทั้งพละกำลังของผู้ประสงค์ร้ายนั้นไม่ใช่จะรับมือได้โดยง่าย พวกมันแต่งกายรัดกุมปิดใบหน้าครึ่งล่างด้วยแถบผ้าดำ เพลงดาบที่ฟาดฟันมาสิบกระบวนท่าบ่งบอกถึงฝีมืออันเด็ดขาดทว่าประณีต นี่ย่อมเป็นนักฆ่าอาชีพมิใช่โจรกระจอก

ปลายดาบพลันตวัดฟันใต้ลิ้นปี่ องค์ชายอันดับสองวาดเท้าโค้งหลบได้ทันท่วงที จากที่เคยคิดจะแค่ป้องกันตัวกลับแปรเปลี่ยน วิถีดาบของเขาจากเดิมตั้งรับกลับกลายเป็นรุกไล่ เสียงดาบปะทะกันดังถี่คล้ายลมหายใจต่อลมหายใจ องค์ชายสตาร์จูนลอบสังเกต แนวดาบนักฆ่าผู้นี้แม้จะคล้ายตั้งใจตัดเส้นเลือดเส้นใหญ่ให้เขาสิ้นชีพ ทว่าเมื่อคมดาบนั้นเข้าใกล้จริงเขายังรับรู้ว่าแท้จริงแล้วนักฆ่าผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีวิตเขาอย่างเอาจริงเอาจัง ทำราวเป็นหมาหยอกไก่ เขาตายก็ดี เขารอดก็ช่าง

บุรุษชุดดำพลิกข้อมือวาดฟันเป็นวงจากมุมอับสายตา ฝ่ายเจ้าชายอันดับสองยกดาบขึ้นกัน นักฆ่าก้าวเข้าประชิด ดันคมดาบให้กดลงไปอีกโดยมีข้อพระหัตถ์แกร่งขององค์ชายเป็นฝ่ายต้าน กลายเป็นการงัดอาวุธดันหากันไปมา พระเนตรคู่คมหรี่ลง สตาร์จูนสบโอกาสใช้เวลาที่หยุดกระบวนนี้ถามเสียงต่ำ

“เจ้ามาตามคำสั่งของผู้ใด” นักฆ่าฟังคำถามแล้วดวงตาไม่หลุกหลิกสักนิด สมาธิยังคงหนักแน่นอย่างน่าชม เจ้าชายสตาร์จูนรู้ ณ วินาทีนั้นว่าลงเป็นแบบนี้คงไม่มีทางหาต้นสังกัดของพวกมันได้ ต่อให้ต้องฆ่าก็คงจะไม่มีทางเปิดปาก หากแต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะคลี่คลายท่าดาบออกจากกัน เสียงทุ้มห้าวก็ดังเล็ดลอดออกมาจากผ้าปิดบังใบหน้า

“ข้ามาตามคำสั่งของสวรรค์ โทษฐานที่ท่านไปกระตุกหางพญามังกร” คำตอบที่คิดว่าจะไม่ได้ฟังกลับได้ฟัง หากแต่สิ่งที่มันตอบนั้นทำให้สตาร์จูนตกใจยิ่งกว่า ดวงตาสีดำเบิกกว้างขึ้นทว่าจะต้องข่มอารมณ์ตระหนกเอาไว้ให้ลึก คิดอยู่เพียงสิ่งเดียวคือการเอาตัวให้รอดจากนักฆ่าผู้นี้แล้วเขาจะต้องสืบสาวเรื่อง

มันเกี่ยวกับเรื่องราวในพระราชวงศ์! เขาไม่มีทางปล่อยเอาไว้แน่

ฉึก!

พลันไม่ทันที่จะได้ตั้งกระบวนท่า องค์ชายสตาร์จูนกลั้นเสียงร้องดังอึก ลมหายใจสะดุดเฮือกเมื่อรับรู้ถึงของคมเรียวพุ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วปักลึกจมหายไปที่ต้นพระพาหาข้างซ้ายจนมิดไปครึ่ง องค์ชายตวัดสายตามองไปทันที ที่หลังคาบ้านห่างออกไปปรากฏเงาคนกำลังยกคันธนูเล็งง้างมาทางเขาไม่ผิดแน่ องค์ชายยกพระหัตถ์อีกข้างบีบปากแผล ครั้งแรกเป็นความชาแน่นติดตามด้วยความปวดอย่างร้ายกาจ ลูกดอกนี้แล้วเรียวและคมได้แค่ไหนความปวดนั้นแผลงฤทธิ์จี้ย้ำที่จุดๆเดียวได้แค่นั้นทว่าบังเกิดเป็นความทรมานอย่างสาหัส ความรู้สึกนั้นเย็นเฉียบดั่งโดนก้อนน้ำแข็งกดฝัง ไม่บรรเทา ไม่สร่างซา ไม่เคลื่อนย้าย ความเจ็บปวดดำดิ่งดั่งแขนข้างนั้นโดนเหล็กตอกเข้าไปแล้วบิดขันช้าๆตลอดเวลา

เลือดรินไหลจากปากแผล ทว่าไม่ใช่สีแดงสดอย่างที่ควรจะเป็น กลับกลายเป็นสีคล้ำ ลูกธนูนี่คงอาบยาพิษชนิดหนึ่ง ไม่ตายทันทีที่โดน เป้าหมายเพื่อทรมาน

“พระองค์ไม่สิ้นพระชนม์หรอกพ่ะย่ะค่ะ” คำรับปากดังมาจากนักฆ่าผู้ถือดาบ แววตาและน้ำเสียงมันยังคงนิ่งสนิท กล่าวรับรอง ทว่าท่าทีนั้นไม่รับรอง “กระหม่อมจะให้ยาแก้พิษทันทีหาเสด็จไปกับเรา แต่ถ้าหากยังทรงดื้อรั้นปล่อยไว้เช่นนี้แล้วพระองค์คงสิ้นชีพในไม่ช้า พระองค์ทรงพระปรีชาคงตรองได้ว่าจะเลือกทางใด โปรดถนอมพระวรกาย”

สตาร์จูนบาดเจ็บจนร่างกายสั้นสะท้านไม่อาจกล่าวได้แม้แต่คำเดียว ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดหากแต่สั่นศีรษะไปมาไม่ยอมรับ นักฆ่าถอนหายใจปัดมือหนึ่งวูบเหมือนเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง ดอกที่สองจึงพุ่งเข้ามาอีก คราวนี้เป็นขาขวา วงจรความเจ็บปวดดั่งนรกนั่นเพิ่มพูนเป็นสองเท่าจนแทบสิ้นสติ นักฆ่าย่างเท้าเข้าใกล้ กล่าวเรียบเรื่อยไม่เร่งร้อนราวกับภาพเป็นตายของราชนิกุลเบื้องหน้านั้นเป็นดั่งเรื่องสามัญ

“กระหม่อมมีลูกธนูอาบพิษนี่สามดอกเพื่อให้โอกาสแก่องค์ชาย องค์ชายมีสิทธิ์ครุ่นคิดและตอบออกเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น เมื่อใดที่ดอกที่สามปักพระวรกาย ไม่ว่าส่วนใด อวัยวะสำคัญหรือไม่ พิษนั้นเข้มข้นพอที่จะปลิดชีพ” แววตานักฆ่านั้นกระหายเลือด มันยืดตัวตรง ทอดมองจำเลยที่นั่งเข่าติดพื้น กล่าวซ้ำช้าๆ “โปรดตอบรับคำขอของกระหม่อมอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านมือปราบ ทางนี้ขอรับทางนี้! ข้าได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันมาจากทางนี้ขอรับ!!” พลันเสียงตะโกนโหวกเหวกเป็นเสียงของเด็กผู้ชายวัยเยาว์คนหนึ่งทำให้นักฆ่าทั้งสองมองตากันด้วยความตระหนก ยิ่งเสียงฝีเท้าบวกกับเสียงกระทบอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวดาบกับฝักยามวิ่งนั้นยิ่งทำให้ตื่นตัวไปใหญ่ นักฆ่าอันมีประสาทสัมผัสทางเสียงที่ดีย่อมคำนวณได้อยู่แล้วว่ามือปราบที่เจ้าเด็กนั่นเรียกมาอาจมีจำนวนมากกว่าพวกเขาสามถึงสี่ท่าน เท่านั้นมือสังหารได้เพียงขบฟันกรอด ส่งสัญญาณมือให้สหายให้ถอยร่น แล้วตนก็ใช้ฝีเท่าที่รวดเร็วแผ่วเบาพรางตัวหลบหนีไปกับความมืดของอนธกาล

ส่วนเด็กน้อยที่ตบเท้าวิ่งมาอย่างสุดแรงนั้นเป็นเด็กตัวเล็กในชุดซามุเอะสีขาวสะอาดเรียบร้อย เหงื่อกาฬชื้นไรผมสั้นสีดำสนิท เจ้าตัวหอบจนไหล่ไหว ดวงตากลมโตสีดำนั้นกลับทอประกายในที่มืดได้ราวดวงดาวหนึ่งคู่ สตาร์จูนชมดูภาพเบื้องหน้านั้นอย่างพร่าเลือน รับรู้เพียงเท่านั้นก่อนที่จะสลบไปด้วยฤทธิ์พิษร้าย

ฝ่ายเด็กน้อยเห็นผู้เจ็บทรุดลงไปเช่นนั้นก็ใจหายวาบ รีบปรี่เข้าไปโอบประคอง ตบพระปรางค์ไม่เบามือนักหวังปลุกให้ตื่น พอไม่มีการตอบสนองก็ตรวจดูแผล ริมฝีปากเล็กๆนั่นเม้มแน่นด้วยความตึงเครียดผสานตกใจ มือเล็กจับเข้าที่ปลายลูกธนูโผล่พ้น หักก้านมันออกสักครึ่งหนึ่ง ไม่โยนทิ้งทว่าเก็บเข้าในสาบเสื้อ แล้วหันไปทางชายฉกรรจ์สี่ห้าคนที่วิ่งตามเขามาโดยอาศัยตำแหน่งมือปราบกำมะลอ อันที่จริงพวกเขาเป็นแค่ผู้ดูแลความปลอดภัยของโรงน้ำชาร้านที่คุณชายคนนี้เข้าไปเยือนเท่านั้น

“ขอบคุณพวกน้ามากขอรับ เวลาแบบนี้ให้ไปวิ่งหามือปราบจริงๆ คุณชายผู้นี้คงถึงมือพญายมก่อนเป็นแน่” เด็กน้อยยิ้มเหือดแห้ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แต่เดิมธรรมดาไม่มีสิ่งใดชวนมองกลับทำให้บรรยากาศกรุ่นกลิ่นเลือดนี้ผ่อนคลายสว่างไสว ชายคนหนึ่งมีใบหน้าไม่เป็นมิตร ร่างกายใหญ่โตดุดันเห็นรอยยิ้มกลับเดินเข้ามาขยี้ผมเด็กน้อยอย่างเอ็นดู

“ไม่ได้ๆ ไม่ต้องเกรงใจไปโคมัตจัง ร้านเราคบค้าสั่งอาหารกับท่านเซ็ตสึโนะมานานนม รสชาติเป็นเลิศซ้ำยังคิดราคาย่อมเยา ว่างๆก็ทำขนมต้มยาบำรุงให้พวกเกอิชาด้วยน้ำใจอีก นับเป็นกัลยาณมิตร ถ้าหากไม่ได้เจ้ากับท่านย่าเจ้า ร้านเราก็คงไม่มีกิจการรุ่งเรือง ลูกค้าเข้าออกกันเป็นสายเช่นนี้หรอก มีอะไรให้ช่วยก็บอกเถอะ” เหล่าบุรุษที่เหลือก็พยักหน้าสมทบชวนอุ่นใจยิ่ง ทว่าหนึ่งในนั้นก้าวออกมา ดูอาการบุรุษในอ้อมแขนเล็กนั่นแล้วรีบกล่าว

“กลับร้านก่อนเถอะโคมัตจัง ข้าจะเตรียมม้าให้ คุณชายผู้นี้อาการไม่สู้ดีนัก” เขาว่าพลางเม้มปากด้วยลำบากใจ เพราะเรื่องที่น่าเป็นห่วงนั้นมิได้มีแต่เพียงการโดนทำร้ายร่างกายเพียงอย่างเดียว “คุณชายแต่งตัวดีมีชาติตระกูล รูปลักษณ์สง่างามผึ่งผายผิดกับชาวบ้าน เขาเข้าร้านของพวกเราด้วยท่าทีที่แตกต่างจากผู้อื่น คู่สนทนาของเขาก็ดูคล้ายเป็นพวกขุนนางยศสูง จะอย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้เจ้าได้ถือเทียนเล่มใหญ่เอาไว้ในมือ โยนมันทิ้งไปก็มีแต่จะเผาไหม้ แต่ถ้าเจ้าถือเองนานเข้าก็จะโดนน้ำตามันลวกจนพุพอง สิ่งที่เจ้าควรทำคือรักษาเขาแล้วปล่อยไปให้เร็วที่สุด เขาไม่ได้มีแต่ตัว เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”

โคมัตสึยิ้มรับอย่างไร้ทิฐิ ค้อมศีรษะรับคำสั่งสอนก่อนที่จะพาบุรุษนิรนามขึ้นหลังม้าควบกลับร้านตนด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างทางนั้นเขาเพียรเรียก แม้ไม่รู้จักชื่อก็ร่ำรองให้กำลังใจ คุณชาย ท่านโปรดเข้มเข็ง’ ‘คุณชายอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเป็นเช่นนี้ไปจนตลอดทาง









องค์ชายอันดับสองฟื้นคืนสติในห้องรับรองกว้างขวางปลอดโปร่งแห่งหนึ่ง ฟูกหนานุ่มกับผ้านวมอุ่นทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก ร่างกายเบาโหวง ยังคงอ่อนเพลียและมึนศีรษะอยู่บ้างก็จริง แต่บาดแผลทั้งที่แขนและขานั้นบรรเทาลงจนเขาไม่รู้สึกทรมานอีกแล้ว

“พระองค์สลบไปถึงสามวันเพคะ” เสียงของหญิงชราที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างกายเรียกให้องค์ชายอันดับสองหันไปมอง พบว่าเป็นอดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ พร้อมด้วยถ้วยยาอีกหนึ่งถ้วย นางช่วยประคองร่างเขาให้ลุกขึ้นนั่ง พลางยกน้ำให้จิบแก้กระหาย ทูลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “องค์ชายทรงไม่ต้องเป็นกังวลไปเพคะ พระสนมไม่ทราบที่องค์ชายถูกปองร้าย พระนางยังคงเข้าใจว่าพระองค์แปรพระราชฐานอยู่เท่านั้น ทว่าฝ่าบาทคงทราบเรื่องแล้วเพคะ”

“ท่านเป็นผู้บอกเสด็จพ่อหรือ”

“องค์จักรพรรดิพระเนตรพระกรรณกว้างไกลนัก สายของพระองค์มีอยู่ทุกหนแห่งเพคะ เรื่องนี้ก็ไม่อาจพ้นไปได้ โปรดวางพระทัยเถิดเพคะ ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังสืบผู้ที่ปองร้ายพระองค์อยู่”

“สืบอย่างนั้นหรือ” องค์ชายขมวดพระขนงแน่น กลอกตาระลึกถึงเหตุการณ์ “หมายความว่ามือสังหารนั้นได้ทิ้งร่องรอยบ่งบอกตัวผู้ว่าจ้างไว้ใช่หรือไม่”

อดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะฟังแล้วหลุบสายตาลงต่ำคล้ายลำบากใจที่จะตอบ นางตำหนิตัวเองในใจยกใหญ่ว่าเป็นนางที่ไม่ระวังคำพูดเอง อีกทั้งความคิดความอ่านขององค์ชายสตาร์จูนนั้นเปี่ยมด้วยไหวพริบปฏิภาณจนนางไม่คาดคิดว่าจะโดนซักถามโดยทันทีแบบนี้ เมื่อนางให้ได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ องค์ชายจึงนั่งหลังตรงเปี่ยมด้วยอากัปกริยาจริงจังอย่างสายเลือดขัตติยา เอ่ยอีกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“บอกข้ามาเถอะท่านยาย ข้าขอสัญญาว่าข้าจะรับฟังด้วยสติ ถ้าหากข้าฟังแล้วข้ากลับแสดงกริยาบางอย่างด้วยโทสะที่เกิดมาจากอคติแล้ว ขอให้ท่านยายชี้แนะสั่งสอนได้เลยโดยไม่ต้องเกรงใจ”

หญิงชราถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหนุ่มวัยเยาว์ทว่ากลับก่อความน่าเชื่อถือได้ไม่น้อย นางมองท่าทีเคร่งขรึมด้วยความชื่นชม ตัดสินใจกล่าวไปในที่สุด

“พวกมันได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้ที่ปลายธนูเพคะ เป็นผ้าดิบสีขาวผูกเอาไว้ ข้างในวาดเป็นลวดลายง่ายๆด้วยหมึกสีดำ ทว่าดูออกอย่างชัดเจนว่าเป็นลวดลายของมังกรเคียงคู่ดวงอาทิตย์”

ฟังแล้วราวกับใครนำหินก้อนใหญ่มาทับเขาเอาไว้ที่ไหล่และหน้าตัก องค์ชายอันดับสองได้เพียงนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้าง จะกล่าวสิ่งใดคล้ายในหัวไม่รวบรวมเป็นคำ ปรากฏคำพูดของนักฆ่าลอยเข้ามา พวกมันกล่าวว่าเขาไปกระตุกหางมังกรเข้า มิต้องคิดให้ซับซ้อน นั่นคือความนัยหมายถึงเจ้ารัชทายาทอย่างแน่นอน แล้วการที่พวกมันทิ้งสัญลักษณ์เช่นนี้เอาไว้ นั่นหรือว่า...

“องค์ชาย” เสียงเรียกติดดุปรามสตาร์จูนกะพริบตาแล้วกลอกไปมาดั่งหลุดจากภวังค์ เขาแย้มยิ้มออกมาจางๆ

“วางใจเถอะท่านยาย ข้ายังไม่คิดว่านักฆ่าเหล่านั้นมาโดยเจตนาของเจ้ารัชทายาทโทริโกะ นี่ดูเป็นการจัดฉากจนผิดสังเกตเกินไปคล้ายใส่ร้ายป้ายสีเสียด้วยซ้ำ อีกประการ...” องค์ชายอันดับสองนิ่งคิดไป พยักหน้าช้าๆคล้ายยอมรับอะไรบางอย่างในความคิดของตน “ถึงข้าจะไม่ได้สุงสิงกับพระองค์มากนัก แต่ข้ามั่นใจอยู่อย่างว่าพระองค์ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรลับหลัง...อย่างน้อยเพราะเป็นบุตรของเสด็จพ่อเช่นเดียวกัน”

อดีตฮิมาวาริพึงพอใจในคำตอบ นางพยักหน้ารับอย่างแช่มช้อย “เป็นเช่นนั้นเพคะ เรื่องมือสังหารที่ส่งมาทำร้ายพระองค์ยังไม่กระจ่างก็จริง ทว่าวันก่อนมีพระราชโองการ”

“พระราชโองการอะไรรึ!?

“ให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายชิเงะมัตสึออกจากวัง พร้อมลดขั้นให้เป็นเพียงแค่ขุนนางที่ปรึกษาไปรับใช้ท่านเจ้าเมืองแห่งแคว้นซะสึมะเพคะ” ฟังคำกล่าวของหญิงชราแล้วองค์ชายอันดับสองเบิกพระเนตรกว้าง หายใจไม่ทั่วท้อง นิ่งงันไปเพียงชั่วครู่ เขาซักถามต่อทันทีว่าเพราะเหตุใด เซ็ตสึโนะจึงทูลตอบอย่างไม่ปิดบัง “สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าเสนาบดีชิเงะมัตสึบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เข้าร่วมประชุมสำคัญของสำนักคามิ ซ้ำยังเป็นวันที่องค์ชายถูกลอบทำร้าย เขาจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ บทลงโทษนี้ได้รับการลงนามจากราชสำนักทั้งสี่ฝ่ายเพคะ”

องค์ชายอันดับสองฟังแล้วกลอกตาคิด พระบิดาของเขาคิดการอันใดอยู่เขานั้นเข้าใจอยู่ครึ่งหนึ่ง ทว่าที่น่าเกรงก็คือกำลังของชิเงะมัตสึ เสนาบดีผู้นี้คัดค้านการยกบัลลังก์ให้กับโทริโกะเป็นแน่ แล้วบทลงโทษให้ไปประจำอยู่ที่แคว้นซะสึมะนั้นไม่มีทางไปอย่างผู้แพ้ ถ้านั่นเป็นแผนการอย่างหนึ่งแล้วผนวกกับเป็นการลงคะแนนเสียงจากราชสำนักแล้วสตาร์จูนรู้สึกหนาวเย็นไปทั่วร่าง นั่นมิได้หมายถึงผู้ยกหางข้างชิเงะมัตสึมีไปกว่าค่อนสภาแล้วหรือ

“สงบพระทัยก่อนเพคะองค์ชาย” หญิงชรากล่าวปลอบ นางยกถ้วยยาแล้วส่งให้ถึงมือ “หม่อมฉันเชื่อว่าองค์จักรพรรดิมีวิธีการรับมือกับเรื่องนี้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้ชิเงะมัตสึไปง่ายๆ อีกประการตอนนี้พระองค์ต้องถนอมพระวรกายให้หายดี เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปครุ่นคิดให้กังวลเลยเพคะ”

สตาร์จูนคลี่ยิ้มจางเชื่อฟังหญิงชราแล้วยกถ้วยยาขึ้นดื่มอย่างไม่อิดออด เมื่อยกลงเขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจหลายประการจนกระทั่งต้องก้มมองอีกครั้ง ยานี้เป็นสีเข้มอยู่บ้าง มีรสขมฝาดเฝื่อนตามธรรมชาติของสมุนไพรให้ประโยชน์ ทว่ากลับดื่มง่ายคล่องคอกลมกล่อมคล้ายเครื่องชงบำรุงที่ผ่านวิธีการปรุงอย่างดี มีกลิ่นหอมจาง สัมผัสละมุนละไม ร่างกายที่เย็นกลับรู้สึกอุ่นสบายขึ้นมา

“พิษที่องค์ชายได้รับเป็นพิษธาตุเย็น เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง บังเกิดเป็นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสคล้ายถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง อีกสักพักจะออกฤทธิ์ทำให้มีการคล้ายไข้จับสั่น การรักษาจำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ส่วนยานั้นต้องเป็นยาร้อนช่วยต้าน จึงจะคืนสมดุลธาตุในร่างกาย” หญิงชรากล่าว นางยิ้มแย้มทั้งริมฝีปากและดวงตา ทำให้สตาร์จูนคิดกลับไปถึงวันโดนลูกธนู ตอนนั้นความเจ็บปวดทำให้ร่างกายของเขาแทบไม่รับรู้สิ่งใด เหมือนฝันแต่ก็ชัดเจนในความทรงจำราวกับความจริง และเขายังคงจำได้ติดตา เด็กผู้ชายตัวเล็กสวมชุดสีขาวที่ปรี่เข้ามาโอบประคอง ใบหน้าธรรมดานั้นไม่มีอะไรน่าจดจำ ทว่าสำหรับเขา เขากลับจำมันได้ชัดเจนราวกับมันปลูกฝังหยั่งรากลึกลงในพื้นที่ลึกลับในหัวใจ

เป็นเด็กที่เขาพบในร้านหนังสือตอนนั้น...

หากทว่าอีกฝั่งฟากใจก็ค้านขึ้นมาว่ามันจะเป็นไปได้เช่นไร ถึงเด็กคนนั้นจะฉลาดกว่าเด็กทั่วไปก็ตามที แต่ถึงขั้นจะมาช่วยเขาจากวงล้อมของนักฆ่าอำมหิตนั้นเป็นไปได้ยาก

“น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถกล่าวคำขอบคุณต่อคนที่ช่วยข้าออกมาได้ ทว่าที่ข้าหายกลับเป็นปกติได้เพราะอาศัยที่พักพิง การปรนนิบัติเอาใจใส่และยาของท่านยาย สมกับเป็นฮิมาวาริ ขนาดยาขมๆท่านยายยังปรุงให้โอชาได้ ข้าเป็นหนี้ท่านจนยากที่จะชดใช้ โปรดรับการคารวะ”

ไม่ทันที่องค์ชายอันดับสองจะค้อมศีรษะ หญิงชราก็รีบยึดไหล่กว้างเอาไว้ นางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้เพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงชราผู้หนึ่งหากรับการคารวะจากองค์ชาย สวรรค์คงได้ลงโทษเป็นแน่ แม้นเป็นแค่เพียงเพราะองค์ตรัสขอบคุณหม่อมฉัน หม่อมฉันยังไม่อาจเอื้อมรับ นั่นเป็นเพราะว่าหม่อมฉันหาได้เป็นเจ้าบุญคุณขององค์ชายไม่”

สตาร์จูนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เอ่ยถามเสียงแผ่ว “หมายความว่าเช่นไร”

“เราทราบว่าการที่พระองค์ถูกทำร้ายนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังอันซับซ้อนจึงไม่อาจไว้วางใจให้คนนอกล่วงรู้ได้ เพราะฉะนั้นตลอดเวลาสามวันที่พระองค์อยู่ที่นี่คนที่รู้มีเพียงพนักงาน ลูกศิษย์ลูกหาของหม่อมฉัน และอีกท่านที่รู้ก็คือผู้ที่เข้าไปช่วยพระองค์” หญิงชราเว้นวรรค นางยิ้มกว้าง ค่อยๆเล่า “เขาเป็นผู้พาพระองค์กลับมาที่ร้านนี้ แจ้งอาการแก่หม่อมฉัน เป็นผู้วิเคราะห์พิษ ผสมสมุนไพรแก้ ลงมือปรุงด้วยตนเอง คอยเช็ดตัวยามที่พระองค์สร่างไข้ คอยห่มผ้ายามที่ไข้ตีกลับ ต้มหยูกยาให้เสวยมิได้ขาดไปแม้แต่มื้อเดียว”

พลันสตาร์จูนได้แต่เงียบงัน ฟังความทั้งสิ้นแล้วเหมือนความคิดตรรกะทั้งหมดพลันกลายเป็นสีขาวโพลนไปทั้งสิ้น เขากลอกตาไปหลายวูบ ดวงใจสั่นไหวจนต้องยกมือขึ้นสัมผัสมัน ณ วินาทีนั้นองค์ชายอันดับสองจึงได้รู้ว่าจังหวะหัวใจของเขามันได้เปลี่ยนไป ลึกลงในความทรงจำแล้วเขาคิดว่าเขาเห็นภาพหลอนของเด็กคนนั้น ทว่าตอนนี้ใจกลับร่ำร้องว่าขอให้เป็นความจริงขึ้นมา

"หรือว่า เด็กคนนั้น..."

"เพคะ เป็นโคมัตสึ หลานของหม่อมฉันเอง ทว่าสบายพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันไม่ได้บอกสถานะที่แท้จริงแก่พระองค์ เด็กคนนั้นเข้าใจเพียงว่าท่านเป็นบุตรชายของขุนนางผู้มั่งมีคนหนึ่งที่เคราะห์ร้ายถูกโจรปล้นชิงทรัพย์"

"ท่านยาย" สตาร์จูนเรียก ไม่มีเสียงแฝงเจือด้วยอำนาจดั่งเช่นกระแสรับสั่ง หากแต่เป็นการอ้อนวอนขอร้อง " ข้าขอขอบคุณท่านเหลือเกิน ยามนี้ข้าถือเป็นคนที่มีภัยติดตามตัว จะโดนลอบทำร้ายอีกประการใดก็ไม่รู้ เด็กคนนั้นถือเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ข้าไม่อาจดึงเขาเข้ามายุ่งกับสงครามราชวงศ์ได้ การที่เขายื่นมาเข้ามาช่วยข้านั้นก็ถือว่าเป็นการก้าวขาลงสมรภูมิมาข้างหนึ่งแล้ว ข้าไม่อาจเลือดเย็นฉุดดึงเขาให้เข้าใกล้หายนะมากกว่านี้ ฉะนั้นท่านยาย ข้าจะไม่เปิดเผยตัว จะไม่พยายามมาให้เขาเห็นหน้า ทว่าตอนนี้ข้าขอพบหน้าเขา พบหน้าเด็กคนนั้นสักครั้ง จะได้หรือไม่"

อดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะรับฟังแล้วนางรับรู้ถึงอารมณ์อันหลากหลายในดวงตาคมคู่เด็ดเดี่ยวนั่น นางผ่านโลกมามากจวนเข้าสู่ปัจฉิมวัยแล้วไยจะไม่เข้าใจ นางเห็นด้วยกับเหตุผลขององค์ชายสตาร์จูนทุกอย่าง ยามนี้ศัตรูนั้นยังคงอยู่ในมุมมืด จะทำการสิ่งใดนั้นฝ่ายตั้งรับอย่างเราจำต้องเป็นผู้ระมัดระวังตัว รวมถึงคนบางคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย หญิงชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชะตากรรมของหลานชายนางนั้นนางหาใช่เป็นผู้กำหนด สวรรค์บัญชาให้โคมัตสึเกิดมาเพื่อสิ่งใด เด็กน้อยก็ต้องทำตามนั้น รวมถึงการถลำตัวไปช่วยองค์ชายอันดับสองของแผ่นดินนี่ด้วย ทุกอย่างก็ถือว่าถูกปั้นแต่งมาไว้แล้ว จะให้นางระงับความต้องการขององค์ชายสตาร์จูนยามนี้หรือ หากไม่ได้พบตอนนี้ ก็คงจะได้พบกันอีกในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน บุรุษใดที่ทำสายตาเช่นนี้ นางล้วนทราบดีถึงความปรารถนาอันแรงกล้า

"เพราะต้องคอยเฝ้าไข้พระองค์ทั้งคืน เด็กคนนั้นจึงหลับพักผ่อนอยู่ห้องถัดไปเพคะ"

ถึงตอนนี้จะเจ็บปวดเพียงไรเขากลับรู้สึกร่างกายมันเบาโหวง สัญชาตญาณบางอย่างกำลังเรียกร้องให้เขาลุกขึ้นแล้วก้าวเดินไปยังห้องๆนั้นด้วยความหวังบางอย่าง องค์ชายผู้ยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ที่ผ่านมาไม่เคยให้อะไรมาทำให้พระองค์สนใจไปมากกว่าการกระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแห่งเจ้าฟ้าชายจนอาจทำให้กลายเป็นคนเย็นชาจริงจัง ยามกวัดแกว่งดาบนั้นเขารับรู้ว่าตนไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดคล้ายในอกมันกลวงเปล่า เขาคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด แต่เหตุใดยามนี้เขาถึงมายืนร้อนรนอยู่หน้าประตูบานเลื่อน มือที่เลื่อนไปหมายจะเปิดนั้นสั่นเทาจนไม่อาจควบคุม

เขาเลื่อนประตูอย่างแผ่วเบาโดยมั่นใจว่ามันจะไม่รบกวนคนที่กำลังพักผ่อนอยู่ ข้างในเป็นห้องที่ค่อนข้างกะทัดรัดกว่าห้องที่เขาพักอยู่สักหน่อย มีการตกแต่งด้วยของใช้จำเป็นอย่างเป็นระบบระเบียบ โดยส่วนใหญ่ของที่อยู่ในห้องนี้นั้นเป็นหนังสือ สมุดบันทึก มันวางเรียงอัดแน่นเป็นระเบียบอยู่มุมหนึ่งของห้อง ของใช้ต่างๆเป็นของชิ้นเล็กลงมากว่าปกติสักหน่อย ซึ่งสตาร์จูนลงความเห็นว่าห้องนี้คงจะเป็นห้องของเด็กคนนั้นเสียเอง และตัวเจ้าของห้องก็นอนหลับสนิทบนฟูกอย่างสบาย เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาเด็กน้อยแล้ว เขาสะดุดลมหายใจ ทำตัวไม่ถูกอยู่ชั่วครู่

ในตอนแรกที่ฟังอดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะพูดนั้นเขายังนึกอยู่บ้างว่า ท่ามกลางสังคมที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันอยู่นี้ จะมีผู้คนที่ไม่รู้จักกันแม้แต่นามเข้ามาช่วยเขาจริงหรือ ยิ่งคนนั้นเป็นเด็กตัวเล็กๆ จะยอมฝ่าความกลัวคมดาบคมธนูเข้ามาช่วยเขา ใช้อ้อมแขนเล็กๆนั้นโอบกอดเขาที่ไม่ได้สติเมื่ออยู่บนหลังม้า ทั้งคอยต้มยาคอยอยู่ดูแลจนหายเป็นปกติได้อย่างตอนนี้ ทั้งแผ่นดินมีคนเช่นนั้นอยู่จริงๆหรือ

ทว่าพอเห็นว่าเป็นเด็กผู้ชายคนนี้แล้ว สตาร์จูนก็หมดข้อถามไปเสียสิ้น พึมพำกับตนเองซ้ำๆว่า 'สมแล้ว' หนังสือเล่มโปรดของตนยังไม่หวง ยื่นให้เขาอย่างหน้าตาเฉย ครั้งก่อนนั้นก็ปรุงอาหารให้เขาทานด้วยความเอาใจใส่ ตอนนี้ก็ยังเข้ามาช่วยชีวิตคนแปลกหน้าอย่างไม่ลังเล ต่อไปในภายภาคหน้า เด็กคนนี้คงจะช่วยเหลือคนโดยไม่ต้องถามไถ่ อาศัยเพียงแค่ว่าตนยืนอยู่ตรงนั้นแล้วคนข้างๆตนได้รับความเดือดร้อน...มันคงจะเกิดขึ้นจริงๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

องค์ชายอันดับสองเดินเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างเด็กน้อย ดวงตาไล่สำรวจใบหน้านั้นอย่างเงียบงัน ทั้งเรือนผม จมูก แก้ม ปากเขาก็จำได้เสียสิ้น และต่อให้อีกฝ่ายนอนหลับตาอยู่ เขาก็มั่นใจว่าดวงตาคู่นั้นเป็นสีดำทอประกายอย่างงดงามบริสุทธิ์ องค์ชายสตาร์จูนไม่รู้จะทำเช่นไรดีนอกจากมองเด็กน้อยด้วยแววตาที่ไหวระริกด้วยอารมณ์ตื้นตันยินดี นึกขำขันในโชคชะตาของตนกับโชคชะตาของเด็กคนนี้นัก เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะอยู่ใกล้จนง่ายต่อการถักทอเข้าด้วยกันมากขนาดนี้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มจางก่อนจะค่อยๆยกมือแกร่งไปวางอย่างแผ่วเบากับหน้าผากเนียน ลูบขึ้นไปตลอดไรผมเพียงชั่วครู่แล้วจึงผละออกมา เพียงเท่านี้มากเกินพอ มากเกินพอดังที่เขาได้บอกกับอดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะเอาไว้ ถึงโชคชะตาเขาจะใกล้กันมากแค่ไหน ต่อให้เขาอยากให้มันใกล้ชิดมันมากกว่านี้เพียงไร ทว่าตอนนี้จำใจต้องแยกมันออกไปก่อน

"โคมัตสึ ฟังข้า" องค์ชายอันดับสองเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มแผ่ว ไม่จำเป็นต้องให้เด็กคนนี้ได้ยิน เพียงแต่เป็นเขาที่ต้องการพูดให้ตนเองได้ยิน มันเป็นสัตย์สาบานที่เขาตัดสินใจแน่วแน่สลักมันกับใจตน

"ข้ามีนามว่าสตาร์จูน องค์ชายที่เกิดจากฮิในองค์จักรพรรดิอิจิริว ดำรงอิสริยยศมีความสำคัญเป็นอันดับสองในแผ่นดินอาทิตย์อุทัย คนภายนอกมองข้าว่าข้าเป็นองค์ชาย เมื่อมียศศักดิ์หนักเช่นนี้แล้วข้าย่อมไม่ใช่คนตัวเปล่า มีอำนาจ มีหน้าที่ มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แต่ข้าไม่เคยมองเห็นในข้อดีในสิ่งๆนั้นเลยแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้มันนำความวิบัติมาสู่ข้า นำอันตรายมาสู่เจ้า ข้ารู้สึกชิงชังชาติกำเนิดตนเป็นทบทวี ทว่าเมื่อได้ฟังท่านยายเซ็ตสึโนะพูดแล้วข้าจึงคิดได้..." องค์ชายทอดพระเนตรมองเด็กตัวเล็กที่นอนอยู่ด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร พระองค์แย้มรอยสรวล  ความรู้สึกที่ก่อเกิดนี้รวดเร็วดั่งพายุ ทว่าหยั่งรากลึกมั่นคงดั่งต้นไม้ใหญ่ ไม่ต้องกล่าวอ้างถึงเหตุผลหรือกฎเกณฑ์ใด ในเมื่อใจนั้นได้บัญชาให้กล่าวออกเป็นเสียงทุ้มกังวาน

"ข้าช่างโชคดีนักที่ได้เกิดมาเป็นองค์ชายอันดับสอง เพราะด้วยตำแหน่งนี้ทำให้ข้ามีสิทธิ์เลือกคนที่จะมาอยู่เคียงข้างข้าไปจนตายจากกันได้หนึ่งคน...ทว่าเส้นทางนั้นมันไม่งดงาม ไม่ปลอดภัยและเผชิญทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากขอ ขอเวลาให้ข้าได้เก่งกาจและแข็งแรงพอที่จะปกป้องโอบอุ้มให้คนผู้ที่มีค่าที่สุดนั้นอยู่กับข้าได้อยู่อย่างมีความสุขที่สุด...เด็กน้อย ข้าไม่มีสิ่งใดมาเป็นหลักฐาน แต่ทว่าข้าขอใช้หัวใจที่มีจับจองเจ้า...ให้มาเป็นฮิมาวาริแห่งข้า"

            ชีวิตนี้สตาร์จูนพร่ำบอกกับตนเองเสมอว่าเขาไม่มีสิ่งใดเป็นของตนตั้งแต่ทีแรก เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาจึงไม่มีการสูญเสียอะไร แต่ ณ เวลานี้เขาได้รู้แล้ว เด็กคนนี้คือสิ่งแรกที่เขาได้รับ เป็นสิ่งแรกที่เขาเจอก่อนเจ้ารัชทายาท และมีเขาเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ มีเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครอง ปกป้องดูแลด้วยกายและใจ ไม่ยอมปล่อยไปให้ใครเป็นอันขาด

            "แล้วสักวันหนึ่งข้าจะมารับเจ้า"


            .


            .


            .


            .


            .


            TBC...

            มิยะขอเม้าท์

            สวัสดีค่ะ เหมือนจะเว้นช่วงไปสักหน่อยเลยใช่ไหม แต่อยากบอกว่าเคี่ยวเข็ญตอนนี่ออกมาได้นี่อยากร้องเฮดังๆเลยค่ะ ตอนนี้ตั้งใจมาก ตั้งใจมากๆจริงๆ ด้วยอยากให้ออกมาเป็นฉากย้อนอดีตสุดท้ายที่บอกเล่าความเป็นตัวตนและปูทางสู่ปัจจุบันให้ได้มากที่สุด มันก็เลยค่อนข้างที่จะออกมายาวสักเล็กน้อย แหะๆ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเวิ่นไปต่อมากมายขอกล่าวอวยพรให้เจ้าของวันเกิดก่อน
            สุขสันต์วันเกิดนะคะน้องเตย!! >w<
            สุขสันต์วันเกิดน้องสาวผู้น่ารักของเก๊า ขอให้มีความสุขมากๆ ขึ้นม.ปลายแล้วสิน้า ขอให้เรียนเก่งๆผ่านฉลุย เข้าใจทุกเนื้อหาบทเรียนเลย ขอให้แต่งเพลงได้ยิ่งเทพๆขึ้นไป ร่วมเชียร์ร่วมติ่งกับเก๊าต่อไปน้า เก๊าอาจจะลงหลุมหายไปนานบ้าง ไม่ค่อยโผล่หัวมาบ้าง แต่ก็คิดถึงน้องเสมอน้า สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมหวังทุกอย่างเลยจ้า
            อิอิ เม้าท์ต่อ คือเล่าก่อนว่าเขียนอิพี่จูนนี่มันยากอยู่ค่ะ ฮ่าๆๆๆ แต่มันสนุกมาก สารภาพอย่างหน้าไม่อายเลยว่า ถึงมิยะจะจิ้นพี่โทหนูมัตเป็นหลัก แต่ในใจนั้นมีคู่รองจนแทบกลายเป็นออลหนูมัต กับสี่เทพนี่ของตายอยู่แล้ว แต่ว่าคนที่มีเสน่ห์มากๆเวลาอยู่กับหนูมัตก็คือ พี่จูน หลงรักพี่เขาเค้าแล้วจริงๆค่ะ ฮ่าๆๆๆ ยิ่งดูยิ่งอ่านยิ่งหลงเลย คือแบบชอบสายตาเวลาที่พี่จูนมองหนูมัต มันดูทั้งสนใจทั้งหลงใหล ชื่นชม ปรารถนา? อะไรมากมาย ด้วยจริตมโนของไอ้มิยะแล้ว ไอ้มิยะฟินกับสายตาอย่างนี้มากแบบ รู้นะว่าพี่โทเขาหวงหนูมัตแค่ไหน แต่พี่แกไม่มีแคร์เลยค่ะ จะเอาก็คือจะเอาอ่ะ คำพูดปิดท้ายนั่นมิยะต้องการเขียนที่สุดเลย ชอบมาก ในอฟชนี่กรี๊ดไปแล้วค่ะ ไอ้ที่บอกจะกลับมารับเนี่ย ฮ่า รูปคู่นี้หายากมาก มิยะก็ขอแปะพอเป็นกระสัยให้เข้ากับบรรยากาศแล้วกันนะคะ

เอนทรี่หน้ามิยะคงได้อัพอดีตนิรันดร์เพราะยังเข้าพีเรียดอยู่พอสมควร หลักจากนั้นจะทยอยไปอัพไหฟ้าถล่มนกดำต่อ แล้วจะพยายามสลับกับนิติเวชค่ะ เพราะสองเรื่องนั้นภาษาคาร์แร็กเตอร์คล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร นี่ถ้าปิดไหฟ้าถล่มนกดำได้แล้วคงโล่งกว่านี้เยอะ อิอิ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน เข้ามาทวง
            ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน
            Miya

3 ความคิดเห็น:

  1. คือแบบ เทใจให้สตาร์จูนอ่ะ

    เปลี่ยนเรื่องนี้เป็น Allโคมัตสึ ได้ไหมคะ แบบมัตจังมีคนรักเยอะมาก คนเดียวไม่พอหรอกกกก

    รอตอนต่อไปค่าาาา

    ตอบลบ
  2. ชอบค่ะๆๆๆๆชอบฟิคนี้มากๆๆๆๆๆ
    ต่อนะคะท่านมิยะๆๆๆ
    ฟินๆๆๆๆ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ3 เมษายน 2563 เวลา 22:39

    ฮืออออ ทำไมชอบสตาร์จูนจัง แบบ2ตอนที่ผ่านมาทำให้เทใจให้นางเลย เป็นบทที่น่าสงสารและเข้าใจมากเลย เอาเธอทั้งสองคนได้ไหมมมม

    มาต่อเถอะค่ะ มันสนุกมาก

    ตอบลบ