หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren SKYFALL -BlackBird- : 18



Project : Happy birthday Gokudera Hayato
Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren
Drama Action
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ฟิคเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือหน่วยงานใดๆที่อ้างถึง



SKYFALL : 18





            รีไวกะพริบตาช้าๆขณะที่อยู่ลิฟท์พร้อมกับผู้ติดตามอีกสองคน ดวงตาของเขาต้องการการปรับแสงอย่างมากเพราะอาการล้าจากการนั่งจ้องโพรเจคเตอร์กับเอกสารในห้องประชุมทั้งวัน ยิ่งพอถึงชั้นล่างสุดแล้วมองออกไปข้างนอกประตูกระจกของบริษัท ความมืดยามใกล้สี่ทุ่มมันยิ่งย้ำเตือนว่าเขาต้องปรับการมองเห็นอีกมาก ส่วนคนที่เดินตามมาติดๆนั่น ถึงจะบอกว่าผู้ติดตามก็ไม่ถูกนัก หญิงสาวผมดำขลับเคลียข้างแก้มร่างสูงโปร่งวัยยี่สิบกลางๆในชุดกางเกงสีดำกับเชิ้ตเข้ารูป ดวงตาสีดำสนิทเยือกเย็นมากกว่าจะว่างเปล่าจับจ้องไปข้างหน้าตามคนที่อาจเรียกได้ว่าพี่ชายอายุห่าง เธอเหลือบตามองเล็กน้อย

            มิคาสะค่อนข้างแปลกใจพอสมควรที่คนตรงหน้านั่งคุยกับพนักงานที่ทำผิดอยู่นานสองนาน ทั้งๆที่เมื่อก่อนมันกินเวลาเพียงแค่ยื่นคำสั่งไล่ออกให้และการตำหนิอย่างรุนแรงอีกสองสามประโยค แต่ครั้งนี้ดูท่าจะไม่ใช่อย่างนั้น เธอจึงเปรยถามเสียงเรียบ

“เมื่อตอนกลางวัน มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”        

รีไวกลอกตามองคนเป็นญาติและยังเป็นเลขาเพียงคนเดียวเพียงเล็กน้อย ปฏิเสธทันที

“ไม่มีอะไร” แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ “แปลกนะที่เธอสนใจ”

            “นั่นก็เพราะคุณสนใจนี่คะ” คำโต้กลับของมิคาสะทำให้เขาหรี่ตาลงในขณะที่ฝ่ายหญิงสาวก็ไม่หลบสายตาเขาเลยแม้แต่น้อย คนเดียวที่กล้าจ้องตาเขาอย่างตรงไปตรงมาและนิ่งสนิทเห็นจะมีก็แต่มิคาสะเท่านั้น และดูเหมือนว่าต่อให้อายุน้อยกว่าหรือนั่งตำแหน่งต่ำกว่า มิคาสะไม่เคยให้จุดนั้นมาแยกชนชั้น เคารพก็จริงแต่ก็ไม่เกรงใจ ถ้าเขาพลาดเมื่อไหร่เธอก็พร้อมจะเตือนหรือบางทีก็ก้าวข้ามไปทันที แต่เหตุการณ์นั้นยังไม่เคยเกิดขึ้น เช่นเดียวกันเธอก็ยังไม่เคยพลาดเมื่ออยู่ข้างๆเขา เพราะถ้าเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ แอ็คเคอร์แมนทั้งสองคนไม่มีทางไว้หน้ากัน ทั้งนี้ก็เพื่อจอร์จิโอกรุ๊ป

            แต่ถ้าพูดถึงเรื่องคนที่กล้าตอบโต้กับเขา เห็นทีตอนนี้จะไม่ได้มีแต่มิคาสะ

            “ก็แค่เด็กคนหนึ่ง” เขาพึมพำ แค่คิดก็ชวนถอนหายใจ “แถมยังเป็นเด็กตัวปัญหา”

            “แล้วรับได้หรือเปล่าล่ะคะ เด็กตัวปัญหานั่น”

            “ไม่เกี่ยวว่าจะรับได้หรือไม่ได้” รีไวโต้ทันที “อยู่ที่ว่าจะใช้งานได้หรือไม่ได้ ที่ฉันยังให้เด็กนั่นอยู่ต่อก็เพราะเห็นว่ายังไม่ไร้ประโยชน์จนเกินไป อีกอย่างการจำหน่ายเด็ก Upenn ออกง่ายๆมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ เมื่อบริษัทยังไม่ได้รับความเสียหายเกินควร เราควรจะปรองดองกับมหาวิทยาลัยต่อไป นักศึกษาที่นั่นมีศักยภาพสูง เราต้องการคนที่มีความคิดใหม่ๆ ไม่ใช่พวกจิ้งจอกเฒ่าหวงเก้าอี้ นั่งกินตำแหน่งไปวันๆ” รีไวฉุกคิด เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเด็กตัวแสบแห่งเอเชียอย่างโกคุเดระ ฮายาโตะก็จบจากที่นี่เช่นกัน ว่าแล้วก็ระบายลมหายใจ ไม่ว่าเจ้าเด็กสองคนนี่จะรู้จักกันไหม แต่ก็สมแล้วที่ร่วมสถาบันกันมา

            “แล้วเรื่องที่บริษัทรถยนต์แจ้งมาเมื่อสักครู่นี้ จะตกลงสินะคะ”

            “ถึงจะกะทันหันแต่เราก็ต้องรับไว้” รีไวว่า “ถึงฉันจะไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรปุบปับ แค่ลำพังบริษัทรถจะเร่งงานเรากะทันหันก็ต้องมีความเกรงใจเป็นทุนอยู่แล้ว เราจะปฏิเสธก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ามองมุมกลับนี่มันเป็นข้อพิสูจน์ ถ้าเราสามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ มันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามากขึ้น ถือโอกาสผูกมัดไปในตัวด้วย ทั้งเรายังมีสิทธิ์ที่จะเรียกค่าตอบแทนพิเศษ”

            “อีกอย่างก็เป็นเพราะสถานที่จัดโชว์...เบธิลด์ ทาวเวอร์ สาขานิวยอร์ก” มิคาสะต่อ รีไวเงียบไป ไม่ปฏิเสธว่าอีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะห้างสรรพสินค้านั้นจริงๆ เพียงแค่ได้ยินชื่อเลือดในกายของเขาก็ร้อนและไหลเวียนเร็วขึ้น เพราะเมื่อใดที่มันโผล่หัวมาสักตัวแล้ว มันจะลากพวกมาอีกเป็นพรวน ด้วยสัญชาตญาณเขาตอบได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ ทั้งตระกูลเลอรอยด์ โกคุเดระแอร์ไลน์ และเครือ The Best

            เขาก็อยากจะไปดูสักหน่อยว่าปลาตัวใหญ่ในข้องมันยังอยู่ดีกันไหม หรือพักฟื้นกันเต็มที่พร้อมจะออกล่าเนื้อ เขายังไม่ลืมหรอกว่าพวกนั้นน่ะมันไม่ใช่ปลาสวยงามแต่คือวาฬเพชฌฆาตดีๆนี่เอง พอเอามารวมกับการที่อยู่ดีๆบริษัทรถก็ต้องการนำซีรีส์ใหม่ไปโชว์ตัวที่เบธิลด์ ทาวเวอร์จะไม่มีอะไรในกอไผ่เลยมันออกจะบังเอิญไปหน่อย คงไม่ใช่ความต้องการของทางนี้แน่ แต่บางทีอาจจะเป็นข้อเสนอของทางเลอรอยด์ ถึงเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังไม่รู้ถึงเหตุผลของการเชิญบริษัทรถไปจัดโชว์รูมในวันแกรนด์โอเพ่นนิ่งของห้างอยู่ดี

            ต้องการสร้างสีสันให้งาน หรือเพื่อเปิดช่องทางขายให้รถเท่านั้นหรือ

            แค่ลองสันนิษฐานเท่านั้นรีไวรู้สึกได้เลยว่าความคิดของตัวเองตื้นไป

            “ข่าวเรื่องที่จะไปโชว์ตัวที่นิวยอร์กออกสู่สาธารณชนไปแล้วหรือยัง” 

            “ยังค่ะ ดิฉันกำชับไปแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าว ให้ค่าปิดปากไปแล้ว เพราะอย่างนั้นโฆษณาทุกอย่างจะยังไม่ออกจนกว่าทางเราจะให้คำสั่ง” หญิงสาวว่า รีไวพยักหน้ารับ สำทับไปอีก

            “เรื่องนี้ให้เก็บเงียบเอาไว้ก่อน  เรายังไม่รู้ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งอย่างแน่ชัด และที่สำคัญที่สุด อย่าให้รู้ไปถึงฝั่งซิซิลี เราจะให้ตาแก่นั่นนอนหมอบอยู่ในถ้ำไปอีกสักพัก เพราะถ้าซิซิลีเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ เราจะต้องทำงานเหนื่อยขึ้นหลายเท่า รวมถึงไอ้นกสองหัว สตีเฟน แมคคาร์ทีก็ด้วย”

            มิคาสะก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงรับทราบ เธอไม่คิดเถียงหรือให้ข้อเสนอแนะอะไรอีกเมื่อเป็นเรื่องนี้ รู้ดีการอยู่อย่างราชันย์นั้นมันเต็มไปด้วยอุปสรรคอย่างที่คนอื่นอาจคาดไม่ถึง คนที่หวังสั่นคลอนบัลลังก์ไม่ได้มีแต่เพียงศัตรูจากภายนอก แต่คนภายในก็ร้ายไม่ต่างกัน โดยเฉพาะคนในที่ปักหลักอย่างมั่นคงอยู่ที่เกาะทางใต้ของอิตาลีนี้ ถือเป็นหนามยอกอกที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่จอร์จิโอเคยมีมา เข้าทำนองคนที่เอาชนะตัวเองได้ ก็มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้น

            เพราะเรียกว่าเป็นสาขาก็คงไม่ถูกแต่คือจอร์จิโอที่แบ่งอำนาจไป บริหารด้วยสายเลือดแอ็คเคอร์แมนอีกหนึ่งคน มีอำนาจการตัดสินใจเพื่อขับเคลื่อนบริษัทเทียบเท่ารีไวทุกประการ ดุจดั่งบัลลังก์คู่ที่ตีเทียบมากับศูนย์บัญชาการหลังที่ปราโตตลอดมา เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์อาจจะไม่ต่างจากเขากับมิคาสะนัก เราไม่ได้มีไว้สนับสนุนกันและกัน แต่มีไว้เพื่อสนับสนุนจอร์จิโอ ถ้าเขาล้มเมื่อไหร่ ทางฝั่งซิซิลีจะต้องขึ้นเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวทันที แล้วรีไวก็ไม่ได้รู้สึกไปเองว่าพักหลังนี้เขาเริ่มโดนเบียด ตาแก่นั่นเริ่มออกลายเห็นแก่ได้จนน่าสมเพช

            ชายหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือเรือนแพงขึ้นดูเพื่อกะเวลาว่าเขาเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ในการทำงานตลอดคืนนี้ แต่พลันที่เห็นเข็มสันกับเข็มยาวบ่งบอกเวลาว่าสี่ทุ่มในหัวของเขาก็คำนวณเวลาทันทีว่าเหลืออีกสองชั่วโมง ไม่ใช่เวลาทำงานของเขา แต่เป็นเวลาทำงานของเจ้าเด็กฝึกงานนั่น...

เขาบอกไปแล้วว่าถ้าหากซ่อมไฟไม่ได้ภายในวันนี้ก็ต้องออก คิดถึงตรงนนี้แล้วท่านประธานบริษัทใหญ่ผู้ไม่เคยแยแสพนักงานคนไหนว่าจะอยู่จะไปก็รู้สึกขุ่นมัวขึ้นมาเฉยๆ ใบหน้าเด็กๆที่ยิ้มให้เขาอย่างสดใสไร้สิ่งเจือปนผุดชัด ต่อให้ออกหรือไม่ออกเด็กนั่นก็ยิ้มสู้ เหมือนมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวล

            แต่เขาสิ เขาไม่รู้ว่าตนเองจะรู้สึกยังไงถ้าเด็กคนนั้นอยู่ต่อ รู้แต่ว่าถ้าเด็กนั่นต้องออก เขาไม่ชอบใจ

            ใช่ เหมือนรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างนั้น...

            “เธอกลับไปก่อนได้เลย” เขาบอกเลขาส่วนตัวสั้นๆก่อนจะเดินแยกมาอีกทางโดยที่ไม่สนสายตาของคนถูกสั่งที่มองตามมา ร่างแข็งแกร่งในชุดสูทเดินไปตามทาง สาวเท้าอย่างคล่องแคล่วจนกระทั่งใกล้ถึงห้องของแผนกไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เลิกคิ้วนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าไฟจากห้องนั้นส่องสว่างออกมาจนถึงทางเดินข้างนอก

            ยังซ่อมไม่เสร็จงั้นเหรอ แล้วถ้าแบบนั้นทำไมถึงยังไม่ปล่อยไป สรุปอยากออกหรือไม่อยากออกกันแน่ เจ้าเด็กนิสัยประหลาดนี่

            รีไวเดินไปจนถึงประตู บุคคลเดียวที่อยู่ในห้องทำงานและอาจจะเป็นคนเดียวของพนักงานบริษัทนี้ที่ยังทำงานอยู่เป็นเด็กรูปร่างโปร่งในเสื้อช็อปกับหมวกใบเดิมแล้วก็ง่วนอยู่กับตู้ไฟไม่สนใจเขาที่ยืนมองอยู่ด้วย นิ้วเรียวถอดสายไฟ ทำหน้ายุ่งแล้วเสียบเข้ากับปลั๊กอันใหม่ จากนั้นก็หมุนปุ่ม แล้วก็ขมวดคิ้ว วนเวียนอยู่อย่างนี้ รีไวมองแล้วก็นึกถอนหายใจไม่ได้ เจ้าเด็กนี่จะว่าฉลาดรอบคอบก็จริง แต่ออกจะเอาตัวรอดกับแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งกว่า ไม่งั้นคงไม่มายืนงงแก้กับดักตัวเองที่วางเอาไว้อย่างนี้หรอก เรียนผูกเรียนแก้ ผูกน่ะง่าย แต่แก้ยากกว่าเยอะ

            “จะได้แล้วๆ” เสียงใสๆพึมพำขึ้นแต่ดูท่าว่าจะเป็นการพูดกับตัวเองมากกว่าเมื่อหมอนั่นยังไม่เห็นว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ดวงตาสีขี้เถ้าจับจ้องอากัปกริยาของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดอย่างเงียบงัน เขาไม่เคยมองใครทำงานมาก่อน รู้อยู่อย่างเดียวว่าการทำงานให้บริษัทใหญ่มันไม่มีทางง่ายเพราะอย่างนั้นเขาถึงเดาว่าพนักงานของเขาคงต้องมีสีหน้าจริงจังและเคร่งเครียดเวลาทำงาน แต่เจ้าเด็กตรงหน้าทำให้เขาต้องทิ้งความคิดทั้งหมด

            มันมุ่งมั่นแต่ก็แฝงไปด้วยความผ่อนคลาย สนุกสนาน มีชีวิตชีวาจนไม่อาจละสายตา

            “โอเค...” เอเลนลากเสียงเมื่อกดสวิซต์ตัวสุดท้าย เป่าปากอย่างโล่งอก “เดี๋ยวค่อยขึ้นไปเช็คอีกทีละกัน”

            “ไม่ต้อง” เสียงทุ้มต่ำบอกออกไปเล่นเอาคนในห้องสะดุ้งโหยง ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าจะตะลึงอะไรหนักหนา นี่ถ้าเขาบอกออกไปอีกว่ามายืนดูได้ร่วมสิบนาทีแล้ว เจ้าเด็กบ้าไม่ตกใจจนเป็นลมเลยหรือไง เขาระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ออกคำสั่งไป “เสร็จแล้วก็รีบกลับซะ มันเปลืองไฟบริษัท”

            “ทะ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”

            “แล้วทำไมจะอยู่ไม่ได้” รีไวโต้กลับทันที “นายต่างหากที่สมควรจะกลับตั้งนานแล้ว ฉันไม่ได้อยากอ่านคำร้องของมหาลัยนายหรอกนะว่านายต้องส่งรีพอร์ทประจำวันช้าเพราะต้องทำงานถึงดึกดื่น มันนำมาสู่ความบาดหมางไร้สาระ” เห็นใบหน้าซีดๆนั่นแล้วรีไวรู้เลยว่าเขาพูดไม่ผิด คิดว่าเขาไม่รู้หรือไงว่าเด็กนี่มาทำงานกี่โมงและกลับกี่โมง ตลอดร่วมสิบสี่วันในจอร์จิโอมันต้องมีกว่าสิบวันที่เด็กนี่มาบริษัทก่อนเจ็ดโมงและกลับเกินสองทุ่ม เรื่องแบบนี้พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หน้าประตูก็ต้องรายงานอยู่แล้ว

            “นั่นก็จริงนะฮะ” เด็กหนุ่มยอมรับ แต่ก็รีบแก้ตัวทันที “ไม่ต้องห่วงว่าทาง Upenn จะเอาเรื่องจอร์จิโอที่ใช้งานผมหนักหรอก ผมไม่ได้บอกเรื่องทำงานล่วงเวลาไปที่มหาลัย แต่ถ้ามันทำให้คุณลำบากก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีไม่คิดว่าคุณจะกังวลเรื่องการทำงานเกินเวลาขนาดนั้น” ว่าแล้วก็หลบตาโดยอัตโนมัติจนคนอายุมากกว่าต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มันเหมือนอาการเมื่อตอนกลางวันที่เจ้าเด็กนี่เหลือบมองใต้สูทเขาไม่มีผิด

            “ที่บอกไม่คิดว่าจะกังวลเรื่องการทำงานเกินเวลานั่นหมายความว่าไง” ชายหนุ่มถามเสียงดุ เด็กตรงหน้าเขากะพริบปริบๆ เลียริมฝีปากเหมือนลำบากใจจะพูด เขาเลยสั่งเสียงเฉียบขาด “ตอบมา”

            “คือ...ผมแค่คิดว่าคุณคงไม่ซีเรียสเรื่องพื้นฐานเล็กๆน้อยๆอย่างกฎหมายแรงงาน แต่ก็แค่คิดนะฮะ! แค่คิดอ่ะ”

            “นายหมายถึงฉันเป็นพวกไม่กลัวกฎหมายงั้นสิ?” เขาตีความหมายแล้วว่าต่อทันทีโดยไม่ให้เด็กตรงหน้าได้ตั้งตัว แล้วดูท่าว่าเขาจะตีได้ตรงจุดเมื่อเห็นอาการตกใจปรากฏขึ้นในแววตาของเด็กตรงหน้า มันแสดงชัดเจนจนเขารู้สึกได้แม้จะยังไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ๆเลยก็ตาม แต่เขาชินแล้ว ชินกับสายตาตกใจตามด้วยอาการหวาดกลัวเมื่อคนอื่นรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของเขา แล้วอีกสองสามวินาที ดวงตาเจ้าเด็กนี่ก็คงจะเต็มไปด้วยความกลัวเหมือนกัน

            เขาไม่เคยสนใจ ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ออก นี่คือกฎ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะจ้องใบหน้าเด็กๆนั้นแล้วรอการตัดสินใจด้วยความเงียบงัน

            พลันผ่านไปไม่ถึงสองสามวินาทีตามที่คาดสีหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ความหวาดเกรงอย่างที่ประธานแห่งจอร์จิโอคาดไว้ ดวงตาที่สั่นระริกค่อยๆสงบลง ลมหายใจกลับมาเป็นจังหวะปกติ กลายเป็นว่ากลับมาเป็นสีหน้ายามปกติของเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่มันราบเรียบและจริงจังกว่าเดิมเล็กน้อย ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มจางๆ ขับเอาบรรยากาศกดดันเมื่อสักครู่เบาบางลงจนแทบไม่เหลือ

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็คงจะทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่ได้อยู่ในสถานะคนที่มีสิทธิ์โวยวายอะไรด้วยซ้ำ หน้าที่ของผมคือมาอยู่ที่นี่และเรียนรู้งานจากจอร์จิโอกรุ๊ปให้มากที่สุด ส่วนคุณทำอะไร จะพาบริษัทนี้ไปทางไหน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องเป็นกังวล” เอเลนยิ้มกว้างขึ้น “เพราะผมกำลังจะเป็นวิศวกร ไม่ใช่นักธุรกิจ จะไปคิดตามก็คงจะตามไม่ทันอยู่ดี หรือต่อให้ตามทันผมก็ไม่มีกำลังจะทำอะไรได้ เหนื่อยเปล่าๆ เพราะงั้นเลือกที่จะไม่คิดตั้งแต่แรกจะดีกว่า”

            มุมปากของชายหนุ่มกระตุกเป็นรอยยิ้มนิดๆโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่คำตอบของเด็กหนุ่มก็ทำให้เขายิ้มออกมาจนได้ มันเหมือนฟังดูปัดความรำคาญหรือรักสบาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างเป็นเหตุเป็นผล คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้โดยเฉพาะพวกหัวการค้าที่มีธุรกิจเป็นของตนชอบแบกภาระเอาไว้บนบ่าด้วยพื้นฐานของความโลภ โน่นก็อยากมี นี่ก็อยากได้ โดยที่ไม่ฉุกคิดว่าบางอย่างนั้นมันไม่ใช่เรื่องของตน มันเลยทำให้หลังหักเอาง่ายๆและออกจากวงการไปด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง และนั่นคือโทษของคนรุ่นใหม่ที่ไฟแรงเกินไป

แต่แปลกที่เด็กเหมือนจะอีโก้สูงด้วยผลการเรียนคนนี้ กลับฉีกตัวเองออกจากกลุ่มคนเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ แต่นี่ก็เป็นเกราะป้องกันภัยเฉพาะบุคคลชั้นเยี่ยม

เขาตั้งใจจะเดินก้าวเข้าไปในห้องเพื่อให้เข้าใกล้คู่สนทนาอีกสักนิด แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเด็กวัยสิบเจ็ดร้องห้ามทันที

“ไม่ได้ๆ! ห้ามเข้ามานะครับ” แถมยังยกมือทั้งสองข้างเพื่อหยุดเขาอีกแน่ะ

รีไวย่นหัวคิ้ว ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม?

“มันอันตรายน่ะสิครับ ถามได้” เอเลนสวนกลับไปทันทีด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กๆที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัวเรื่องพวกนี้ ส่วนเขาล่ะถูกย้ำจากทั้งบอสทั้งอาจารย์ในมหาลัยเป็นกฎเหล็กจนท่องขึ้นหัวได้เกี่ยวกับไอ้เรื่องความปลอดภัยในอิเล็กทริคอลรูมเนี่ย แต่พลันดวงตาดุๆที่ส่งมาก็ทำให้เด็กน้อยรู้ตัวว่าบางทีเขากำลังขึ้นเสียงอยู่กับใคร ร่างโปร่งบางถึงสูดลมหายใจลึก ค่อยๆเดินเข้าหาเจ้านายอีกสองสามก้าว อย่างกับเด็กสำนึกผิด “ถึงห้องนี้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยพิเศษ ไม่มีกระแสไฟฟ้ารั่วหรือลัดวงจรที่ไหน แต่ผมก็ให้คุณเข้ามาไม่ได้หรอก ลำพังแค่นับดูว่าบนตัวคุณมีโลหะกี่ชิ้นมันก็เสี่ยงมากพอแล้ว ความผิดตัดไฟห้องทำงานคุณผมก็รู้สึกผิดจะตาย นี่ถ้าผมทำให้ท่านประธานถูกไฟช็อตเพราะความประมาทอีกล่ะก็ ผมไม่มีปัญญาจะชดใช้แน่ๆ”

“ยังไง” ชายหนุ่มถามกลับ

“อะ อะไรนะครับ?

“ฉันถามว่า ยังไง” รีไวย้ำ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงถาม แต่เหมือนอารมณ์มันนึกสนุกขึ้นมา “ฉันเป็นคนยังไงนายถึงบอกว่าจะไม่มีปัญญาชดใช้ถ้าฉันเป็นอะไรไป”

เอเลนเลิกคิ้วสูงทันทีอย่างน่าขันเมื่อคนตรงหน้าเขายืนกอดอกจ้องหน้ากลับมาท่าทางเอาจริงเอาจังทั้งๆที่เรื่องที่ถามมันไม่น่าจะเคร่งเครียดขนาดนั้นเลย และคิดว่าถ้ารีรอนานกว่านี้ได้โดนบังคับให้ตอบเหมือนเมื่อกี้อีกแน่ เอเลนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กลอกตาซ้ายขวาไปบนใบหน้าคมๆแล้วเริ่มวิเคราะห์

“ก็แบบ...คุณเป็นคนสำคัญของที่นี่ ไม่ๆ คนสำคัญของยุโรปหรือไม่ก็ของโลกเลยด้วยซ้ำ ไม่มีใครไม่รู้จักคุณอ่ะ จากที่ดูๆแล้วผมว่าคุณอายุน่าจะไม่ถึงสามสิบห้าแต่คุณก็ขึ้นมาเป็นผู้กำบังเหียนของจอร์จิโอได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องแบบนี้มันอาศัยแค่อำนาจวาสนาไม่พอหรอก แต่คุณต้องเก่งมากแน่ๆ ความสามารถมากไม่พอ คุณรวยด้วย จำนวนลูกน้องเยอะกว่าจำนวนเพื่อนผมไม่รู้กี่เท่า ผมไม่รู้ว่าคนในครอบครัวคุณมีกี่คน แต่พวกเขาต้องภูมิใจในตัวคุณมากแน่ๆอย่างน้อยก็ในฐานะผู้ประสบความสำเร็จในด้านการงานอย่างสวยหรู มันคงจะมากกว่าความภาคภูมิใจที่ญาติๆมีให้ผม ผมเพิ่งอายุแค่นี้ ทำให้ครอบครัวดีใจได้แค่ตอนเข้ามหาลัยเท่านั้นเอง เอาง่ายๆทุนของคุณกับผมต่างกันมาก ผมเอาความสามารถของตนเองแลกความสามารถคุณไม่ได้ บริวารทาบไม่ติด เรื่องเงินเรื่องทองไม่ต้องพูดถึง พ่อผมเป็นศัลยแพทย์ ต่อให้ท่านทำงานมาจนเกษียณก็ไม่เท่ารายรับคุณในหนึ่งปีด้วยซ้ำ ผมไม่มีอะไรแทนคุณได้แม้แต่อย่างเดียว” เอเลนเว้นวรรคไป พูดเองก็สำนึกเองว่าเขากำลังคุยกับใครอยู่นี่ มนุษย์หรือพระเจ้ากันแน่ นึกเวทนาตัวเองซ้ำสองที่มนุษย์ตัวกระจ้อยอย่างเขาลองดีกับพระเจ้ามาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว

“ก็งั้นแหล่ะครับ ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมประเคนชีวิตชดใช้ก็คงจะไม่พอ คนทั้งโลกได้สาปแช่งผมแน่ถ้าข่าวว่าท่านประธานมีอันตรายในห้องจ่ายไฟในขณะที่คุยกับเด็กหนุ่มไม่น่าจะรู้อีโหน่อีเหน่คนหนึ่ง โชคร้ายที่สุดผมคงได้กลายเป็นฆาตกรเอาง่ายๆ เพราะงั้น Safety first อย่าก้าวเข้ามาเลยนะครับ”

รีไวยังคงยืนกอดอกฟังเจ้าเด็กตรงหน้าสาธยายเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังคนอื่นพูดถึงตัวเองชนิดละเอียดซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเด็กนี่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงในการคุยกับเขาแล้วสามารถวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ แม้บางเรื่องมันจะผิดไปไกลเลยก็ตามโดยเฉพาะเรื่องครอบครัว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีคนกล่าวถึงเรื่องส่วนตัวของเขา แปลกที่ว่าเขากลับไม่รู้สึกโกรธหรือหงุดหงิดอย่างเคย น้ำเสียงของเด็กวัยสิบเจ็ดไม่มีกระแสละลาบละล้วงหรือเยินยอให้รำคาญ มันเป็นการพูดตามความรู้สึกจริงๆของเจ้าตัว

เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ยืนฟังจนจบ แล้วหยุดเท้าลงที่เดิมตามคำแนะนำ เป็นอีกครั้งที่ต้องฟังคำขอของคนตรงหน้าอย่างไม่มีข้อแย้ง

“กลับได้แล้ว ถึงนายจะไม่เห็นแก่ค่าไฟบริษัทหรือฉันที่ไม่สนใจชั่วโมงทำงานตามกฎหมายแรงงานก็ตาม แต่นายก็น่าจะเห็นแก่รถโดยสาร มันไม่ได้วิ่งตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอกนะ” เอเลนยืนนิ่งตาค้างกับคำพูดนั้น แทบจะแหย่นิ้วแคะหูตัวเองว่าโสตประสาทเขาไม่ได้เพี้ยนไป น้ำเสียงของเจ้านายยังฟังเย็นเยียบเหมือนเดิม แต่รูปประโยคมันก็ฟังแปลกๆจนอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะคือความเป็นห่วง หรือความปรารถนาดี

รีไวไม่คิดเอ่ยแก้คำพูดของตัวเอง แต่ก็ไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านั้น ร่างแข็งแกร่งหมุนตัวกลับเตรียมจะเดินออกไป

“เอ้อ! เดี๋ยวครับ ท่านประธาน”

เขาหยุดเท้าอีกครั้ง หันไปตามเสียงเรียก คราวนี้เด็กหนุ่มร่างโปร่งบางก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัวด้วยความร้อนรน ในมือถือถุงพลาสติกแบบหนาถุงหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นมาตั้งนานแล้วว่ามันวางอยู่บนโต๊ะ นึกสงสัยไม่ทันไรก็ต้องเพิ่มความแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อเด็กหนุ่มยื่นเจ้าถุงนั่นให้เขา

“อะไร?

“ก็นมร้อนกับครัวซองต์เนยสดไงครับ” เอเลนว่าด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง “วันนี้คุณประชุมทั้งวัน ให้ผมเดามันก็น่าจะเพิ่งเลิกด้วย คุณคงยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเป็นมื้อดีๆ เอานี่ไปรองท้องก็แล้วกันนะครับ ผมให้” ถุงถูกยื่นให้มาอยู่ใกล้ตัวเขามากขึ้น จนเขาได้กลิ่นนมหอมๆกับกลิ่นเนยจากเบเกอรี่ชัดเจน ดวงตาสีขี้เถ้าเหลือบลงมอง ต่อให้ไม่จับเขาก็รู้ว่าทั้งนมทั้งขนมยังอุ่นอยู่ เจ้าเด็กนี่คงไปซื้อมาจากร้านกาแฟใต้บริษัทร้านเดิม ตั้งใจชัดๆเลยว่าจะเอาไว้กินเอง แต่เอามาให้เขาเนี่ยนะ ทั้งๆที่ตัวเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับมื้ออาหารขนาดนั้น ยิ่งถ้าต้องประชุมเบื้องบน มันเลยเวลากิน อาศัยแค่กาแฟตอนเบรคเขาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เจ้าเด็กนี่กลับมาใส่ใจ ถนัดทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆด้วย

“รับไปสิครับ”

“ฉันไม่ทานอาหารตอนดึก” เขาปฏิเสธชัดเจน “อีกอย่างคืนนี้ฉันต้องทำงาน นมมันทำให้ง่วง”

“อืม...มันก็จริง แต่ผมว่าคุณน่าจะมองมุมกลับ” เอเลนคลี่ยิ้ม “ถ้าคุณต้องทำงานต่อยังไงคุณก็ต้องการเสบียง เชื่อขนมกินได้ว่าอีกไม่เกินชั่วโมงคุณจะต้องหิวแน่ๆ ไอ้ของว่างชิ้นเล็กๆที่ได้ตอนประชุมมันทำให้คุณอยู่รอดไม่กี่น้ำหรอก แต่ถ้าคุณกลับไปคุณคิดจะนอนเลย คุณก็ควรจะทานเหมือนกัน เพราะท้องอิ่มจะทำให้เรานอนหลับสบาย...ยังไงก็ตาม ไม่ว่าคุณจะกลับบ้านไปแล้วทำอะไร คุณก็ต้องกิน ไม่งั้นคุณก็ไม่มีแรงทำงาน หรือถ้าจะนอน คุณก็ต้องทนฟังเสียงท้องตัวเองร้อง ผมเคยแล้ว นอนท้องกิ่วๆนี่มันทรมานนะครับ”

คำสรุปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างทำให้คนฟังเผลอมองไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่านี่ก็ใกล้จะหมดวันแล้วแต่ทำไมสีหน้า แววตา น้ำเสียงหรือแม้กระทั่งรอยยิ้มที่เขาเห็นอยู่นี้มันดูไม่ต่างจากตอนกลางวันเลย แล้วยิ่งสว่างไสวกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำเมื่อเขารับถุงของกินนั้นมาอยู่ในมือ เขาปฏิเสธไม่ออก หรือไม่ก็ไม่มีช่องว่างให้แม้แต่จะคิดปฏิเสธ เมื่อเจ้าเด็กหัวหมอดันดักทางเขาทุกอย่าง

“พบกันพรุ่งนี้ครับท่านประธาน” คำส่งท้ายแปลกประหลาดทำให้เขาหรี่ตามอง ถามกลับทันที

“แน่ใจว่าจะได้พบ?

“ครับ” เด็กหนุ่มตอบ สำทับไปอีก “ได้พบอีกแน่ๆ”

เอเลนว่าแล้วก็ยิ้มบางๆกับตัวเอง เขาไม่ได้โกหก เพราะตอนนี้รุ่นพี่ของเขาเคลื่อนไหวและฝากงานให้เขาแล้ว มันก็ต้องถึงเวลาที่เขาจะต้องเดินหน้า นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาตั้งใจอยู่ซ่อมไฟจนดึกทั้งๆที่มันไม่มีประโยชน์อะไร อย่างน้อยก็ต้องออกแน่อยู่แล้วเขาก็คิดอยากจะทำงานให้จอร์จิโออย่างดีเป็นงานสุดท้าย และถือโอกาสปฏิบัติดีๆกับเจ้านายสักครั้งในฐานะคนที่คงเรียกว่าลูกน้องได้อย่างไม่เต็มปากเต็มคำ ซึ่งมันคงเป็นโอกาสแรก

และโอกาสสุดท้ายด้วย...











“วันนี้แดชโทรมาหาฉัน” โกคุเดระเกือบปล่อยแซลมอนชิ้นโตหลุดจากปากเมื่อได้ยินชื่อชายหนุ่มจากแดนน้ำหอม ดวงตาสีมรกตสวยเหลือบมองคนพูดที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะอาหาร พยายามกำตะเกียบไม่ให้สั่นสุดความสามารถ

“หรอ” ท่านประธานร่างบอบบางรับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “หมอนั่นโทรมาทำไมอ่ะ”

“โทรมาคอนเฟิร์มวันเวลาที่จะเปิดเบธิลด์สาขานิวยอร์ก แปลกเหมือนกันนะที่อยู่ๆหมอนั่นก็ตัดสินใจเฉียบขาดแบบนี้ทั้งๆที่ผ่านมายังสองจิตสองใจอยู่ เรื่องเหตุการณ์ระเบิดเมื่อเดือนก่อนยังฝังใจหมอนั่นไม่น้อย ตอนที่หมอนั่นขอคำปรึกษามาฉันก็จะรอดูทีท่าอีกสักอาทิตย์ ถ้าแดชยังไม่ตัดสินใจจริงๆ ฉันคงจะแนะนำให้เลื่อนออกไป”

โกคุเดระฟังแล้วก็อดที่จะโล่งอกไม่ได้ นี่คงถือว่าเขาโชคดีมากที่โทรไปหาแดชให้ช่วยงานตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นคงโดนยามาโมโตะเบรกก่อนแน่ๆ เรียกได้ว่าหวุดหวิดเลยก็คงไม่ผิด ถ้าแดชกับยามาโมโตะตัดสินใจที่จะเลื่อนแล้ว ลำพังเขาไม่มีทางเปลี่ยนใจทั้งสองคนได้แน่ๆ

“แต่หมอนั่นเหนื่อยน่าดูเลยนะ ห้างใหม่ก็ต้องเปิด ส่วนห้างเก่าก็ต้องซ่อม”

“ตอนนี้เบธิลด์มีหมอนั่นเป็นผู้บริหารเพียงคนเดียวก็จริง แต่ทีมงานก็เยอะอยู่” ยามาโมโตะเสริม “ต้องบอกว่าแบ็คอัพในเงามืดของหมอนั่นกระเป๋าหนักอยู่ อย่างน้อยๆตาแก่แมคคาร์ทีคงไม่ใจร้ายเกินที่จะปล่อยให้เบธิลด์ ทาวเวอร์เคว้งคว้างนานนัก แดชเล่าว่าการซ่อมแซมสาขาหลักรวดเร็วกว่าที่คิดมาก ดีไม่ดีคงเป็นตาแก่นั่นที่แอบส่งทุนส่งคนมาซัพพอร์ตไม่ขาด ถ้าบริสุทธิ์ใจอยากทำเพื่อคุณหญิงแชคก์ก็ดีไป แต่ถ้ามันยังหวังผลประโยชน์อะไรอีก ตอนนั้นคงต้องมีเรื่องให้ปวดหัว”

“แต่ในทางกลับกัน พ่อแท้ๆของหมอนั่นยังไม่โผล่ออกมาเลยนะ” โกคุเดระว่าต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยามาโมโตะพยักหน้ารับเงียบๆ หนึ่งเดือนมานี้หลังจากเกิดเรื่อง เขายังคงไม่มีความคืบหน้าเรื่องการตามหาตัวเดเมียน เลอรอยด์ พ่อแท้ๆของแดชที่กำลังจะกลายเป็นบุคคลหายสาบสูญทุกขณะ ทั้งฝ่ายตำรวจของรัฐและฝ่ายนักสืบเอกชนก็พยายามเสาะหาตัวกันเต็มที่ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เขากับยามาโมโตะต้องรับเรื่องนี้มาดูแลแทนแดช หมอนั่นกำลังจะก้าวขึ้นเป็นนายห้างใหม่ ถ้ายังต้องมาพะวงเรื่องเก่าๆ คงไม่เป็นอันเดินหน้าทำงาน

แต่ก็ต้องยอมรับว่าเดเมียนหลบพวกเขาชนิดพ้นสายตาจริงๆ

“เป็นไปได้ไหมที่ตอนนี้เดเมียนจะอยู่ในเงามืด” โกคุเดระสันนิษฐานอย่างหวาดหวั่น สบกับดวงตาคมสีเปลือกไม้ที่จ้องกลับมา ซึ่งมีความกังวลอยู่ในแววตาของยามาโมโตะเช่นกัน

“ก็เป็นไปได้” เด็กหนุ่มร่างสูงยอมรับ “ถ้าเดเมียนเป็นพวกไม่รู้จักเข็ดล่ะก็นะ...นายบอกว่าเหตุการณ์ระเบิดคราวนั้นจะไม่เกิดขึ้นถ้าเดเมียนฆ่านายได้ แล้วเขาก็ยิงนายจริงๆ ต่อให้จะไม่รู้ว่านายตายหรือไม่แต่ทางฝั่งเจ้านายของแมคคาร์ทีเขาก็สั่งระเบิดตึกทันทีไม่ใช่หรือไง เดเมียนโดนหักหลังเต็มๆ ถ้าเขายังบ่ายหน้าไปพึ่งฝั่งนั้นอีก ไม่ใช่กล้าก็คงบ้าไปแล้ว” ยามาโมโตะวิจารณ์อย่างไม่เกรงใจแม้ว่าคนที่พูดถึงนั่นจะเป็นพ่อเพื่อน  กว่านั้นเขายังรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของตัวเองเย็นยะเยือกขึ้น...มันเป็นธรรมดา เขาไม่มีทางให้อภัยคนที่ทำร้ายคนรักของตนเอง ที่ไม่เดินหน้าเร่งหาตัวนั่นก็เพราะเขากลัวจะเป็นอย่างที่โกคุเดระสันนิษฐาน ถ้าถลำลึกเข้าไปมีเรื่องกับพวกอำนาจมืดอีกรอบมันก็เท่ากับหาเหาใส่หัว เขาจำเป็นต้องใจเย็นกว่านี้ รอบคอบกว่านี้ และถ้าได้ตัวเดเมียนเมื่อไหร่เขาจะเอาตัวส่งให้กฎหมายบนดินตัดสินทันที

แต่ถ้าไม่ทัน เดเมียนเข้าไปอยู่ในเงามืดและเกิดอะไรขึ้นในเงานั้น เขาก็ยินดีที่จะให้มันเป็นไปตามชะตากรรม เรื่องที่เป็นพ่อของแดชมันไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น

“ยามาโมโตะ...” ดูราวกับว่าโกคุเดระรู้ว่าเขาคิดอะไร เจ้าตัวจึงเอ่ยเสียงเบา “ฉันยังไม่ตาย” ย้ำไปอีกเพื่อยืนยัน “ยังมีชีวิตอยู่...ยามาโมโตะ”

เตือนเพียงแค่นั้นแต่ดวงตาที่จ้องมานั้นนิ่งสนิทและเย็นจนน่าขนลุก เพียงแต่ไม่ใช่แบบเดียวกับขู่ให้กลับหรือปรามอะไร เป็นการนำน้ำเย็นเข้าลูบ ยามาโมโตะจึงได้ถอนหายใจยาวแบ่งรับแบ่งสู้ เสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความดุชัดเจน

“อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด ฉันขออย่างเดียวว่าถึงเวลานั้นนายอย่าหาเรื่องใส่ตัวจนต้องเจ็บหนักอีก ถ้าไม่อย่างนั้นเรื่องสองเดือนที่ขอก็ถือเป็นโมฆะ นายเตรียมแถลงข่าวกับฉันเรื่องต่อสัญญาหุ้นส่วนได้เลย”

“อะ อือ เข้าใจแล้ว” พอเป็นเรื่องนี้โกคุเดระเถียงอะไรไม่ได้เลย นิ้วเรียวเกาข้างแก้มแล้วหลบตาโดยอัตโนมัติ ยามาโมโตะก็ยังคงเป็นยามาโมโตะ ใช่ว่าเขาจะกล้าสู้กับหมอนั่นตอนโหมดดุๆ ชนิดสั่งเฉียบขาดห้ามหือห้ามอือ เถียงสักคำมีหวังหัวขาดแน่ จะว่าไปมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฟร็ดดอริกเคยเล่าให้เขาฟังฆ่าเวลาตอนนั่งรอยามาโมโตะเลิกงานเหมือนกันว่าถ้าหมอนั่นอยู่ในโหมดองค์ลงแล้ว ใครก็เอาไม่อยู่ โกคุเดระฟังก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ นับว่าท่านประธานแห่ง The Best ใจดีกับเขาอยู่มากที่เปิดโอกาสให้เขาต่อรองโน่นนี่

            พลันบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนก็ถูกหยุดลงด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของเด็กหนุ่มร่างสูง ยามาโมโตะยกมันขึ้นแนบหูเพียงชั่วครู่จากนั้นดวงตาสีเปลือกไม้ก็เบิกขึ้นกว้าง ผุดลุกทันควัน สีหน้าของท่านประธานแห่ง The Best เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนโกคุเดระต้องชะงักแล้วจับตาดูอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ตั้งแต่วินาทีนั้น มือแกร่งเริ่มสั่นระริก บรรยากาศในห้องบ่งบอกไม่ได้ว่ามันเย็นยะเยือกหรือร้อนรุ่ม เพียงแต่มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขายังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น บอกได้เพียงว่าเรื่องราวทางโทรศัพท์นั่นทำให้ยามาโมโตะตกใจมาก อาจจะถึงขั้นช็อก

            ท่านประธานแห่ง The Best ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นประโยคเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเอ่ยไปเพียงแค่คำถามสั้นๆว่า เมื่อไหร่’ ‘ยังไงแต่ละคำเป็นภาษาอังกฤษและมันฟังกดต่ำดุดันและสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างสุดความสามารถ เสียงทุ้มต่ำปิดท้ายด้วยการบอกอย่างเร่งร้อน ว่า แค่นี้ เดี๋ยวจะรีบไป

            โทรศัพท์เครื่องหรูถูกลดลงจากหูแล้วเพียงแต่ว่าร่างสูงสง่ายังไม่ขยับไปไหน ยามาโมโตะยืนนิ่งราวรูปปั้น มีเพียงดวงตาที่สั่นระริก มันกลอกไปมาอย่างเร็วเหมือนคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก โกคุเดระหน้าเครียดขึ้นทันตา ยามาโมโตะมีอากัปกริยาอย่างกับเอาตัวเขาเองมาส่องกระจกยามสติแตก

            “เกิดอะไรขึ้น โทรศัพท์นั่นว่ายังไง” เขาถามตรงประเด็น ยังดีที่ยามาโมโตะไม่สูญเสียการควบคุมไปซะหมด หมอนี่ยังได้ยินเสียงเรียกของเขา เพียงแต่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากแม้แต่เพียงคำเดียว โกคุเดระรู้ได้ทันทีว่าสติของยามาโมโตะคืนกลับมาบ้างแล้ว มันรวดเร็วสมกับประสบการณ์การทำงาน ใบหน้าคมคายกลับมาเรียบเฉยเหมือนยามปกติ ลมหายใจแม้จะยังหนักหน่วงแต่ก็เนิบช้าเป็นจังหวะ ดังนั้นท่านประธานแห่งโกคุเดระแอร์ไลน์จึงสรุปได้อย่างเดียว วินาทีนี้ที่ยามาโมโตะไม่พูด คงไม่ใช่เพราะพูดไม่ได้ แต่เพราะยังไม่อยากพูดให้เขาฟัง

            ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้โกคุเดระอยากง้างปากอีกฝ่ายขนาดไหน เขาก็ไม่มีวันทำได้

            ร่างโปร่งบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาจึงถามคำถามใหม่

“นายจะไปไหน”

            “สนามบิน” เพียงแค่คำตอบนั้นโกคุเดระคว้ากุญแจรถที่วางอยู่ข้างตัวแล้วกำเข้าที่ข้อแขนอีกฝ่ายออกแรงลากทันที ไม่สนใจอีกฝ่ายที่ร้องเรียกชื่อเขา อธิบายการกระทำตัวเองไปเร็วๆ “ฉันคงปล่อยให้นายที่สติไม่เต็มเต็งขับรถไปคนเดียวไม่ได้ อีกอย่างนายยังต้องเดินทางไกล ขืนปล่อยให้นายจับพวงมาลัย ตบท้ายด้วยนั่งบนเครื่องไปอีกหลายชั่วโมง นายระบมไปหมดทั้งตัวแน่”

            “ขอโทษที” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างสำนึกผิดอย่างที่หาฟังได้ไม่ง่ายนัก “แล้วก็ขอบคุณมาก”

            ขนาดนี้แล้วคงจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ โกคุเดระคิดกับตัวเอง ยามาโมโตะจะเป็นแบบนี้เสมอเวลาเจอปัญหาใหญ่ หมอนี่จะคิดทบทวนเพียงคนเดียวแล้วจะตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าจะจัดการยังไง จะบอกใครหรือไม่บอกใคร เพราะฉะนั้นเรื่องที่ยามาโมโตะคิดมาแล้ว มันเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิงที่จะไปทวงถาม หน้าที่ของเขาก็คือเข้าช่วยหมอนั่นในเรื่องที่จะช่วยได้ก็เท่านั้น ถึงจะเป็นห่วงบวกกับไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ตามที

ทั้งสองนักธุรกิจแห่งเอเชียลงลิฟท์มาถึงชั้นล่างก็พบร่างสูงของเฟร็ดดอริกอยู่แล้ว แถมด้วยรถของเขาที่จอดรออยู่หน้าประตูพร้อมออกตัวแบบไม่เสียเวลา เลขาร่างสูงในชุดสูทดำเดินตามหลังพวกเขามาอย่างรู้งาน พอถึงรถ เฟร็ดดอริกทำท่าจะมาขึ้นฝั่งคนขับแต่ก็ต้องเจอมือบางยกขึ้นเบรกไว้ก่อนแถมยังชี้ไล่ให้ไปนั่งเบาะหลังอีกต่างหาก น้ำเสียงบอกชัดว่าทั้งสั่งทั้งบังคับ

“ไม่ต้องเลย ฉันขับเอง นายมีงานหนักให้ทำอีกเยอะเฟร็ดดอริก เตรียมใจไว้เหอะ” แล้วก็จับบุคคลสำคัญของ The Best ทั้งสองเข้ารถคันหรูได้สำเร็จ สตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งออกไปทันทีจนผู้โดยสารต้องแอบจับเบาะแน่น ยามาโมโตะอาจจะรู้ แต่สำหรับเฟร็ดดอริกนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องจำใส่ใจว่าท่านประธานโกคุเดระเป็นคนขับรถได้น่ากลัวแค่ไหน ขนาดเหยียบคันเร่งเพิ่มเรื่อยๆ ยังอุตส่าห์ลอบมองสีหน้าเจ้านายเขาเป็นระยะๆอีกต่างหาก นิ้วเรียวเร่งอุณหภูมิแอร์ให้ต่ำลง หวังให้ความเย็นและความเงียบช่วยให้อารมณ์คนข้างๆสงบลงอีกเล็กน้อย

“จุดหมายล่ะยามาโมโตะ”

“อังกฤษ”

“โอเค...”โกคุเดระลากเสียงรับรู้ เอาสมอลทอล์คใส่ที่หู นิ้วเลื่อนหาเบอร์ติดต่อ สักพักเมื่อมีคนรับจึงกรอกเสียงสั่งทันที “นี่ฉันเอง...ช่วยล็อกเฟิร์สคลาสไปอังกฤษให้สองที่ ใช่...ลงที่ฮีธโรว์...เอาไฟลท์ที่เร็วที่สุด ฉันกำลังขับรถเดี๋ยวใกล้ถึง...อีกสิบห้านาที” ก่อนวางหูโกคุเดระก็กล่าวขอบคุณไปอีกคำ เขาเหลือบตามองเด็กหนุ่มร่างสูงที่อยู่ข้างตัวที่เหมือนจะส่งสายตามาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว มันมีความรู้สึกทั้งขอบคุณ ขอโทษ รู้สึกผิด แต่อาการสับสนอดกลั้นอย่างอึดอัดนั้นก็ยังมีให้เห็น นั่นล่ะที่ทำให้เขาหงุดหงิดเป็นบ้า ไม่เกรงใจเลขาหมอนี่ที่นั่งอยู่ข้างหลัง เขาจะขอตบกะโหลกมันหนึ่งที

“ไม่ต้องมาทำหน้าหงอยๆอย่างนั้นเลยไอ้บ้า ไม่ทันแล้วเฟ้ย!” เขาว่าอย่างฉุนๆ แต่กระนั้นก็มีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า “ทำตัวให้เหมือนปกติเถอะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเรื่องวุ่นวายสักหน่อย ฉันไม่รู้ว่าเรื่องมันใหญ่แค่ไหน แต่ถ้านายสติแตกตอนนี้มันจบแน่ จบทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ”

เป็นคำพูดเดียวกันกับที่ยามาโมโตะพูดกับเขาที่เจนีวา คราวนี้เขาขอยกมาเตือนหมอนี่บ้าง เด็กหนุ่มคนฟังได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก ถามกลับ

“แล้วนายไม่อยากรู้เหรอ ว่าเรื่องมันใหญ่แค่ไหน”

“พูดอย่างกับว่าถ้าฉันถามแล้วนายจะยอมเล่า” โกคุเดระโต้ทันที

“อือ ไม่เล่าหรอก” ยามาโมโตะยอมรับ เอนหลังลงกับเบาะหนานุ่ม หลับตาลงแล้วย้ำเบาๆอีกที “อย่าเพิ่งรู้เลย”

“เออ เห็นไหม” เขาว่าด้วยน้ำเสียงกลั้นขำ แล้วเบือนสายตาไปมองถนนข้างหน้าอย่างเก่า “ก็ไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้นะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านายต้องเล่าให้ฉันฟัง นายอย่าลืมว่าตอนนี้เราไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกัน นายยังคงมีอิสระที่จะตัดสินใจทำอะไรได้ด้วยตัวเองโดยไม่ปรึกษาฉัน ฉันไม่ได้ขอเวลาสองเดือนเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ก็ขอไว้เพื่อนายด้วย นายมีสิทธิ์ที่จะมีความลับกับฉัน ทำอะไรก็ตามโดยที่ฉันไม่รู้ หรือแม้กระทั่งแอบโจมตีธุรกิจฉันเงียบๆ นายทำได้ทุกอย่าง”

“ถ้าฉันทำแบบนั้น นายจะไม่โกรธ?

“ฉันว่าฉันไม่มีสิทธิ์โกรธนะ”

“เปล่า นายมีสิทธิ์” ยามาโมโตะแย้งเรียบๆ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรือสัญญา...แต่มันเป็นสิทธิ์ของคนรักที่จะนึกโกรธเวลาอีกฝ่ายมีความลับ”

โกคุเดระกะพริบตาปริบๆ ยิ้มเจื่อนอย่างนึกลำบากใจ ตั้งแต่วางโทรศัพท์ ยามาโมโตะพูดน้อยจนแทบนับคำได้ เท่านั้นยังไม่พอแต่ละคำยังฟังผิดปกติอีกต่างหาก มันอาจจะเป็นคำพูดธรรมดาสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นยามาโมโตะล่ะก็อย่าหวังเลย! หมอนี่ไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้ออกมา ยกตัวอย่างเช่นคำพูดแสดงท่าทีห่วงใยความรู้สึกคนอื่นเมื่อกี้ด้วย ซึ่งต่อให้เป็นเขา ยามาโมโตะก็แทบจะไม่พูดให้ได้ยิน หมอนี่ถนัดแสดงออกทางการกระทำมากกว่า

เพราะงั้นเขาพูดได้เลยว่าเวลาประธานแห่ง The Best สติแตกนั้นรับมือยากมาก เขาไม่ชินพอๆกับตอนหมอนี่ทำเขาเขินนั่นแหล่ะ

“ไม่รู้เฟ้ย” เขาบอกปัด “ก็มันไม่โกรธไปแล้ว คราวหลังถ้าอะไรที่ควรจะโกรธนายก็เตือนฉันหน่อยละกัน คราวนี้ไม่ทันจริงๆ” ถึงอย่างนั้นใบหน้าสวยๆยังคงอมยิ้มไม่ทุกข์ร้อนจนทำให้ท่านประธานแห่ง The Best ต้องมองค้าง คิดว่าดีแล้ว ดีแล้วจริงๆที่คนอยู่ข้างๆเขาเป็นโกคุเดระ เขาลืมไปได้ยังไงว่าหมอนี่คือนักจัดการปัญหาตัวยง ยิ้มได้ในช่วงระยะเวลาที่วิกฤติที่สุดหรือแม้เป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวเอง แค่นี้ แค่สีหน้าและคำพูดที่ฟังสบายๆแต่ทว่ามีน้ำหนักของความจริงใจมันก็ช่วยเขาได้มาก...มากเกินพอเสียด้วยซ้ำ

            ทันทีที่ประธานสายการบินหักเลี้ยวด้วยความเร็วเข้ามาในท่าอากาศยาน เจ้าหน้าที่ก็เตรียมหาที่จอดให้ทันที ทั้งสามก้าวเท้าออกจากรถไวพอๆกับตอนที่โกคุเดระดับเครื่องยนต์ พนักงานคนหนึ่งรีบก้าวเท้าเข้ามารายงานว่าเรื่องที่เจ้านายสั่งเมื่อสักครู่ได้เตรียมการพร้อมแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเครื่องบินจะออก ยามาโมโตะมองแล้วก็อดเกรงใจเล็กๆไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปุบปับ แต่โกคุเดระก็สามารถจัดการได้ดีอย่างเคย ทันทีที่เหล่าพนักงานผละออกไปแล้ว มือแกร่งก็คว้าเข้าที่ไหล่บาง จับหมุนมาแล้วดึงร่างบางๆมากอดไว้แน่น ค่อยๆรัดอ้อมแขน ลมหายใจหนักๆเป่ารดอยู่ที่กลางกระหม่อม โกคุเดระยกมือขึ้นค่อยๆกอดตอบอีกฝ่าย ลูบมือบางไปมาบนแผ่นหลังเหมือนอย่างทุกทีที่เขาทำยามปลอบคนตัวโต

“ไม่เป็นไรน่า ก็แค่งานเข้ามาเร็วนิดหน่อย”

“นั่นสิ เร็วจนยังกินข้าวไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ” ยามาโมโตะบ่นเสียงเย็น “น่าเสียดาย”

“ก็ถึงบอกว่าไม่เป็นไรไง เดี๋ยวก็ค่อยกลับมา แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว” โกคุเดระรู้สึกว่าตัวเองเหมือนปลอบใจเด็กน้อยอยู่จริงๆ เขาหัวเราะหึๆ ดันตัวอีกฝ่ายออก จ้องเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้อย่างแน่วแน่ พูดช้าๆราวกับจะย้ำให้อีกฝ่ายได้ตระหนักไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ “ยามาโมโตะ...ที่ฉันพูดในรถฉันจริงจังนะ นายลืมๆฉันไปเลย จัดการให้เสร็จเท่าที่นายต้องการ แต่มีอยู่อย่างที่ฉันอยากให้นายจำไว้...” โกคุเดระเม้มปาก เลื่อนมือไปวางบนบ่าแกร่งของอีกฝ่าย ตบเบาๆสองสามที เงยหน้าขึ้น ดวงตาแน่วแน่จริงจังจนน่าขนลุก น้ำเสียงนั้นฟังอ่อนโยนทว่าทรงพลัง

“ฉันอยู่ฝั่งนายเสมอ เราเป็นทีมเดียวกัน นายอย่าลืมเด็ดขาด”

ทั้งๆที่ความดังมันอาจเทียบเท่าเสียงกระซิบมันดังชัดเจนท่ามกลางเสียงของเครื่องบินที่ออกจากรันเวย์ ยามาโมโตะยืนนิ่ง มองใบหน้าสวยๆที่เริ่มเปื้อนรอยยิ้ม ฝ่ามือใหญ่ค่อยยกขึ้นลูบไปตามแก้มช้าๆ นี่คือคนเดียวที่เขาจะมอง คือคนเดียวที่เขาจะทะนุถนอม และเป็นคนเดียวที่เขาจะปกป้อง จะไม่ปล่อยให้คลาดสายตา

“แล้วจะรีบกลับ” ยามาโมโตะโน้มเอาหน้าผากชิดติดกับคนตัวเล็กกว่าแล้วกระซิบ ก่อนจะผละออกไป ใบหน้าคมคายยิ้มจางๆ “ไปก่อนนะ อยู่นานกว่านี้มีหวังฉันได้หิ้วนายไปด้วยแน่ๆ ความอดทนยิ่งน้อยๆอยู่ด้วย”

ฟังแล้วโกคุเดระถึงกับเย็นสันหลัง ไม่ค่อยอยากจะรับรู้เท่าไหร่ว่ายามาโมโตะต้องทนกับเขาขนาดไหนยังไง แต่อย่างนั้นก็ยืนส่งจนร่างสูงสง่าในเสื้อโค้ตยาวสีดำสนิทเริ่มเดินห่างออกไป เฟร็ดดอริกที่หกหันมาโค้งอำลาให้กับเขาแล้วเตรียมจะตามเจ้านายไปอีกคน โกคุเดระนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเรียกเลขาร่างสูงให้หยุด

“ฉันมีเรื่องจะฝากนาย” เขาปรี่เข้าไปกระซิบ ยื่นกระดาษแข็งใบหนึ่งให้ “ถ้านายเห็นท่าไม่ดีเมื่อไหร่ ก็โทรหาเบอร์ในนามบัตรนี้ ไม่ต้องรอให้เจ้านายของนายสั่ง ต่อให้ยามาโมโตะไม่ต้องการก็ต้องทำ เข้าใจใช่ไหม”

เฟร็ดดอริกมองข้อมูลในบัตรเล็กๆอยู่ชั่วครู่แล้วรับคำเงียบๆ ก่อนจะสาวเท้ายาวๆตามประธานแห่ง The Best เตรียมขึ้นเครื่องไปโดยมีสายตาของโกคุเดระเฝ้ามองอยู่ เขาไม่ได้ขี้โกงหรอก แต่ก็ต้องกันเหนียวเอาไว้บ้าง อีกอย่างก็แลกกัน หมู่นี้หมอนั่นก็สั่งเลขาเขาจนเหมือนลูกน้องตัวเองยังไงยังงั้น

โกคุเดระกอดอกมองสองร่างที่กำลังจะเดินไปลับตาอย่างครุ่นคิด ตั้งแต่ยามาโมโตะรับโทรศัพท์จนถึงขึ้นเครื่องบิน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่มีใครตั้งตัวติด เหตุการณ์ประหลาดปริศนาทำให้เขาอดคาดการณ์ไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน เหตุนั้นเกิดที่อังกฤษแน่ ซึ่งถ้าหากจะพูดถึงเรื่องที่ยามาโมโตะเกี่ยวข้องกับประเทศนั้นคงจะเป็นมหาลัยที่หมอนั่นจบมา Imperial College London เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ยามาโมโตะใช้เก็บข้อมูลทางธุรกิจของ The Best และบางส่วนของ โกคุเดระแอร์ไลน์เอาไว้ รวมถึงสัญญาหุ้นส่วนสำคัญกับเบธิลด์ ทาวเวอร์ ที่มีลายเซ็นของตนเรียบร้อย

คิดถึงตรงนี้โกคุเดระก็รู้สึกหนาวจนแทบสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ราวอุณหภูมิเลือดมันลดต่ำลง สัญชาตญาณเตือนภัยมันยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยมบอกว่าเวลาพักหมดแล้ว ระฆังดังแล้ว การต่อสู้ใหม่ได้เริ่มขึ้น มันกำลังร้องข้อความนี้ซ้ำไปมาระหว่างหูสองข้าง ดังชัดเจนกึกก้องตอกย้ำให้รู้ตัวจนเขาต้องตัดสินใจ...รอก่อนเถอะ ถ้าหากพรุ่งนี้ได้รับข่าวดีจากเอเลนว่าจอร์จิโอปล่อยตัวมาเมื่อไหร่ เขาจะลงมือสืบเรื่องนี้เอง

เกิดอะไรขึ้นที่อังกฤษกันแน่...


.


.


.


.


.



TBC...

มิยะขอเม้าท์
อีกตอนกับฟ้าถล่มภาคนกดำ ตอนนี้จะเริ่มทำเกมส์แล้ว หลังจากปูมานาน ฮ่าๆๆๆ เดี๋ยวก่อนเถอะ ถ้าสองเด็ก Upenn มาอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ เครื่องเดินแน่นอนค่ะ แต่คงต้องผ่านด่านคุณรีไวก่อนนะ อิอิ ในที่สุดพระนางก็ต้องแยกจากกันอีกจนได้ ซึ่งภาคนี้แยกกันไกลเลยทีเดียว แต่จะพยายามรักษาความสัมพันธ์ค่ะ อย่างที่บอกว่าฟ้าถล่มคงเป็นฟิคที่ไม่มุ้งมิ้ง ไม่ใกล้ชิด ไม่ฟินเว่อร์ทุกๆตอน แต่เรื่องความสัมพันธ์ในเชิงลึกซึ้ง ความไว้เนื้อเชื่อใจกันนั้นได้เดินหน้าอย่างแน่นอน ทั้งสองคู่เลย เพราะงั้นอยากให้ช่วยกันติดตามต่อไปค่ะ
วันนี้ก็แอบมีรูปมาฝาก ยังคงหาตึกจอร์จิโอไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าได้คาร์แร็กเตอร์ตัวละครมา ฮ่าๆๆๆ ถามว่าเจ้าเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างเอเลนในเรื่องนี้มีบุุคลิกการแต่งตัวตอนอยู่บริษัทประมาณไหน มันก็คงจะราวๆนี้ล่ะค่ะ เอร๊ยแบบ แลดูเป็นงานเป็นการ เดี๋ยวฟิคฟ้าถล่มจะอัพอีกสักตอนสองตอนแล้วจะย้ายไปอัพฮิมาวารินะคะ


ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน
Miya


2 ความคิดเห็น:

  1. ทำไมอ่านแล้วเขิน -/////////-

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ง๊ากกกกกกกกก >w< ก่อนอื่นขอบคุณมากที่ให้โอกาสเปิดเข้ามาอ่านค่ะ แล้วยิ่งบอกว่าเขินนี่ ไอ้มิยะดีใจมากกกกกกก เพราะอารมณ์มุ้งมิ้งสำหรับเรื่องนี้นี่ซ่อนลึกพอสมควรเลย แต่ถ้ามันทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกฟินบ้างก็ดีใจมากๆแล้วค่ะ ฝากติดตามด้วยนะค้าา

      ดีใจ ไอ้มิยะก็เขิน ฮ่าๆ >////<

      ลบ