Au.Fic KHR [805918]
อดีตนิรันดร์
Period Drama
NC-17
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ช่วงระยะเวลาที่ดำเนินเรื่องนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยจริงในประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการของผู้แต่ง
ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
อดีตนิรันดร์ : 04
“ความมั่นคงของในรั้ววังยังคงระหองระแหงเช่นนี้
มิต้องไปพูดถึงเรื่องความสมัครสมานของแผ่นดินเลย” จักรพรรดิองค์ปัจจุบันรำพึงกับคณะปกครองในสถานที่รโหฐานแล้วก็ถอนพระปัสสาสะอย่างอ่อนใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา สถานการณ์ภายในนั้นอยู่ในสายพระเนตรตลอด อันเรื่องที่ฟูจิวาระ
ฮิเดอากิไม่พึงพอใจในกลุ่มขุนนางชุดนี้นั้นเป็นมาตั้งแต่การล่มสลายของฝั่งประจิม
การเวลาสามสิบเจ็ดปีนั้นไม่เพียงพอในที่จะทำให้ราชนิกุลอาวุโสผู้นี้ปล่อยวาง
กลับกลายเป็นระยะเวลาให้เสี้ยนหนามตอกฝังลงในใจให้แน่นขึ้นยากเกินจะบ่มมันออก
จนถึงตอนนี้การจะรวมใจระหว่างขุนนางกับเชื้อพระวงศ์นั้นริบหรี่ลงจนไม่อาจอาศัยปาฏิหาริย์
“พวกข้านั้นจะเป็นเช่นไรก็ช่างเถอะ
ฝ่าบาทมิต้องกังวลไป” เป็นประมุขแห่งคฤหาสน์ริมน้ำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเยือกเย็นอย่างเคย
“การครองบัลลังก์ของรัชทายาทสึนะโยชิต่างหากที่สำคัญ เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันกลางงานเลี้ยงรับรองขนาดนี้
มันก็ยากที่จะประนีประนอมแล้ว”
“เป็นเพราะหลานชายคนเก่งของใครเล่า”
เสียงกระเซ้าดังมาจากเสนาธิการฝ่ายซ้าย ดวงตาสีน้ำเงินไพลินที่เคยอ่านยากเสมอยามนี้ฉาบไปทั้งความขบขันระคนเอ็นดู
“ข้าว่าข้าความจำเป็นเลิศอยู่นะท่านจี เจ้านายน้อยโกคุเดระนั้นคล้ายท่านตอนยังอยู่ในวัยเยาว์ราวกับโขลกกันออกมา”
แล้วดวงตาเจ้าเล่ห์ก็กลอกไปมองอดีตสมุหกลาโหมที่นั่งอย่างสงบอย่างน่าเกรงขาม
เดมอนหัวเราะกับท่าทีนั้นเบาๆ สำทับไป
“หลานชายอีกคนก็น้อยหน้ากันซะเมื่อไหร่
แบบนี้ไม่เรียกลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นแล้ว ใต้ต้นเลยมากกว่า”
ทั้งสองขุนนางฟังคำวิพากษ์วิจารณ์หลานตนแล้วก็ได้แต่รับฟังอย่างสงบยอมรับ
ถึงเดมอนจะปากคอเราะร้ายแค่ไหนแต่สายตาของเขาก็เฉียบคมสมกับตำแหน่ง
มันเป็นความจริงทั้งหมด ถึงหลานของพวกเขาจะเติบโตกันมากแล้ว
แต่ไม่ใช่เทพเซียนจากไหน มีหรือจะอดทนอดกลั้นกับคำกล่าวดูหมิ่น ธาตุโทสะในกายนั้นพร้อมจะปะทุทุกเมื่อหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ตนต่อแผ่นดิน
นี่ดีขึ้นเพียงใดแล้วที่ยังปาแค่ปิ่นกับดันฝักดาบ
อดีตสมุหกลาโหมถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเฉียบขาดอย่างเคย
“กลับไปข้าจะอบรมเขา
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตระกูลข้าโดยตรง แต่เคียวยะกลับโมโหจนแสดงท่าทางไม่สมควร
นั่นยังถือว่าใช้ไม่ได้”
“ที่ท่านว่า
‘ไม่ใช่เรื่องของตระกูลข้าโดยตรง’ นั่นท่านเอาอะไรเป็นเกณฑ์หรือท่านอลาวดี้ หากเกณฑ์นั้นคือ ‘หน้าที่’ ข้าก็เห็นด้วย
สมควรแล้วที่ท่านจะลงโทษผู้ตรวจการฮิบาริ เคียวยะจริงๆ
แต่ถ้าเป็นเรื่องของเจ้าสิ่งนี้” นิ้วชี้เรียววางทาบที่หน้าอกด้านซ้ายของตนเอง
เคาะสองสามที “จะพูดว่าไม่เกี่ยวก็คงจะไม่ได้ ถูกไหมขอรับ”
เดมอนแสร้งถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เรียกให้องค์จักรพรรดิกับขุนนางจีหันไปมอง
น่าแปลกที่เห็นบุรุษผู้เย็นชาไร้ความรู้สึกปรากฏรอยขมวดคิ้วขึ้นมาจางๆที่หว่างคิ้วพร้อมแผ่รังสีทะมึนคล้ายเมฆฝนที่เริ่มก่อตัวว่ากำลังถูกทักเรื่องที่ไม่ประสงค์จะต่อความ
เดมอนเห็นอากัปกริยานั้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ถือว่าเวลาไม่ทำให้เด็กไร้เดียงสากลายเป็นผู้ใหญ่ทันโลกเท่านั้น
แต่ยังเปลี่ยนแม่ทัพไร้หัวใจให้รู้สึกกับเรื่องละเอียดอ่อนขึ้นมาได้ด้วย
รู้จักสังเกตสายตาของหลานชายตัวเองเหมือนกันนี่นะ
“พอได้แล้วเสนาธิการฝ่ายซ้าย
นี่มันเวลาเป็นงานเป็นการ” ขุนนางจีกระแอมเตือน
เรียกตำแหน่งแทนชื่ออย่างเหินห่างเพื่อเตือนสติแต่นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
สาเหตุหลักก็คือหลานตนเองก็โดนกระทบไม่น้อย เขาผู้เป็นปู่ไม่ใช่ไม่สังเกต
เพราะสังเกตจึงยังไม่อยากให้ฮายาโตะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้นัก
บทเรียนของตนผนวกกับบทเรียนของหลานเมื่อเจ็ดปีก่อนนั้นเพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อย
เดมอนยิ้มน้อยๆเป็นการขออภัย
ในขณะที่องค์จักรพรรดิทอดมองที่ปรึกษาตนด้วยสายตาเห็นใจ หวนนึกถึงเหตุการณ์แล้วมันเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับตระกูลโกคุเดระ
เขาเคยคัดค้านแผนการนี้ต่อเดมอนไปหลายครั้ง ให้โอกาสปฏิเสธแก่จีอย่างเต็มที่ ทว่าเป็นจีเองที่ยังขอยืนยันว่าจะทำ
ตอนนั้นเขาถึงได้ทราบว่าเขาดูถูกน้ำใจของตระกูลโกคุเดระมากไป
แล้วที่ขุนนางจียังคงทนฟังเสียงนกเสียงกากล่าวถึงเรื่องเมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อนได้อย่างเข้มแข็ง
นั่นนับว่าเป็นมากกว่าน้ำใจแล้ว ฟูจิวาระก็เข้าใจนิสัยตรงนี้ของผู้นำตระกูลโกคุเดระดีว่าต่อให้ฟื้นฝอยตะเข็บไปก็ไม่สะทกสะเทือนให้เห็นเป็นที่สาแก่ใจ
แล้วเหตุใดจึงยังคิดยกเรื่องนั้นมาตำหนิ
“เขาไม่พอใจอย่างมากที่สายเลือดจากทิศประจิมได้ตำแหน่งการปกครอง”
ประมุขตระกูลฮิบาริเปรยขึ้น
“เห็นได้ชัดว่าที่ฟูจิวาระขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆนั้นไม่เพียงแต่ต้องการให้เหล่าเสนาเชื้อพระวงศ์คนอื่นตั้งแง่รังเกียจยามาโมโตะ
ทาเคชิเท่านั้น เขายังต้องการชี้ให้คนเหล่านั้นเห็นถึงข้อผิดพลาดของตระกูลโกคุเดระด้วย”
เดมอนเสริม นัยน์ตาสีน้ำเงินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาบ้าง “เมื่อเรายึดแดนประจิมได้แล้วเมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อนเราก็ประหารเขาถึงตกตาย
เกณฑ์ญาติมิตรมาเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวงนี่รวมถึงท่านหญิงฮิโตมิ บุตรสาวของเขาด้วย
ภายหลังจึงแต่งให้กับฟูจิวาระ นั่นหมายความว่าโชกุน*ของทางฝั่งประจิมนั้นเป็นพ่อตาของเขา เป็นญาติใกล้ชิดผู้หนึ่ง เป็นไปได้ไหมว่า...”
“ฟูจิวาระคิดการใหญ่กวนน้ำให้ขุ่นแล้วอาศัยช่วงชุนละมุนหาช่องทางคืนอำนาจให้ทิศประจิมแทนพ่อตาตนงั้นรึ”
“นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาฝ่าบาท”
เดมอนตอบรับคำสรุปขององค์เหนือหัวด้วยความนิ่งสงบ
ทว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดินั้นตึงเครียดทันตา
ดวงตาสีฟ้ากระจ่างดังท้องนภาอันปลอดโปร่งทอดมองไปไกลไม่จับจ้องสิ่งใดคล้ายกำลังจมจ่อมอยู่ในความคิดตนก่อนจะส่ายพระพักตร์
“ข้าว่าเป็นไปได้ยากอยู่
อย่างไรเขาก็เป็นอนุวงศ์ เป็นญาติสายหนึ่งของข้า
เรื่องราวส่วนตัวข้ารับทราบมาบ้างไม่น้อย ภรรยาของเขา
ฮิโตมิฮิเมะนั้นเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวาน ช่ำชองงานฝีมือและการบรรเลงดนตรี
มืออ่อนหัวอ่อน นับเป็นสตรีที่ตระกูลใดก็อยากให้ตบแต่งเข้า
ฮิเดอากิชอบพอนางทันทีที่นางเข้ามาถูกกักตัวอยู่ในวัง ไม่ฟังคำทัดทานผู้ใดลอบเข้าพบหาแม้สถานะนางตอนนั้นจะเป็นเพียงแค่สินเชลยซ้ำยังอายุได้เพียงสิบหกปี
เมินเฉยต่อคำครหาจนท้ายที่สุดข้าจึงต้องเป็นญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอให้โดยกลัวว่าธาตุบุรุษหนุ่มที่มัวเมาในรักจะทำอะไรไปโดยไม่ทันยั้งคิด...ทั้งคู่อยู่กินกันฉันสามีภรรยาได้ร่วมสิบเจ็ดปีจึงเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น”
“นางทรยศฟูจิวาระ” ขุนนางจีคาดเดาเรื่องราวต่อทันทีราวกับนึกออกว่าได้ยินเรื่องพรรค์นี้ผ่านหูมาบ้าง
ฝ่ายองค์จักรพรรดิครั้นสบตาที่ปรึกษาตนก็พยักหน้าช้าๆ
ทั้งสามขุนนางผู้ใกล้ชิดได้ฟังเรื่องราวแล้วก็สบตากัน
แต่ละคนเก็บรอยแปลกใจไม่มิด ถึงจะใกล้ชิดองค์จักรพรรดิมากเพียงใดแต่อย่างไรพวกเขาก็คือข้าราชบริพาร
เป็นเพียงขุนนางรับใช้เบื้องยุคลบาท
ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ได้ นี่เป็นเรื่องที่รับทราบมาแต่น้อยจนคิดว่าเป็นข่าวโคมลอยเสียด้วยซ้ำ
อีกทั้งถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงท่านหญิงในฟูจิวาระ ทว่าก็ไม่สามารถมีอิสระที่จะกระทำการใดในปฐพีบูรพาได้
แม้แต่จะออกจากคฤหาสน์ยังยากเย็นแสนเข็ญ กับผู้หญิงตัวคนเดียว
ซ้ำยังมีอุปนิสัยรักสงบถึงเพียงนั้นยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“เราพบจดหมายว่านางติดต่อกับประชาชนจากฝั่งประจิมในอรรถเชิงหาช่องปลุกระดมเพื่อคืนอำนาจสู่แผ่นดินเกิด
ข้าสั่งให้ทหารปิดล้อมคฤหาสน์ฟูจิวาระทันทีแต่ทว่าก็สายเกินแก้
นางได้หลบหนีออกไปก่อนแล้ว” องค์จักรพรรดิหลุบพระเนตรลงด้วยความสะเทือนใจ
แม้เป็นสิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยเพื่อบ้านเมืองก็ตาม
แต่ก็นับว่าได้ทำบาปกรรมกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง การถูกปิดล้อมด้วยกำลังทหารนั้นกดดันและน่าหวาดเกรงเพียงใดพระองค์ทราบแก่ใจ
นี่เองที่อาจจะทำให้ฮิโตมิฮิเมะทนไม่ได้
“คฤหาสน์ของฟูจิวาระนั้นอยู่ใกล้กับป่าผลัดใบอันตอนหน้าร้อนนั้นจะดกครึ้มจนจับทิศทางไม่ได้
อีกทั้งหากนางหนีไปตอนกลางคืนย่อมหาทางออกไม่ได้แน่ เวลาล่วงไปถึงห้าวันห้าคืนเต็ม
เราพบเพียงแค่รองเท้าของนางหนึ่งข้างกับรอยเลือดหยดเป็นทางไป
จึงลงความเห็นว่านางอาจโดนสัตว์ทำร้ายและเสียชีวิตอย่างน่าอนาถในป่านั้น”
“นั่นไม่เป็นการด่วนสรุปไปหรือ”
ประมุขตระกูลฮิบาริค้านเสียงขรึม “นางอาจจะมีชีวิตอยู่ก็ได้”
“ข้าก็ยังไม่ปักใจเชื่อหรอก”
องค์จักรพรรดิว่า “แต่ข้าเห็นสีหน้าที่เจ็บช้ำของฮิเดอากิแล้วจำต้องปล่อยเรื่องนี้ไป
แทนที่เขาจะโศกเศร้าเขากลับโกรธแค้นรุนแรง
ด่าทอสาปแช่งแผ่นดินประจิมว่าเป็นถิ่นเกิดของคนชั้นเลวผู้ทรยศ
เกรงว่าถ้าหากค้นหาต่อไปแล้วนางยังไม่ตาย ฮิเดอากิที่ยังเต็มไปด้วยโทสะคงได้เป็นผู้ลงมือสังหารนางล้างความเจ็บใจ
นางเป็นถึงท่านหญิงมีอำนาจบารมีไม่น้อยตั้งแต่สมัยเป็นบุตรสาวโชกุน
ชาวบ้านที่แต่เดิมเป็นคนประจิมคงได้กระด้างกระเดื่องไปมากกว่านี้แน่
อีกประการหนึ่ง
ต่อให้นางรอดตายจริงๆแล้วคิดคดกับบูรพานางคงจะไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่
เนื่องด้วยไม่มีกำลังสำคัญสนับสนุนแต่อย่างใดอีก ทั้งโชกุนทั้งอาซาริ
อุเก็ตสึก็ได้ล่วงลับไปนานแล้ว”
เพราะฉะนั้นเรื่องของฮิโตมิฮิเมะถึงได้ถูกปล่อยไปเช่นนี้
ขุนนางทั้งสามฟังแล้วใช้ความเงียบยอมรับ
การตัดสินใจปล่อยชาติเชื้อฝ่ายอริไปแม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็ถือว่าเป็นปล่อยเสือเข้าป่า
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงพวกนั้นรักอาณาเขตและศักดิ์ศรีตนมากกว่าความรักในการครองคู่
นางคงเป็นหญิงที่ชายใดได้เป็นภรรยาแล้วถือว่าโชคดีส่วนหนึ่ง
ทว่าเทียบไม่ได้กับความโชคร้ายที่นางไม่อาจมอบดวงใจไว้ในมือของชายผู้นั้นได้
เลือดเนื้อทั้งหมดทั้งตัวนั้นหล่อหลอมไปกับแผ่นดินประจิมจนสิ้นแล้ว
“อย่างไรก็แล้วแต่
ถ้าหากยังคงเงียบงันอยู่เช่นนี้ถือว่าก็ดีไป” อดีตสมุหกลาโหมกล่าวต่อ
ดวงตาสีฟ้าครามคู่คมฉาบไปด้วยความเยือกเย็นจนน่าหวาดเกรง
“แต่ตอนนี้สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน กองกำลังสำคัญสายเลือดประจิมนั้นมีอยู่อีกหนึ่ง
เขาคือตัวหมากสำคัญที่เรายังไม่อาจถือจับได้อย่างสนิทใจว่าเขาอยู่ใต้อาณัติเรา”
“อลาวดี้”
ขุนนางจีเรียก น้ำเสียงราบเรียบติดออกจะปรามเล็กน้อยทำให้ร่างสูงสง่าหันไปมอง
ด้วยสนิทสนมเป็นดั่งสองขั้วอำนาจฝ่ายบู๊และบุ๋นกันมาอย่างช้านานก็พอที่จะทำให้อดีตสมุหกลาโหมนิ่งฟังบ้าง
ขุนนางจีจึงกล่าวออก “ตอนนี้ไว้ใจหรือไม่ไว้ใจนั้นเราทำการสิ่งใดไม่ได้
การรับยามาโมโตะ
ทาเคชิมารับราชการซ้ำยังอวยยศให้สูงเพียงนั้นเป็นการตัดสินพระทัยของรัชทายาทสึนะโยชิ
ซึ่งเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมที่ว่าที่จักรพรรดิองค์ถัดไปจะเลือกคณะปกครองด้วยตนเอง”
“ที่เจ้าพูดเช่นนี้เจ้าคิดการอันใดอยู่จี”
ฝ่ายตระกูลฮิบาริค้านพร้อมกับรอยขมวดคิ้วจางๆ
ทว่าสายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เจ้าของคฤหาสน์ริมน้ำนั้นยังใจเย็น
ชี้แจงไปด้วยความหนักแน่น
“ยามาโมโตะ
ทาเคชิเป็นเหมือนอย่างที่เจ้าระแวง เขาเป็นสัตว์ร้าย ด้วยชาติกำเนิดนั้นเทิดทูนรากเหง้าตนไม่ต่างจากท่านหญิงฮิโตมิ
ต่อให้ฝึกเท่าไหร่ก็คงไม่มีทางเชื่อง ยิ่งไปจ้องจับผิด
มันจะยิ่งกางเขี้ยวเล็บปกป้องตนตามสัญชาตญาณมัน” ขุนนางจีหัวเราะในลำคอเบาๆ
ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มประดับจางๆ “เพราะฉะนั้นข้าอยากให้พวกเจ้าเปลี่ยนเป็นการให้โอกาสมันพิสูจน์ตนเสียมากกว่า
ถึงเด็กคนนั้นจะยังทำใจยอมรับให้มอบหัวใจให้ฝั่งปฐพีไม่ได้
แต่ตอนนี้เขายังอยู่ใต้อำนาจของฝั่งปฐพี มันก็เหมือนหมาที่โดนใส่ปลอกคอ
อาจยังละทิ้งสัญชาตญาณตอนอยู่ในป่าไม่ได้ แต่ถ้าเรายังให้ข้าวให้น้ำ
ให้ที่พักพิงแก่มัน มันก็ต้องตอบแทนโดยการรับใช้ทำงานให้เรา
เป็นการแลกเปลี่ยนที่ง่ายดายเช่นนี้”
“ข้าเห็นด้วยกับจี”
องค์จักรพรรดิพยักหน้าเนิบๆ
“อีกหนึ่งเดือนจนกว่าที่สึนะโยชิจะขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ
ข้าจะเปิดโอกาสให้ยามาโมโตะ ทาเคชิรับผิดชอบงานอย่างเต็มที่”
“แต่ก็ต้องมีคนกุมบังเหียนเขานะขอรับ”
เสียงนุ่มทุ้มจากประมุขตระกูลโรคุโดเอ่ยขึ้น
แม้สีหน้าของเสนาธิการผู้มากเล่ห์จะเรียบเฉยเพียงใดก็ตามทีทว่าดวงตาของเขานั้นไม่ได้ว่างเปล่าเช่นสีหน้า
เป็นประกายแพรวพราวบางอย่างเช่นเดียวกับเวลาที่เขาคิดแผนการบางอย่างได้
เดมอนเบือนสายตาปรายมองไปที่ขุนนางจี แล้วเอ่ยต่อ “ข้าคิดว่ามีเรื่องราวอีกหลายอย่างของทางฝั่งบูรพาที่ยามาโมโตะต้องทำความเข้าใจ
แน่นอนว่าทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการทำงานร่วมกันในอนาคต
แล้วข้าก็ไม่เห็นว่าใครจะเป็นพี่เลี้ยงให้เขาดีไปกว่าเจ้านายน้อยฮายาโตะ
หลานชายของท่านนั้นเก่งกาจเรื่องการให้คำปรึกษานัก
นี่เป็นงานที่เหมาะสมกับเขาแล้ว”
ขุนนางจีเบิกตาออกนิด
ในใจของเขานั้นคัดค้านเดมอนทุกคำพูดทว่าด้วยหน้าที่และเหตุผลที่ฟังกลับหาคำค้านที่จะไปสู้ไม่ได้เลยแม้แต่นิด
ถูกแล้ว นี่มันถูกตั้งแต่ต้น เขาไม่อาจทัดทานใดๆได้เมื่อเดมอนกล่าวว่านี่คือเรื่องงาน
ส่วนเรื่องที่เขาพยายามกันให้ฮายาโตะถอยห่างจากยามาโมโตะ
ทาเคชินั้นเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเสียสิ้น
ความรู้สึกอึดอัดตีมวนอยู่ในอกจนเจ็บแปลบราวกับความรู้สึกเมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อนหวนกลับมา
วันที่เขาได้รับฟังแผนการของเดมอนว่าให้ไปสังหารอาซาริ อุเก็ตสึเสีย
จะว่าประมุขแห่งโรคุโดผู้นี้นั้นเป็นคนเลือดเย็น
นั่นก็อาจจะจริง แต่เรื่องความภักดีต่อแผ่นดินนั้น
เดมอนไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเขา
คนๆนี้สละได้ทุกอย่างหากต้องเพื่อพิทักษ์บัลลังก์ให้ยังเป็นของราชสกุลซาวาดะเอาไว้
ต่อให้ต้องทำร้ายหัวใจใคร หรือต้องเสียสละชีวิตของใครไปก็ตามที
“เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกนะจี”
องค์จักรพรรดิเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน
เช่นเดียวกับอลาวดี้ที่หันมามองเขาคล้ายจะฟังการตัดสินใจ
สีหน้าที่เคยเรียบเฉยเย็นชาปรากฏรอยเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างคล้ายกับจะปรามให้เขาบอกปฏิเสธไป
ขุนนางจียิ้มจาง หัวเราะเบาๆแล้วสบดวงตาสีไพลินนั้นกลับไป
“ให้ตายสิ
พอเป็นเรื่องของเจ้าตระกูลนั้นทีไร เจ้าก็ต้องฝากให้เป็นธุระตระกูลข้าทุกที
ข้าเพิ่งต่อคารมกับพวกองค์หญิงองค์ชายพวกนั้นไปว่าเครื่องแต่งกายของฮายาโตะนั้นงามนัก
แต่ตอนนี้ข้าไม่แน่ใจแล้วว่าผ้าพรรณของฮายาโตะจะมีสีสันเช่นนี้ไปได้อีกนานเพียงใด”
ขุนนางจีหลุบตาลง แค่นหัวเราะอย่างขมขื่น
“อีกอย่างเด็กคนนั้นก็ยังเป็นเด็กประหลาดไม่รู้ทำไม ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ
ไม่เคยรักตัวเอง เรื่องที่เจ้าคิดจะมอบหมายให้ฮายาโตะทำนั้น
ถือเป็นเรื่องเล็กๆไปเลย”
ใช่...เล็กน้อยมาก
ถ้าเทียบกับสิ่งที่ฮายาโตะเคยทำมา
“เจ้าไม่ต้องกังวล”
ทว่าพลันเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างตัว
ประมุขแห่งตระกูลโกคุเดระหันไปมองชายร่างสูงสง่าที่นั่งหลังตรง
อลาวดี้สบตากับเขาด้วยความแน่วแน่ ทว่าอดีตสมุหกลาโหมผู้นี้ยังคงพูดน้อยเช่นเคย
ไม่มีคำอธิบายต่อจากนั้น แต่ท่าทีนั้นแฝงไปด้วยความสงบเยือกเย็นเพื่อยืนยันว่ามันไม่มีอะไรต้องห่วงอย่างที่เจ้าตัวเอ่ย
ขุนนางจีชะงักไปเล็กน้อย กลืนคำถามที่คิดจะถามต่อว่า ‘ทำไม’ แต่เขาก็ได้คำตอบจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจนชัดเจน
แล้วก็ค่อยตระหนักว่าตอนนี้กาลเวลามันหมุนเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
แล้วคนที่ยืนอยู่ที่นี่...ก็ไม่เหมือนเดิม
เพราะฉะนั้นสถานการณ์ก็ต้องไม่ซ้ำรอยดังเดิม
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
“เสด็จปู่คงคุยงานยาวนานทีเดียว
ทั้งๆที่พวกเจ้าต้องรีบกลับไปพักผ่อนแท้ๆ ขอโทษด้วยนะ”
เจ้ายุพราชร่างเล็กกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนใจในห้องรับรองวังตะวันออกที่ตอนนี้นั้นอุ่นหนาฝาคั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อวานตอนกลางวันนั้นไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันถึงเพียงนี้
พวกเขาพูดคุยกันมาได้พักใหญ่ๆแล้ว
แต่เมื่อเรื่องราวที่ควรเป็นหัวข้อสนทนาทำท่าจะไปในทางแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเมื่อใด
ยุพราชซาวาดะก็ต้องคอยคุมให้มันอยู่ในกรอบที่เขาคิดว่ายามาโมโตะจะฟังได้โดยไม่กระทบกระเทือนใจ
หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนเรื่องไปเสีย
“ไม่เป็นอะไรขอรับ
นานๆทีท่านปู่จะได้พบหน้ากัน ท่านก็คงจะมีเรื่องปรึกษาหารือ”
เจ้านายน้อยโกคุเดระตอบนายเหนือหัวตนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เพียงแต่มันควรจะงดงามกว่านี้มากหากสีหน้าของเจ้านายน้อยไม่เริ่มซีดเซียว
ความจริงเขาควรจะเป็นคนไปพักก่อนใครเสียด้วยซ้ำ
“โกคุเดระคุงคงเหนื่อยสินะ
เมื่อคืนก็เตรียมงานจนดึกดื่นนี่”
เจ้ายุพราชว่าด้วยน้ำเสียงเห็นใจติดจะปรามอยู่หน่อยๆ
แต่ร่างโปร่งบางก็โบกไม้โบกมือ
เช่นเดียวกับบุรุษร่างสูงในกิโมโนดำที่นั่งเคียงข้างลอบถอนหายใจ
มือแกร่งยกขึ้นแล้วเอื้อมแตะข้างผิวแก้มเนียนอย่างวิสาสะ
เจ้านายน้อยโกคุเดระสะดุ้งเล็กน้อย
มองเพื่อนของตนที่ส่งสายตาดุมาเหมือนกับผู้ใหญ่ที่กำลังจับผิดเด็กดื้อคนหนึ่ง
“อย่าคิดปฏิเสธ
ฮายาโตะ ขนาดอยู่ในเรือนแต่ตัวเจ้าก็ยังเย็นเฉียบ” ว่าแล้วก็ถอดฮะโอริประจำตระกูลนั้น
จับอ้อมหลังแล้วคลุมลงบนไหล่มนอย่างนุ่มนวล ขยับกระชับให้มันคลุมถึงเรียวแขนจนมั่นใจว่าเนื้อหนังของเจ้านายน้อยไม่มีส่วนใดที่ต้องอากาศอีก
ผู้ที่เฝ้ามองดูอยู่อีกสามคนนั้นอดจ้องภาพนั้นแบบไม่วางตาไม่ได้ พวกเขารู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าฮิบาริกับโกคุเดระนั้นสนิทสนมกัน
ทว่าอุปนิสัยส่วนตัวของผู้ตรวจการสูงสุดที่เป็นคนเฉียบขาดเย็นชาซ้ำยังไม่สนใจความรู้สึกใครมันก็มีน้ำหนักมากกว่าที่ฮิบาริจะแสดงอาการห่วงใยผู้อื่น
แม้คนๆนั้นจะเป็นเจ้านายน้อยโกคุเดระก็ตาม
มุคุโร่นึกถึงอะไรบางอย่างได้เมื่อตั้งแต่ก่อนจะเข้างาน
เขาเหลือบตาลอบสังเกตยามาโมโตะที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน
ดวงตาคู่นั้นทอดมองทั้งสองคนด้วยความเงียบงัน
แต่จะว่ามันว่างเปล่าไปเลยคล้ายไม่คิดอะไรก็คงไม่ใช่
ยิ่งกว่านั้นบรรยากาศรอบตัวยังทวีความมืดมนยิ่งกว่าปกติ มุคุโร่เลิกคิ้ว
สังเกตต่ออย่างเพลิดเพลิน ซึ่งฝ่ายยามาโมโตะเองก็เอาแต่จ้องภาพเบื้องหน้าตนไม่หลบ
ไม่เคลื่อนย้าย นิ่งงันจนน่าหวั่นเกรง
ถึงตรงนี้เสนาธิการฝ่ายซ้ายก็ยืนยันกับตนเองได้แล้วว่าความสัมพันธ์ของสามคนนี้มันคงไม่ธรรมดา
“เป็นเจ้าเองที่เป็นผู้จัดงานในค่ำคืนนี้”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเป็นคำแรกพร้อมส่งสายตาประสานกับดวงตาสีมรกตที่มองมาด้วยความแปลกใจ
นัยน์ตาสีเปลือกไม้ละมุนลงอย่างเห็นได้ชัด
ริมฝีปากที่เคยนิ่งเรียบอยู่เสมอในยามนี้กลับหยักขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มจางๆเล่นเอาคนมองต้องอดทึ่งไม่ได้ว่าบุรุษผู้ทรงดาบชิงุเระ
คินโทคิคนนี้จะแย้มยิ้มเป็น ซ้ำมันยังเป็นยิ้มที่อ่อนโยนจนทำให้ใบหน้าคมคายนั้นน่ามองขึ้นอย่างแปลกตา
ก่อนจะเอ่ยคำสั้นๆ
“งดงามนัก...ที่ปรึกษาส่วนพระองค์”
โกคุเดระเบิกตากว้างพูดไม่ออกไปเสียชั่วครู่
ดวงตาคู่คมที่จ้องมองมาอย่างถือสิทธิ์นั่นแทบกลืนกินจนทำให้ใจแข็งๆของผู้ถูกมองสั่นไหวขึ้นมาเสียเฉยๆ
เจ้านายน้อยแห่งคฤหาสน์ริมน้ำรวบรวมสมาธิกล่าวขอบใจไปแผ่วเบา ในขณะที่ผู้ตรวจการร่างสูงจ้องคนพูดกลับด้วยสายตาแข็งกร้าวยิ่งขึ้น
ความหงุดหงิดเป็นของฮิบาริ ความงุนงงผสมตกใจเป็นของโกคุเดระ
ทว่าความขบขันนั้นลงประทับเสนาธิการฝ่ายซ้ายเต็มๆ
มุคุโร่กลั้นขำจนต้องเม้มริมฝีปาก
ยามาโมโตะหนอยามาโมโตะ ชายคนนี้นี่น่าสนใจไม่เปลี่ยน
เขาได้บอกไปเองว่าถ้าหากชื่นชอบการตกแต่งงานแล้วก็ขอให้ได้เอ่ยคำชมต่อหน้า
แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาพูดเอาในเวลาที่เหมาะถึงเพียงนี้
แล้วคำว่างดงามนั้นฝ่ายฮิบาริคงจะรู้หรอกว่าหมายถึงงาน มองมุมไหน ฟังอย่างไร
ก็คล้ายจะชมคนมากกว่าชมงาน
ด้วยความสงสารคนกลางผนวกกับตนเองสังเกตบรรยากาศตึงๆนั้นจนพอใจแล้วชายหนุ่มผมสีน้ำเงินไพลินไหวตัวนิด
เรียกขอกระดานโกะกับตัวหมากจากเนียวโบมาวางตรงหน้าให้อยู่กึ่งกลางระหว่างเขากับเจ้านายน้อยโกคุเดระ
ทักไปด้วยรอยยิ้ม
“ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้ว
แก้ง่วงสักหน่อยไหมขอรับ ท่านยังติดค้างข้าอยู่เมื่อวานนะ”
ดวงตาสีมรกตมีประกายขึ้นทันที
น้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อย “มุคุโร่ ข้าบอกว่าข้าจะหารือกับเจ้าเรื่องตำราพิชัยสงคราม
ไม่ใช่จะเล่นโกะ”
“นี่ก็เป็นตำราพิชัยสงครามฉบับย่ออย่างหนึ่งนะขอรับ”
มุคุโร่ท้วงด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในขณะที่เอื้อมมือยกถ้วยใส่ตัวหมากสีดำมาวางตรงหน้าเขา
สายตามีความท้าทายอยู่หลายส่วน “การวางแผน การตัดสินใจ
ศาสตร์การบริหารต่างๆจะถ่ายทอดออกมาด้วยรูปร่างของการเดินหมากพวกนี้
นี่เป็นโอกาสอันดีที่ข้ากับท่านจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างจริงจัง ท่านไม่ค่อยได้เข้าวัง
กระดานหมากพวกนี้เลยฝุ่นจับไปเลย”
โกคุเดระส่ายหน้าขำๆแต่ก็ยอมเปิดถ้วยเตรียมคีบตัวหมาก
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ให้ตานี้เป็นตาที่ห้าสิบของเรา
ที่ผ่านมาข้าแพ้เจ้าอยู่ยี่สิบสี่ต่อยี่สิบห้าก็จริง
แต่วันนี้เจ้าอุตส่าห์มาท้าข้าก็จะสนองให้ แล้วถือโอกาสตีเสมอเจ้าสักที
หวังว่าคงรับได้นะ ว่าที่เสนาธิการฝ่ายซ้าย”
มุคุโร่เลิกคิ้วนิดๆแล้วยิ้มในหน้าอย่างยินดี
หากแต่ยังไม่ทันได้เริ่มวางหมาก
เจ้านายน้อยโกคุเดระก็จับผมตัวเองรวบขึ้นเล็กน้อยหันซ้ายหันขวาแล้วทำหน้ามุ่ย
ด้วยรู้สึกว่าผมที่ระต้นคออยู่นั้นรบกวนสมาธิมากเกินไป
ทว่าปิ่นที่ปักมาจากคฤหาสน์ก็ดันไม่อยู่เสียแล้ว
หากแต่ยังไม่ทันที่จะหาอย่างอื่นมามัดผมตัวเอง ปิ่นเงินอันที่เขาขว้างเองกับมือกลับปรากฏบนฝ่ามือแข็งแกร่งของยามาโมโตะ
ทาเคชิ ร่างสูงไม่วางมันลง กลับถือค้างอยู่เช่นนั้น
“ข้าเก็บมันมาเองก่อนออกจากท้องพระโรง”
เขาอธิบาย ยื่นไปข้างหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้เจ้าของมาหยิบมันไปด้วยมือตัวเอง
โกคุเดระยังคงนิ่งงันระงับกริยาด้วยความนึกไม่ถึง
ในขณะที่มุคุโร่กับเจ้ารัชทายาทอ้าปากขึ้นเล็กน้อย
ทั้งคู่ขยับกายเข้าหากันโดยไม่ต้องบอกกล่าว
ลอบส่งสายตาสอบถามกันแต่เต็มไปด้วยร่องรอยสนุกสนาน พวกเขาคาดไม่ถึงว่ายามาโมโตะจะทำเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้
ยิ่งกับคนที่เพิ่งจะรู้จักผู้ถือดาบชิงุเระ คินโทคิผู้นี้ยิ่งต้องสร้างกำแพงหนาเสียด้วยซ้ำ
ทว่าเรื่องไม่คาดฝันยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้นเมื่อคนที่เอื้อมมือมาหยิบปิ่นกลับไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง
ทว่าเป็นผู้ตรวจการสูงสุดที่คว้าปิ่นออกจากมือยามาโมโตะด้วยความเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาเรียวคมหรี่จ้องคนเสียมารยาท
เสียก็แต่ฮิบาริไม่ไยดีกับสายตาอันเต็มไปด้วยการตำหนินั้น เจ้าตัวกลับอ้อมไปด้านหลังแผ่นหลังบาง
ค่อยๆแกะมือบางออกจากกลุ่มผมสีเงินยวงแล้วรวบจับเอาไว้ด้วยมือตนเอง ถึงตรงนี้เจ้านายน้อยโกคุเดระไม่อาจทนได้แล้ว
“เคียวยะ!” เผลอตัวตวาดเรียกชื่อด้วยเสียงใสกังวาน
หันกลับไปเข่นเขี้ยวใส่เพื่อนสนิทตนว่าทำอะไรน่าอาย แต่คนโดนดุกลับไม่ยี่หระเลย
ดวงตาสีดำขลับจ้องเขากลับเหมือนปกติราวกับตนไม่ได้ทำอะไรผิดแปลก
มุมปากยกเป็นรอยยิ้ม หัวเราะเบาๆในลำคอ
“ทำไม”
ผู้ตรวจการสูงสุดเลิกคิ้วถาม “ก็เจ้าปักปิ่นไม่เป็น ไม่ใช่ข้าแล้วใครจะทำให้เจ้า”
ซ้ำดวงตาคู่คมยังกวาดไปทั้งห้องเป็นเชิงถาม เจ้ายุพราชซาวาดะส่ายพระพักตร์รัว
ส่วนมุคุโร่ก็โบกมือเป็นระวิง ถึงแม้เขาจะมีผมยาวจนถึงบั้นเอวก็เถอะ
แต่ทุกวันนี้ก็รวบผมไว้เพียงห่วงโลหะสีเงินเท่านั้น
ไม่เคยจับแม้ปลายปิ่นเสียด้วยซ้ำ จะเรียกให้เนียวโบมาทำให้อย่างนั้นหรือ
พวกนางก็เป็นหญิงพรหมจรรย์ตามขนบธรรมเนียมของนางในวังหลัง
มิอาจต้องแม้ปลายเส้นผมผู้ชาย ซ้ำยังเป็นชายหนุ่มอายุกว่ายี่สิบเช่นนี้แล้วด้วย
ตัวเลือกเป็นสิทธิ์ขาดทำให้เจ้านายน้อยโกคุเดระเม้มปากหน้าขึ้นสีแดงก่ำ
ไม่อาจกล่าวคำใดออกได้แม้แต่คำเดียว
ผู้ตรวจการสูงสุดมองเพื่อนสมัยเด็กตนอย่างอารมณ์ดี
กำชับสั่ง แต่ถึงแม้จะเป็นการสั่งแต่เสียงทุ้มนั้นทั้งแผ่วทั้งอ่อนโยน “ปล่อยมือจากผมซะฮายาโตะ
หันกลับไป แล้วก็อยู่นิ่งๆ”
“ข้าจะบอกท่านปู่อลาวดี้
เจ้าต้องโดนลงโทษจนระบมไปทั้งตัวแน่” เขาขู่เสียงเย็น
พึมพำกับตัวเองว่าต่อไปนี้เขาคงต้องหัดปักปิ่นด้วยตนเองบ้างแล้ว
ไม่มีคำค้านใดๆจากผู้ตรวจการสูงสุดทำให้เจ้านายน้อยโกคุเดระถอนหายใจแล้วหันกลับมาโดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นใคร
เจ้านายน้อยร่างบางสบสายตาคู่นั้นที่ทอดมองพวกเขามาตั้งแต่ต้นแล้ว
แววตาของยามาโมโตะนั้นเจ้านายน้อยจดจำมันได้จนสิ้น
ยิ่งเป็นความโกรธเคืองคั่งแค้นยิ่งจำสลักใจ เพียงแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนนั้นชายผู้นี้ไม่ได้มีเพียงแต่ความโกรธที่มอบให้เขา
แต่ยังมีความเศร้าแฝงมาด้วย เพราะเช่นนั้นไม่แปลกอะไรที่โกคุเดระจะชินชากับสายตาเศร้าสร้อยนั้น
ซึ่งตอนนี้ยามาโมโตะกำลังจับจ้องเขาด้วยแววตาเช่นนั้นอยู่
เศร้าตัดพ้อเสียจนคนมองอย่างเช่นเขายังรู้สึกปวดหนึบในใจ
จะขยับตัวหนีให้เบี่ยงไปเล็กน้อยก็โดนคนที่ปักปิ่นให้เอ็ดมาอีกรอบให้เขาอยู่นิ่งๆ
ครั้นจะก้มหน้าลง เคียวยะก็สั่งเสียงเย็นว่าให้เขาเงยหน้าไว้ อ้างว่าขมวดผมไม่ถนัด
ว่าที่ที่ปรึกษาส่วนพระองค์จนใจไม่รู้จะทำเช่นไร
จึงกลั้นใจมองคนตรงข้ามตลอดระยะเวลา มันกลืนกินนานนักจนกว่าจะเสร็จ
ซึ่งเขาไม่ได้คิดไปเอง แต่หนนี้เคียวยะจัดทรงผมให้เขานานกว่าตอนอยู่คฤหาสน์จริงๆ
เจ้านายน้อยโกคุเดระผู้หันหลังให้คงไม่มีทางเห็น
ทว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้ตรวจการฮิบาริ เคียวยะอย่างเขาย่อมรับรู้ได้ชัดเจน
สีหน้าและแววตาของผู้ตรวจการสูงสุดนั้นแฝงไปด้วยไอสังหารรุนแรง
คล้ายกับเก็บความกรุ่นโกรธอะไรบางอย่างเอาไว้ภายในอย่างเงียบเชียบ
นั่นเองที่ทำให้ยามาโมโตะถึงกับหลั่งเหงื่อหนึ่งสาย
เลือดลมของนักรบพาลไหลเวียนเป็นเครื่องเตือน
นี่เพียงเขาแค่เก็บปิ่นของเจ้านายน้อยโกคุเดระมา ฮิบาริ
เคียวยะยังเนื้อเต้นได้ขนาดนี้
แล้วถ้าเกิดรู้รายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้นภายในรั้วคฤหาสน์ริมน้ำเมื่อเจ็ดปีก่อนขึ้นมา
ไม่กระโจนเข้าฉีกอกเขาเป็นชิ้นๆเลยหรือ
ยามาโมโตะคิดแล้วไม่หวาดกลัวแม้แต่นิดแต่กลับยกยิ้มมุมปากวูบหนึ่ง
เอ่ยแก้กับตัวเองว่าที่เขาเคยนิยามฮิบาริ เคียวยะเป็นหมาหวงก้าง แท้จริงแล้วไม่ใช่
นี่มันหนักกว่านั้น คล้ายกับหมาหวงเจ้าของล่ะมากกว่า ว่าแล้วก็จับจ้องที่ร่างกายบอบบางในกิโมโนขาวสวมฮะโอริสองชั้น
แถมตัวนอกสุดมันดันใหญ่ซะจนทำให้ร่างนั้นดูตัวเล็กลงไปถนัดตา
ยามนี้เจ้านายน้อยโกคุเดระที่งามสง่าในสายตาคนดูเหมือนเด็กที่น่าทะนุถนอมคนหนึ่ง
เขาคิดมาโดยตลอดในช่วงเจ็ดปีมานี้ว่าเจ้านายน้อยคงไม่ใช่ตัวเปล่า
แม้จะถูกเก็บตัวเอาไว้แต่ในคฤหาสน์แต่ก็ต้องมีสหายคบหา
ซึ่งถ้าได้เข้าใกล้ชิดพูดคุยอย่างสนิทสนมในฐานะสหายแล้ว
ถึงตอนนั้นจะมีผู้ที่ยังคิดอยากจะเป็นเพียงแค่สหายอยู่สักกี่คน
องค์ยุพราชซาวาดะกับมุคุโร่อาจจะใช่ แต่ฮิบาริ เคียวยะนั้นย่อมไม่ใช่เป็นแน่
คนๆนี้แสดงท่าทีต่อต้านกีดกันเขาอย่างชัดเจน
เมื่อเข้ามาในที่รโหฐานในวังตะวันออกก็จับจองที่นั่งข้างเจ้านายน้อยทันที
ยามาโมโตะก็อยากเอ่ยชมอยู่หรอกว่าเจ้าหมากินเนื้อตัวนี้คุมกันนายตนได้แข็งแรงปานกำแพงเหล็ก
ทว่าไม่ได้ดูทีท่าของโจรขโมยสักเท่าใดนัก
โจรนั้นไม่ใช่โจรกระจอกที่คิดจะแย่งชิงก็แย่งชิง
ยามนี้มันขอแค่ได้นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเฝ้ามองสิ่งที่มันอยากพานพบมาตลอดเจ็ดปีเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“มุคุโร่
ข้าขออนุญาต” เขาเอ่ย พลางหยิบหมากขึ้นมาหนึ่งตัว “ข้าก็อยากรับทราบบ้างว่าว่าที่ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ผู้นี้ชาญฉลาดละเอียดรอบคอบถึงเพียงไหน
จึงขอต่อหมากกับเขาสักตา เจ้าจะว่าอะไรหรือไม่”
เสนาธิการฝ่ายซ้ายฟังแล้วเลิกคิ้ว
ท้วงออกไปกึ่งจริงกึ่งเล่น “ท่านว่าที่สมุหกลาโหม ท่านทำเช่นนี้นับว่าคล้ายจระเข้ท้าราชสีห์แข่งจับเหยื่อบนทุ่งหญ้า
เอกบู๊จะสู้ปฏิภาณความคิดของฝ่ายบุ๋นนั้นช่างยากนัก
ประเดี๋ยวท่านจะต้องตะลึงในชั้นเชิงคนละสายของท่าน อย่าหาว่าข้าขู่
แต่ในแผ่นดินนี้คนที่สามารถเป็นคู่มือต่อหมากให้ข้าได้มีเพียงท่านปู่เดมอนกับเจ้านายน้อยโกคุเดระ
ฮายาโตะเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา”
ยามาโมโตะตอบกลับด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง
ดวงตาคู่คมนั้นมีประกายสนุกสนานแฝงซ้อนมากับความเด็ดขาด
“อย่างไรด้วยสถิติแข่งมาสี่สิบเก้านัดเจ้าก็เป็นต่ออยู่ตั้งหนึ่ง
ถ้าข้าเกิดโชคดีชนะได้ขึ้นมาก็ถือว่าเจ้าทิ้งห่างไปสองนัด หรือถ้าแพ้ก็กลายเป็นว่าเจ้าโดนตีเสมอเท่านั้น
ไม่เสียหายอะไรใช่ไหม”
“ไม่เสีย”
เป็นเจ้านายน้อยเองที่ออกปากแทนมุคุโร่
ดวงตาสีมรกตนิ่งสนิททว่าจริงจังเสียจนน่าขนลุก “เอาเถอะมุคุโร่ ให้เขามาเล่น
ข้าเองก็อยากจะรู้ความสามารถของผู้ที่คุมทหารทั้งทัพหลวงเช่นกัน”
จากนั้นจึงค้อมกายลงอย่างงดงามพร้อมกับคำกล่าวเป็นมารยาทต่อคู่แข่ง “โปรดออมมือ”
“โปรดออมมือเช่นกัน”
ว่าแล้วยามาโมโตะก็กำหมากขึ้นมาให้มากที่สุดเพื่อเป็นการให้โกคุเดระเสี่ยงทายว่าจำนวนหมากนั้นเป็นจำนวนคู่หรือคี่
เรียวนิ้วขาวหยิบหมากฝั่งตนวางไปหนึ่งตัวแทนการตอบว่ามันเป็นจำนวนคี่ ยามาโมโตะโปรยหมากลงบนกระดาน
เขี่ยนับให้ได้ยินชัดเจน จนสุดท้ายเป็นจำนวนคู่
โกคุเดระจึงได้เริ่มเดินทีหลังโดยใช้หมากขาว
ส่วนยามาโมโตะเป็นผู้เริ่มเกมโดยวางหมากดำ
ภาพที่เกิดขึ้นระหว่างกระดานสองด้านนั้นชวนสะกดสายตาคนมอง
คนหนึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้ามีเพียงแต่สีขาวพร่าง นิ้วเรียวสวยจับหมากตัวสีขาวบริสุทธิ์
ส่วนอีกฝ่ายผู้ครอบครองหมากสีดำก็สง่างามอย่างยิ่งในอาภรณ์ดำสนิทดูคล้ายเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างหงส์งามและพญาอินทรีดำ
ตัดกันอย่างชัดเจนทว่าก็งดงามเหมาะสมยิ่ง
ผู้อื่นที่มองอาจจะมองว่าการเสี่ยงทายนั้นมีโอกาสถูกห้าสิบห้าสิบ
อันนั้นก็ถูก
ทว่าผู้ที่เล่นมานานอย่างเจ้านายน้อยโกคุเดระนั้นสามารถคาดคะเนได้บ้างว่าจำนวนนั้นแท้จริงแล้วเป็นคู่หรือคี่ก่อนจะเดาเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
คนๆนี้ถนัดตั้งรับมากกว่าที่จะบุก อาจดูขัดกับอุปนิสัยของเจ้าตัว
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ขุนนางจีสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กเพื่อให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ให้สมกับตำแหน่งหน้าที่
มุคุโร่แย้มยิ้ม กระดานที่เจ้านายน้อยโกคุเดระได้ครองหมากขาวก็มักจะเป็นกระดานที่เจ้าตัวชนะเสียด้วยสิ
ดวงตาสีมรกตมองหมากดำที่วางลงมาก่อนคราวนี้มีประมาณสองสามเม็ด
ก็พอที่จะตีกรอบกะพื้นที่คร่าวๆแล้วอดที่จะเหลือบตามองคนเล่นไม่ได้
เขายอมรับว่าเขาเองก็ดูถูกยามาโมโตะไว้ส่วนหนึ่งแต่ไม่คิดว่าคนๆนี้จะจับจองพื้นที่บนกระดานได้ชาญฉลาด
หากเขาไม่ทำอะไรเลยเขาแพ้ด้วยปริมาณพื้นที่แน่ๆ
เจ้านายน้อยโกคุเดระยิ้มมุมปากแล้วเริ่มวางหมากขาวลงไปในพื้นที่ของยามาโมโตะทันที เป็นการปะทะกันครั้งแรกและเป็นเจ้านายน้อยร่างบางที่เป็นฝ่ายบุกอย่างอุกอาจ
โดยที่มุคุโร่ก็คาดไม่ถึงว่าฝ่ายขาวจะรุกรวดเร็วได้เพียงนี้
ยามาโมโตะเลิกคิ้วนิดๆก่อนจะเผยรอยยิ้ม
หยิบหมากดำมาปิดล้อมหมากขาวนั้นอารมณ์เหมือนเจอผู้บุกรุกก็ต้องจับฆ่าอย่างไม่ลังเล
โกคุเดระมองภาพนั้นแล้วหัวเราะหึหนึ่งที ไม่ได้ฟังดูเป็นการดูถูกแต่อย่างใด
แต่เป็นความพึงพอใจ รำพึงกับตัวเองว่า ‘สมแล้ว’ คิดไพล่ไปว่าตอนเขาเล่นกับเคียวยะมันก็ประมาณนี้
“เจ้าเดินหมากได้ดี”
เสียงใสกังวานเอ่ยชมในขณะที่หยิบหมากวางบนกระดาน “เพียงแต่มองเป้าหมายผิดไปหน่อยก็เท่านั้น”
ว่าแล้วเมื่อถึงตาของตนอีกครา โกคุเดระก็ลงหมากอีกหนึ่งตัว
กลับกลายเป็นว่าพื้นที่ที่ยามาโมโตะจับจองไว้แต่เริ่มเกมนั้นเสียหายจนไม่อาจล้อมได้ใหม่
ไม่เพียงเท่านั้นยังกลายเป็นอาณานิคมของหมากขาวตั้งแต่เมื่อใดไม่ทันตั้งตัว
ดวงตาสีมรกตคู่งามเหลือบขึ้นมองคู่ต่อสู้กล่าวต่อเรียบเรื่อย
“นักรบทรงดาบเช่นเจ้าไม่แปลกอะไรที่จะมีปฏิกิริยากับสิ่งมีชีวิต
ถ้าหากเปรียบหมากนี่เป็นคน
หมากขาวของข้าคงคล้ายหน่วยสอดแนมที่องอาจเข้าบุกค่ายเจ้า
แล้วเจ้าก็กำจัดลมหายใจหมากแปลกปลอมทิ้งทันที นั่นถือเป็นวิธีการที่ถูกต้องสมควรกระทำ
หากวัดกันที่จำนวนหมาก ข้าก็อาจจะแพ้เจ้า ทว่านี่ไม่ใช่” น้ำเสียงนุ่มละมุนชวนฟังนั้นเข้มแข็งจริงจังขึ้น
กายขาวพร่างของเจ้านายน้อยโกคุเดระเหยียดตรง กล่าวต่อด้วยท่าทีเยือกเย็นอย่างหนึ่ง
“กระดานนี้เราวัดแพ้ชนะกันด้วยพื้นที่ใต้อาณัติ
เจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารสมควรแล้วที่จะหวงแหนลูกน้องและกำลังพล
ทว่าที่ปรึกษาเช่นข้าพร้อมที่จะวางแผนเสียสละกำลังพลเพื่อพิทักษ์สิ่งที่สำคัญกว่าอย่างแผ่นดิน
ทัศนคติที่ต่างกันเช่นนี้ก็เป็นเครื่องตัดสินแล้วว่าสายหน้าที่เช่นเจ้าไม่มีทางเดินโกะชนะคนดำรงตำแหน่งเช่นข้า”
ยามาโมโตะฟังแล้วนิ่งงันไป
เรื่องราวในอดีตย้อนกลับมาไม่อาจห้าม
ในตอนนั้นเขาเคยประณามขุนนางจีต่อหน้าว่าเป็นพวกใช้กำลังคนโดยสิ้นเปลือง
ซึ่งก็โดนตอกกลับมาทันทีว่าคนพวกนี้ได้ทำหน้าที่สมกับคุณค่าที่มันเกิดมาแล้ว
ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กอันโง่งม ไม่เข้าใจซ้ำฟังแล้วบังเกิดเป็นโทสะมากมาย แต่ตอนนี้เข้าใจจนสิ้น
นิ้วชี้แกร่งวางลงบนหมากขาวของอีกฝ่ายที่เป็นหมากตัวแรกที่อีกฝ่ายส่งเข้ามารุกรานเขา
ถามขึ้น
“เจ้าจะบอกว่าหมากตัวนี้นั้นมิใช่หน่วยกล้าตายที่เข้าฟาดฟันศัตรู
แต่คือผู้เสียสละอย่างนั้นหรือ”
“ใช่” เจ้านายน้อยรับอย่างหนักแน่น
“หมากตัวนั้นไม่จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุด
มีฝีมือทางการรบที่เยี่ยมยอดที่สุด
จะเป็นใครก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ที่มีใจอุทิศเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากที่สุด”
“นั่นหมายความว่าเป็นเจ้าก็ได้ใช่ไหม...ที่ปรึกษา”
คำสวนกลับมาทำให้เจ้านายน้อยชะงัก
ดวงตาของยามาโมโตะ ทาเคชิที่ถูกสลักเสลาตลอดทั้งชีวิตว่าเป็นดวงตาของผู้ทวงความแค้นนั้นไม่ควรจะมีความรู้สึกใดนอกจากความเรียบเฉยเย็นชาและไร้ซึ่งความอบอุ่นได้มีร่องรอยของความสั่นไหวขึ้นมาหนึ่งวูบดั่งเปลวเทียนที่ต้องลม
น้ำเสียงแข็งกระด้างอยู่เนืองนิตย์กลายเป็นตัดพ้อขึ้นมาบ้างจนเจ้านายน้อยไม่ทราบว่าตนเองนั้นหูฝาดไปหรือไม่
บรรยากาศชวนอึดอัดเช่นนี้เจ้านายน้อยอยากเบือนหน้าหลบเสียเพียงแต่ทิฐิบางอย่างโดยที่เขาไม่ทราบว่ามันมาจากที่ใดบังคับให้ลำคอระหงตั้งตรง
จ้องใบหน้าคมคายนั้นกลับไปด้วยความแน่วแน่
“ถูกแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นยินดีด้วยที่ปรึกษา
เจ้าชนะโกะในกระดานนี้แล้ว แต่ถ้าหากเป็นการศึกสงครามจริงๆยังไม่แน่ว่าเจ้าจะชนะ”
คำกล่าวสรุปตัดบทนั้นทำให้เจ้านายน้อยโกคุเดระขมวดคิ้วฉับ
เช่นเดียวกับผู้ที่เฝ้ามองอีกสามคนนั้นหันมามองหน้าสายเลือดเพียงหนึ่งจากแดนประจิมนั้นทันที
ยามาโมโตะยิ้มน้อยๆแล้วหลุบตามองหมากขาวดำบนกระดาน กล่าวย้อนไป
“เจ้าเป็นคนวางแผนได้ดีสมกับคำร่ำลือ
แต่ยังเข้าใจอะไรบางอย่างไม่ถ่องแท้ก็เท่านั้น
หากเจ้าเปรียบตัวหมากเหล่านี้คือมนุษย์จริงๆแล้วล่ะก็เจ้าจะไม่สามารถเดินกระดานพวกนี้ได้อย่างราบรื่นเช่นนี้...รู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร”
คำถามนั้นไม่คล้ายคาดคั้นเอาคำตอบ
ยามาโมโตะหยิบหมากกลมแบนนั้นขึ้นมากลิ้งบนฝ่ามือ
“เพราะมนุษย์นั้นมีชีวิตและหัวใจ”
เสียงทุ้มชวนฟังนั้นกังวานท่ามกลางความเงียบ
ดวงตาสีเปลือกไม้จ้องใบหน้างดงามนั้นไม่วาง “และเพราะยังมีชีวิตและหัวใจ
มนุษย์จึงยังคงมีความรู้สึกหวงแหน หัวใจของหมากสีขาวตัวนี้อาจหวงแหนแผ่นดินจนกระทั่งสละชีพได้ตามที่เจ้าว่า”
แล้วบุรุษในอาภรณ์ดำก็ชี้นิ้วไปยังหมากสีขาวที่ยังอยู่ในโถ
“แต่พวกที่เหลือนั้นเล่าทุ่มเทหัวใจคิดหวงแหนสิ่งใด...ถ้าหากหมากหนึ่งเม็ดที่เจ้าคิดสละนี้เกิดไปเป็นสมบัติอันล้ำค่าของใครเข้า
เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเจ้าไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งตามใจอยาก
ไม่ต้องให้ถึงกับเข้ามาอยู่ในวงล้อมของหมากข้าหรอก
เพียงแค่ตั้งใจจะเดินออกจากอาณาเขตตนเท่านั้นมันก็มีผู้ที่คิดรั้งหมากตัวนี้ไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี...หรือถ้าหมากตัวนี้ทำหน้าที่เป็นนกต่อสำเร็จและถูกข้ากำจัดแล้ว มันก็ต้องมีผู้ที่คิดมาล้างแค้น อาจเป็นสหาย
คนรัก เจ้านาย หรือครอบครัว เป็นใครก็ได้ที่เขาคิดว่าสามารถทิ้งชีวิตเพื่อปกป้อง”
แล้วยามาโมโตะก็จับหมากขาวของโกคุเดระหนึ่งตัวเลื่อนมาประชิดกับแนวกำแพงหมากดำของตน
เป็นตำแหน่งที่เขาไม่คิดว่าจะเอาหมากของตนไปวางเลยแม้แต่น้อย
“คนที่อยู่ในวังวนของความพยาบาทนั้นเคลื่อนไหวโดยไม่ฟังคำสั่งใครต่อให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ฆ่าใครก็ได้เพื่อเซ่นสังเวยวิญญาณคนรัก เชือดฟันใครก็ได้เพื่อความสาแก่ใจตน
ตอนนั้นรูปแบบของเจ้าที่วางแผนมาตั้งแต่ต้นก็ต้องถือว่าเสียขบวนไปโดยสิ้นเชิง
ทีนี้ตอบคำถามข้าสักข้อสิท่านที่ปรึกษา...เจ้าคุมได้หรือ
คุมหัวใจที่เคียดแค้นเพราะต้องสูญเสียสิ่งที่รักได้หรือไม่”
ความเงียบเป็นคำตอบโดยที่โกคุเดระไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าเหตุใดยามาโมโตะจึงพูดเรื่องนี้กับเขา
ทุกสิ่งที่คนตรงหน้ากล่าวออกมานั้นโกคุเดระไม่ทราบว่าจะคิดเอ่ยแย้งที่ใด
ซ้ำมันยังฟังแล้วเศร้าสร้อยทว่าหนักแน่นฝังลงลึกกลางดวงใจที่ไหวสั่น
“เจ้าบังคับบงการสัญชาตญาณเหล่านั้นไม่ได้
ความไร้เหตุผล ทำอะไรตามความรู้สึกนั่นก็คือธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไม่มีวันหลีกหนีมัน
แม้แต่คิดจะปฏิเสธก็ยังทำไม่ได้
หนทางเดียวคือต้องเฝ้ามองมันแล้วยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดตามมา...แค่นั้น”
คบเพลิงวางเรียงกันเป็นแนวยาวไปตลอดสองฝั่งตรงลานฝึกหลังคฤหาสน์ริมน้ำทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดมีแสงพอที่จะมองเห็นได้อย่างสลัวขึ้นมา
ห่างออกไปราวห้าสิบเมตรมีเป้าฝึกธนูอันทำจากฟางตั้งนิ่ง
ย้อมสีบ่งบอกถึงบริเวณที่จะได้คะแนนสูงต่ำ และผู้ที่ยืนอยู่อย่างสงบมั่นคงเพียงคนเดียวในราตรีที่เงียบสงัดนั้นมีเพียงร่างโปร่งบางในชุดเคย์โคกิและฮาคามะสีขาวสะอาดทั้งกาย
ลมพัดโชยมาพาเอาเส้นผมสีเงินยวงพลิ้วไหวแล้วทิ้งลงข้างแก้มเป็นภาพที่ดูงดงามเยือกเย็นอย่างหนึ่ง
ในมือซ้ายยกคันธนูอันใหญ่ขึ้น มือขวาจับลูกธนูขึ้นทาบ
น้าวมันจนสุดแรงบังเกิดเป็นเสียงของเอ็นเสียดสีกับผิวไม้
ดวงตาสีมรกตคู่งามหรี่ลงเพ่งเขม็งด้วยความนิ่งแล้วปล่อยมือออก
ลูกปักที่กึ่งกลางเป้าจมหายไปกว่าค่อนนั่นหมายถึงความแม่นยำและพละกำลังอันไม่ธรรมดา
มือขาวดังหยกเนื้อดียามนี้กระด้างแข็งขึ้นมาบ้างแล้ว
มันไม่มีแม้แต่รอยแดงหรือรอยถลอกทั้งๆที่เอ็นนั้นทั้งแข็งและคมแสดงถึงการฝึกฝนมานาน
เมื่อตอนเด็กๆนั้นเจ้านายน้อยโกคุเดระไม่เคยคิดขยันขันแข็งทำสิ่งใด
ถึงจะชอบเข้าป่ากับท่านปู่ไปล่าสัตว์
แต่ก็จับได้เพียงแค่สัตว์เล็กอย่างกระต่ายหรือลูกสุนัขจิ้งจอก
นอกนั้นเป็นฝีมือของท่านปู่เสียสิ้นด้วยที่ว่าเขายังไม่ช่ำชองในการฝึกยิงธนูให้ดีพอ
เมื่อโตมาหน่อยก็ยังฝึกแบบทีเล่นทีจริงมาโดยตลอด จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นั้น
เหตุการณ์ในอดีตเมื่อเจ็ดปีก่อนที่สลักเสลาลงกับร่างกายและหัวใจของเขาไม่มีวันลบเลือน
เขาจึงต้องเข้มงวดกับตัวเอง
ทั้งนี้มิได้มีไว้แก้แค้นอะไรทั้งนั้น
เพียงแค่อยู่เฉยๆไม่นึกแค้นโกคุเดระยังรู้สึกว่าหัวใจเขายังร้าวระบม ทว่าที่ยืนหยัดมาจนเข้มแข็งเพราะเขาไม่อยากจะเห็นอีกแล้ว
ไม่อยากเห็นท่านปู่ในร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเหมือนคืนนั้น
ไม่อยากเห็นสีหน้าตระหนกตกใจปานโลกล่มสลายลงต่อหน้าเมื่อเขาต้องดาบของยามาโมโตะล้มลง
ในตอนนั้นมันเจ็บทั้งกายและใจอย่างบอกไม่ถูก เขาต้องการที่จะเข้มแข็งขึ้นเพื่อไม่ให้มาเหยียบย่ำตระกูลเป็นครั้งที่สอง
อย่างน้อยก็เพื่อปกป้องท่านปู่ ปกป้องตัวเอง เป็นเหตุผลเรียบง่ายเช่นนี้
อีกอย่างการฝึกธนูยังช่วยกำจัดความคิดฟุ้งซ่าน
อย่างที่เขามายืนอยู่บนลานกลางดึกตอนนี้ ก็เพื่อกรณีนี้
คำพูดของยามาโมโตะทำให้เขาไม่อาจข่มตาลงได้จริงๆ
‘ข้าแค่อยากเตือนเจ้าเอาไว้แต่เนิ่นๆ
เผื่อว่าในอนาคต เจ้าจะได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะส่งให้ใครไปตาย’
คำพูดนั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่ยามาโมโตะพูดกับเขา
จากนั้นก็ไม่เปิดปากอีกจนกระทั่งแยกย้ายกันกลับคฤหาสน์ เขากลับมากับเคียวยะ
ตลอดเวลาบนรถม้านั้นเพื่อนสนิทที่พูดน้อยอยู่แล้วกลับเงียบเข้าไปอีก
ไม่เท่านั้นยังทำสีหน้านิ่งเรียบเย็นชาเป็นเกราะกำแพงน้ำแข็งบางๆทำให้เจ้านายน้อยก็ไม่อยากไปตอแย
เขาก็พอจะมองออกอยู่หรอกว่าเคียวยะหัวเสียเรื่องอะไร
“พระจันทร์จะลับฟ้าอยู่แล้ว
ทำไมเจ้ายังไม่ไปนอน” เสียงทุ้มเย็นทว่าฟังอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลัง
ปรากฏร่างสูงโปร่งของที่ปรึกษาขององค์จักรพรรดิรัชกาลปัจจุบันเดินเข้ามาหา
โกคุเดระแย้มยิ้ม ลดธนูลงข้างตัว
“หลานมีเรื่องมากมายให้คิดก็เลยไม่อาจข่มตาหลับลงได้
ดูท่าว่าท่านปู่ก็เป็นเช่นเดียวกันใช่หรือไม่”
“ก็คงจะใช่” ขุนนางจีตอบก่อนจะมายืนเคียงข้างผู้เป็นหลาน
หรี่ตาลงมองไปยังเป้าฝึกที่ห่างออกไปแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ “ไม่เพียงแต่ตำราเท่านั้นแต่ฝีมือด้านศาสตราวุธของเจ้าก็รุดหน้าไปมากทีเดียว”
“ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือชั่ว
หลานชอบมาฝึกธนูคนเดียวตอนกลางคืนเวลามีเรื่องทุกข์ร้อนแก้ไม่ตก
ที่มันพัฒนารวดเร็วเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะมีปัญหากวนใจบ่อยๆ
ลองให้หัวของหลานโล่งกลวงเมื่อไหร่สิ ตอนนั้นลูกธนูของหลานคงไม่เฉียดแม้สักเส้นฟาง
พุ่งทะลุเข้ารกเข้าพงไปโน่น”
ผู้เป็นปู่หัวเราะเบาๆกับถ้อยคำทีเล่นทีจริง
พยักหน้าหลายทีรับรู้ จับคันธนูอีกอันยกขึ้นน้าวด้วยท่าทางสง่างามมั่นคงยิ่งแล้วจึงยิงออกไป
ลูกธนูนั้นแหวกอากาศด้วยความเร็วปักทะลุเป้าซ้อมอีกอีนด้วยตรงจุดที่แม่นยำที่สุด
โกคุเดระมองท่านปู่ของตน ด้วยตำแหน่งหน้าที่
ท่านปู่ของเขาจึงดูเป็นคนสุขุมเยือกเย็นและเก็บความรู้สึกเก่งยิ่งกว่าใคร
แต่ในเมื่อเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขท่าน ที่แท้ท่านรู้สึกเช่นใดเขาย่อมรู้
“ถ้าหากท่านปู่รู้สึกไม่สบายใจที่บอกเคียวยะเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลานเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ”
ขุนนางจีชะงักทันทีกับคำกล่าวฟังอ่อนโยนของเด็กหนุ่มข้างกาย ดวงตาสีโกเมนหันมามองใบหน้าอ่อนวัยที่กำลังประดับด้วยรอยยิ้มปลอดโปร่ง
“นี่เจ้ารู้ด้วยหรือ”
“วันนี้เคียวยะเหมือนไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก
คาดว่ากลับไปคงโดนท่านปู่อลาวดี้เทศน์ไม่น้อย”
โกคุเดระว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ก่อนจะคลายท่วงท่าร่าเริงนั้นลงกลับกลายเป็นความจริงจังแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยจางๆ
ดวงตาทอดทอด้วยความลึกซึ้งอย่างประหลาด “หลานเป็นเพื่อนเขามามากกว่าสิบปี
เพราะเคยใกล้ชิดกันจึงรู้ทันไปหมดทั้งนิสัยใจคอแล้วก็ความรู้สึก เขาคิดอะไรหลานรู้
เขาต้องการอะไรหลานยิ่งต้องรู้ เคียวยะหลุดการควบคุมเช่นนี้ไม่ได้เป็นบ่อยนัก
คาดว่าต้องมีที่มาที่ไป พอเอามาควบคู่กับที่ท่านปู่รีรอไม่ยอมไปงานจนกระทั่งเคียวยะมา
หลานก็เลยพอทราบว่าท่านปู่ต้องพูดอะไรกับเขาไปบ้าง”
“ข้าไม่ได้บอกเขาไปตรงๆหรอก”
คุณนางจีระบายลมหายใจยาว “แต่ด้วยสติปัญญาของผู้ตรวจการสูงสุดก็พอจะคาดคะเนได้ว่าเจ้าต้องประสบพบเจอกับความโชคร้ายเช่นไร
ด้วยคนตระกูลฮิบารินั้นรู้จักผลตอบแทนของสงครามยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน”
“ท่านปู่พูดถูกแล้ว
เพราะเขาจะรู้จักสงครามดียิ่งกว่าใคร
เขาก็ย่อมต้องความรู้สึกไวต่อเรื่องพรรค์นี้ด้วยเป็นธรรมดา...ยามาโมโตะ
ทาเคชิถูกเปลี่ยนบทบาทเสียยิ่งใหญ่
ตอนนี้รั้งตำแหน่งถึงว่าที่สมุหกลาโหมคุมกองทัพนับหมื่นนับพันแห่งวังหลวง
อนาคตไม่ไกลเขาย่อมต้องได้ร่วมงานกับทั้งหลานและเคียวยะ
ถึงตอนนั้นเคียวยะคงจะจับได้สักวันว่าระหว่างหลานกับเขาแท้จริงแล้วมีเรื่องราวอันใดต่อกัน
สุดท้ายคงสืบจนแจ้งใจอยู่ดี”
“ก็เพราะเรื่องนั้น ฮายาโตะ”
ขุนนางจีถอดถอนใจอีกรอบ นี่เป็นเรื่องที่ลำบากต่อการตัดสินใจนัก
ใครเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เขาที่ยังเป็นผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง
ยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขที่รักยิ่งแก้วตาดวงใจย่อมต้องมองเรื่องนี้เป็นเรื่องหนักหนา
ขุนนางจีเดินเข้ามาหาหลานตน ประสานสายตากับเจ้าเด็กน้อยที่แต่เดิมเขาต้องย่อตัวลงคุยด้วย
แต่ตอนนี้กลับเติบโตจนสูงเท่ากันเสียแล้ว ประมุขแห่งคฤหาสน์ริมน้ำยิ้มออกมา
พึมพำเบาๆ
“ใช่...เจ้าโตแล้ว
มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากมายต่อจากนี้
ซึ่งก็คงจะไม่พ้นเป็นบุรุษผู้ฝักใฝ่ในวิชาดาบเป็นบ้าเป็นหลังสองคนนั่น”
คุณนางจีหัวเราะหึๆ “ถึงยามาโมโตะ ทาเคชิจะอยู่อย่างเงียบสงบมาได้เจ็ดปีแต่สำนักที่ปรึกษายังคงเห็นว่าเขาต้องปรับทัศนคติบางอย่างให้ดีขึ้นเพื่อทำงานกับคณะปกครองอันประกอบไปด้วยแต่สายเลือดฝั่งบูรพา
ทั้งนี้จนกว่าจะถึงการแต่งตั้งเจ้ารัชทายาทสึนะโยชิขึ้นเป็นจักรพรรดิอย่างเป็นทางการ
เจ้า...มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือดูแลเขา”
เจ้านายน้อยโกคุเดระฟังแล้วคล้ายกับโลกมันเอนเอียงไปชั่วขณะ
เขาครางออกเสียงแผ่วเป็นคำเรียก ‘ท่านปู่’ ทว่ามันคล้ายออกไปแต่ลมเท่านั้น
มือบางยกขึ้นทาบที่หน้าอกของตนบริเวณที่เป็นรอยแผลจางอย่างไม่ทราบสาเหตุ
รู้แต่เพียงมันปวดแปลบและสั่นระริกราวกับว่าถ้าหากไม่ยกขึ้นจับมันไว้มันก็จะปริแยกหลั่งโลหิตออกมาอีกครา
เสียงของตนก้องกังวานเป็นคำกรีดร้องดังอื้ออึงอยู่ในหัว
การเข้าไปใกล้ชิดกับยามาโมโตะ ทาเคชินั้นสำหรับเจ้านายน้อยโกคุเดระในยามนี้มันฟังน่ากลัวราวกับคำตัดสินประหาร
“หลาน...ต้องเป็นหลานหรือท่านปู่? ต้อง...ต้องเป็นหลานเท่านั้นใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่พระราชโองการ
แต่นี่เป็นความคิดเห็นของเสนาธิการฝ่ายซ้ายว่าควรจะเป็นเจ้า” คำตอบของท่านปู่ยิ่งทำให้เขาต้องฝืนยิ้มขื่น
เขารู้แล้วด้วยประโยคนี้ ฟังดูอาจจะไม่ใช่การบังคับ แต่ถ้าหากท่านปู่อ้างว่าเป็นความเห็นของเสนาธิการฝ่ายซ้ายนั้นเมื่อใดก็เป็นดั่งคำประกาศิตสำหรับเขาอยู่วันยังค่ำ
ตระกูลโรคุโดไม่เคยเดินหมากใดด้วยใจที่คิดเพียงสนุกส่วนตนหรือเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
การจับวางทุกย่างก้าวนั้นมันเพื่อประเทศนี้ทั้งสิ้น
ถ้าอย่างนั้น ถ้าเพื่อสิ่งนั้นแล้ว
ความเจ็บปวดของเขาที่จะเอาไปเทียบมันไม่เท่าฝุ่นธุลีเลยหรือ
“หลานของท่านปู่เกิดในตระกูลอันมีเกียรติ
ร่างกายนี้ย่อมไม่ใช่ของตนตั้งแต่ต้น...ท่านปู่ไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ หลานเป็นหมากตัวหนึ่งที่พร้อมจะเดินไปที่ใดก็ได้
ทำหน้าที่ใดก็ได้ให้ได้รับชัยชนะ ดังนั้นเสนาธิการฝ่ายซ้ายเห็นสมควรจะให้หลานไปทำอะไรก็สุดแต่ตามที่ท่านจะบัญชาเถิดขอรับ”
เจ้านายน้อยกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาด้วยความไม่ลังเล
บังเกิดเป็นเสียงกังวานฟังชัดท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนที่สงบเงียบ
โดยที่เจ้าตัวก็ไม่อาจรู้ ว่านี่อาจเป็นถ้อยคำที่พันธนาการตนไปในภายภาคหน้า
.
.
.
.
.
TBC...
มิยะขอเม้าท์
พอมาเคาะไหนี้แล้วทำให้ไอ้มิยะรู้เลยว่าตรูมีไหพีเรียดดราม่าอยู่อีกตั้งหนึ่งนี่นา! // โดนโบกกระเด็น เรื่องนี้ไอ้มิยะวางพล็อตไว้คร่าวๆแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ๆ พอได้มาแต่งต่อ หวนคิดไป เอ้อ! นี่มันดราม่านี่!! ตอนนี้มีฟิคดราม่าอยู่กี่ไหแล้วหนอ O[]O เพราะงั้นตอนนี้มิยะพอจะจับคู่ได้แล้วหากจะปั่น เรื่องนี้ต้องควบคู่ฮิมาวาริล่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ แต่อยากบอกว่าไอ้มิยะได้กำลังใจดีขนาดหนัก ด้วยการที่กลับไปติดรีบอร์นอีกครั้ง ขอบอกเลยว่าการ์ตูนสี่สิบสองเล่มนั้นมิยะหยิบมาอ่านเมื่อไหร่ ไม่ทันจบเล่มอ่ะ ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง! โอย ยิ่งตอนที่คุณเคียวเท่ๆ อิเนียนดาร์กๆนะ ทำเอามีไฟปั่นขึ้นมาทันทีทันใด 805918 ต้องการแรงบันดาลใจเพียงเท่านี้แหล่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ ไม่ต้องอยู่ด้วยกันทั้งสามคนก็ได้ มันหายาก แต่อ่านกี่ทีๆ รีบอร์นนี่ก็เป็นเครื่องจุดความฟินจริงๆพับผ่าสิ
ยังไงก็ขอขอบคุณคนที่ยังตามเรื่องนี้อยู่ด้วย แสดงหรือไม่แสดงตัว มิยะขอขอบคุณจริงๆ มิยะจะพยายามปั่น แต่ยังไงก็ตามตอนนี้มิยะค้างฝั่งฟ้าถล่มกับนิติเวชมาพักหนึ่งแล้ว คิดว่าจะพยายามปิดไหฟ้าถล่มให้ได้ และกระเตื้องนิติเวชให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้มีความคิดที่ต้องแบ่งอารมณ์ออกเป็นสองฝ่าย ถึงเรื่องทั้งสองฝ่ายนี้จะคล้ายเป็นบู๊ดราม่าเหมือนๆกันก็จริง แต่ที่จริงแล้วต่างกันอยู่โข คาร์แร็กเตอร์ก็ต่างกันอยูู่แล้ว เพื่อให้มันไม่ปะปนกันมิยะจะพยายามไม่อัพสลับสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะทุ่มฝั่งฟ้าถล่มไปสักพักใหญ่ๆแล้ววกกลับมาหาเรื่องนี้อีกครั้งค่ะ ขอโทษจริงๆที่ทำให้ต้องรอนานน้า
อ่า เกือบลืมๆ ตรงที่มิยะดอกจันไว้ มิยะขอคำอธิบายคำว่า โชกุน สักเล็กน้อย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าแผ่นดิน เรื่องนี้มีราชาเพียงหนึ่งและอยู่ฝั่งบูรพาคือตระกูลซาวาดะเท่านั้น โชกุนหมายถึงผู้บัญชาการทหารของญี่ปุ่นสมัยโบราณ เป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลประการหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ฝั่งประจิม ปู่อุเก็ตสึขึ้นตรงต่อทางนี้ค่ะ
แล้วก็มีเรื่องจะแจ้งอีกอย่างว่าตอนนี้มิยะเปิดเทอมแล้ว เพราะฉะนั้นอาจไม่ได้อัพฟิคได้ถี่ขนาดนี้แล้ว อย่างมากคงเป็นสองอาทิตย์ครั้ง หรือเดือนละครั้ง แล้วแต่เวลาจะเอื้ออำนวย ซึ่งมิยะจะพยายามปั่นเต็มที่ค่ะ
ฝากติดตามต่อด้วยน้าา >w<
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน
Miya
ปิดเทอมรึยังคะ อยากอ่านต่อจังเลยค่า ค้างมากๆ ยังแต่งต่อใช่มั้ยคะ อย่าทิ้งกันไปเลยน้าา T^T ชอบภาษามากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้น้าา
ตอบลบ